เราวางแผนสำหรับทริปนี้ไม่นานมาก ไปกัน 3 คน โดยที่ทำข้อมูลคร่าวๆ ว่าจะไปถ้ำน้ำ ล่องแก่ง สระมรกต แล้วก็ผาเงิน
ในเวลาที่เรามี 3 วัน 2 คืนที่วังเวียง

เริ่มต้นกันที่ บขส.อุดรธานีเลยแล้วกันนะครับ สาวๆ 2 คนเตรียมพร้อมสำหรับทริปนี้มาหลายวัน
ต่อคิวซื้อตั๋วคนละ 320 บาท ขึ้นรถคันนี้ครับ เราได้ขึ้นรถเที่ยวแรกที่จะออกจากอุดรธานี เพื่อที่จะไปวังเวียง
ใช้เวลานั่งรถรวมๆ กว่า 6 ชม. เลยทีเดียว ถนนหนทางยังเป็นดินลูกรังเกือบตลอดทั้งเส้น
ประมาณครึ่งทางก็จะจอดแวะเพื่อให้เราได้ยืดเส้นยืดสาย ที่ร้านข้างถนน ซึ่งก็จะมีเมนูให้เราเลือกทานได้หลายอย่าง
ทั้งก๋วยเตี๋ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำท่าต่างๆ เลือกทานได้ตามใจชอบ ซึ่งใช้เวลาในการพักประมาณ 20 นาที

สาวๆ กลุ่มนี้กำลังง่วนกับของกินอยู่ตรงหน้า
หลังจากที่พักทานของว่าง ข้าวเที่ยง เ ช้าห้องน้ำห้องท่า ใช้เวลาเดินทางอีกเมื่อยนึงก็จะมาถึงวังเวียงแล้วครับ
ทริคของการมาถึงที่นี่ต้องบอกก่อนเลยว่า เราจะต้องรีบไปเข้าแถวเพื่อตีตั๋ววันกลับไว้เลยนะครับ
ถ้ารอวันกลับแล้วมารับรองว่าไม่มีตั๋วแน่นอน ^^

นี่คือบรรยากาศที่ทุกคนลงมาแล้วต้องจองตั๋วไว้สำหรับขากลับกันครับ

ระหว่างทางมีบอลลูน ขึ้นมาให้เห็นด้วย
จากนั้นก็จะมีรถคล้ายๆ รถกะป้อ บ้านเรามารับ เพื่อไปส่งในใจกลางเมือง หรือโรงแรมที่เราจองไว้
เพียงแค่บอกเค้าว่าเราจองที่พักไว้ที่ไหน รถกะป้อเค้าก็จะไปส่งเราถึงที่เลย

สายซอง เกสต์เฮ้าท์ หรือ ริเวอร์วิว เกสต์ เฮ้าท์
ที่พักที่ จขกท จองไว้คือ
สายซอง เกสต์เฮ้าท์ครับ แต่ข้างหน้าทางเข้าจะเขียนว่า
ริเวอร์วิว เกสต์ เฮ้าท์ (แอบงงเล็กน้อย ^^)
เราจองห้องพักผ่านอะโกด้า เลยทำให้ไม่ค่อยกังวลว่าจะเว่า บรรยากาศที่นี่จะสงบๆ วิวดี ติดสายน้ำซอง สะอาดสะอ้าน และไม่แพง
ที่สำคัญไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยว และที่กินในเมืองด้วย

บรรยากาศแม่น้ำซองตอนค่ำ ๆ เงียบสงบ

ด้านหน้าโรงแรมเราเดินออกมาจะมีป้ายขายมะตะบะ แบบนี้เรียงรายอยู่เต็มไปหมด ถือเป้นซิกเนเจอร์ของที่นี่ก็ว่าได้
ช่วงค่ำของวันแรกเราเดินๆ เข้าไปในเมือง เพื่อหาทริปสำหรับเที่ยว และเราก็ได้ทริปแบบ One Day Trip
ที่ราคาไม่แพง พาเราไปถ้ำน้ำ และล่องแก่ง เช้าๆ จะมีรถมารับเราที่โรงแรมเพื่อไปถ้ำน้ำก่อน
ซึ่งการเดินทางก็จะต้องเดินข้ามสะพานและเดินผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ไป ผ่านทุ่งนาที่ตอนเราไปความเขียวของทุ่งนาไม่มีแล้ว
เหลือแต่ตอข้าวที่เค้าพึ่งเกี่ยวไปเสร็จ (เราไปช่วงธันวาฯ) แนะนำว่าควรไปก่อนหน้านั้นซัก 2 เดือน ถ้าอยากเห็นภาพสวย ๆ ของข้าวเขียวขจี

โอปปาเต็มไปหมด ถูกใจสาวๆ

น้องสาวคนนี้มาเล่นน้ำ ก็เลยขอเก็บภาพไว้

ไฟฉายมีไว้สำหรับนักท่องเที่ยว ที่จะเข้าถ้ำน้ำ

ตอซังข้าวที่พึ่งถูกเกี่ยวไป ให้อารมณ์อีกแบบ

สาวๆ ที่ซื้อทริปไปพร้อมเรา 3 คน

บ้านรูปทรง และการปลูกคล้ายๆ บ้านแถบภาคอิสานของเรา คือยกสูง โปร่งๆ เพื่อระบายความร้อน
กิจกรรมที่ 2 ของวันหลังจากที่เราออกมาจากถ้ำน้ำ ก็จะเป็นการไปล่องแก่ง ซึ่งเราได้เพื่อนร่วมก๊วนเป็นน้องๆ กลุ่มเดิม
การล่องแก่งต้องระวังนิดนึงเรื่องโขดหินที่อยู่ใต้น้ำ ถ้าว่ายน้ำไม่เป็นแนะนำให้ใส่ชูชีพตลอดเวลา และระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เราใช้เวลาล่องแก่งลงไปตามแม่น้ำ ประมาณครึ่ง ชม. ชมบรรยากาศของแม่น้ำซองไปเรื่อยๆ จนถึงโรงแรมที่เราพัก
เราก็ขอหยุด และขึ้นจากเรือคายัคกันตรงนั้น

เรือคายัคนั่งได้ 2 คน

สาวๆ ที่ร่วมทริปไปกับเราทั้งวัน

รถขนเรือคายัคมารอ

บรรยากาศสวยๆ ระหว่างทาง
เช้าวันที่ 2 ของการเปิดหูเปิดตาที่วังเวียง เราตื่นกันแต่เช้า เพื่อไป
ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาเงิน
ออกจากโรงแรมประมาณตี 4 เพื่อมาขึ้นรถที่จะมารับเราไปผาเงิน นั่งรถข้ามสะพานอะไรซักอย่างเราจำไม่ได้
ต้องเสียเงินเพื่อข้ามสะพานด้วย มาถึงตีนเขาต้องใช้เวลาเดินขึ้นผาเงินอีกประมาณ 10-15 นาที แล้วแต่ความฟิตของแต่ละคนเช่นกัน
(ช่วงขาขึ้นเราสวนกับคนเดินลงมาด้วย ไกด์บอกว่าเค้าไม่ไหวเลยขอกลับไปรอที่รถ) ขึ้นมาถึงผาเงินได้บรรยากาศอีกแบบ
เราโชคดีที่ข้างบนมีคนน้อยมาก มีมาก่อนหน้าเราอยู่กลุ่มนึงประมาณ 4-5 คน อยู่แป๊บเดียวเค้าก็กลับ
ทำให้เรา 3 คนได้ครองผาเงินไปโดยปริยาย เก็บภาพแบบไม่ต้องเกรงใจใครเลยทีเดียว

บรรยากาศมองจากผาเงินลงมา จะเห็นชุมชนเล็กๆ อยู่ด้านล่าง และมีเมฆบางๆ ปกคลุมพองาม
เราลงจากผาเงินประมาณ 8 โมงกว่าๆ เพื่อเดินทางไปบลูลากูน หรือที่เราคุ้นกันในชื่อสระน้ำมรกต
ตอนเรามาถึงคนไม่มีเลย แต่พอ 10 นาทีผ่านไปเท่านั้นแหละ คนเต็มสระจร้า หามุมถ่ายภาพสวยๆ ยากพอดู
แต่ก็รอจังหวะให้คนซาถึงได้ภาพนี้มา

ไฮไลท์ของสระน้ำมรกตคือ การปีนขึ้นไปบนบันไดลิงสูงๆ ซึ่งสูงประมาณ 15-20 เมตรได้ แล้วก็กระโดดลงมา
ซึ่ง จขกท และเพื่อนๆ ป๊อด 555 เลยไม่ได้ขึ้นไปกระโดดกัน เล่นน้ำอยู่พักใหญ่ๆ ก็ขึ้นมานั่งทานบะหมี่คัพกัน ช่วยคลายหนาวได้บ้าง
เราใช้เวลาอยู่สระมรกต 2-3 ชม. ก็เดินทางกลับโรงแรมกัน

ต้นไม้ต้นนี้จำไม่ได้ว่าถ่ายที่สะพานอะไร เห็นยืนต้นตายเลยเก็บๆ มา

ส่วนร้านชายสี่ร้านนี้ เป็นร้านเดียวที่มีอยู่ในวังเวียง ขายดีมากๆ ไม่นาเชื่อว่าจะมี
หน้าร้าน เค มาร์ท ตรงนี้ จะเป็นที่นั่งประจำของพวกเราในตอนเย็นๆ จะมีนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปผ่านมาให้นั่งดูได้ตลอด
ซึ่งร้าน เค มาร์ท ที่อยู่ข้างหลังจะขายของที่อิมพอร์ต มาจากเกาหลีเป็นส่วนใหญ่ ถึงได้ชื่อว่า เค มาร์ท ยังไงเล่า

ภาพถ่ายเช้าวันกลับ ตอนนั่งรอรถมารับไป บขส.
โดยรวมแล้วไปเที่ยววังเวียง 3 วัน 2 คืน ถือว่ากำลังดี เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็นธรรมชาติ
เหมาะสำหรับคนที่จะไปพักผ่อนจริงๆ ชิลล์ๆ ไม่ต้องพกงานไปทำด้วย เรา 3 คนถือว่าได้ชาร์ตแบตเต็มที่ ค่าใช้จ่ายก็ถือว่าไม่แพง
เฉลี่ยคนละประมาณ 7พันกว่าบาทรวมค่าอาหารทุกมื้อ ค่ารถมา (ขามาจาก กทม. เรานั่งรถ บขส มากัน)
และค่าเครื่องบินขากลับ (เรากลับเครื่องบินที่อุดรธานี) สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากเที่ยวแบบพักผ่อนขอแนะนำเลย
ปล. เราเสียดายที่ไม่ได้ขึ้นบอลลูน เพราะรู้สึกว่าราคาแพงไป (จำไม่ได้ว่าต่อหัวเท่าไหร่) แต่คราวหน้าถ้ามีโอกาสไปจะไม่พลาดเลย
ปล. 2 สาวๆ ที่ร่วมทริปด้วยบอกว่าเที่ยวกลางคืนที่นี่สนุกมาก ร้านชื่อญี่ปุ่นๆ หน่อย บรรยากาศดี ไม่มั่ว
ปล. 3 อาหารเย็นของพวกเราส่วนใหญ่จะเป็นมื้อหนักๆ ทั้งส้มตำ ทั้งอาหารเวียตนาม แต่ก็ไม่เกินงบที่ตั้งไว้
วังเวียง 3 วัน 7พันกว่าบาท
ในเวลาที่เรามี 3 วัน 2 คืนที่วังเวียง
เริ่มต้นกันที่ บขส.อุดรธานีเลยแล้วกันนะครับ สาวๆ 2 คนเตรียมพร้อมสำหรับทริปนี้มาหลายวัน
ต่อคิวซื้อตั๋วคนละ 320 บาท ขึ้นรถคันนี้ครับ เราได้ขึ้นรถเที่ยวแรกที่จะออกจากอุดรธานี เพื่อที่จะไปวังเวียง
ใช้เวลานั่งรถรวมๆ กว่า 6 ชม. เลยทีเดียว ถนนหนทางยังเป็นดินลูกรังเกือบตลอดทั้งเส้น
ประมาณครึ่งทางก็จะจอดแวะเพื่อให้เราได้ยืดเส้นยืดสาย ที่ร้านข้างถนน ซึ่งก็จะมีเมนูให้เราเลือกทานได้หลายอย่าง
ทั้งก๋วยเตี๋ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำท่าต่างๆ เลือกทานได้ตามใจชอบ ซึ่งใช้เวลาในการพักประมาณ 20 นาที
สาวๆ กลุ่มนี้กำลังง่วนกับของกินอยู่ตรงหน้า
หลังจากที่พักทานของว่าง ข้าวเที่ยง เ ช้าห้องน้ำห้องท่า ใช้เวลาเดินทางอีกเมื่อยนึงก็จะมาถึงวังเวียงแล้วครับ
ทริคของการมาถึงที่นี่ต้องบอกก่อนเลยว่า เราจะต้องรีบไปเข้าแถวเพื่อตีตั๋ววันกลับไว้เลยนะครับ
ถ้ารอวันกลับแล้วมารับรองว่าไม่มีตั๋วแน่นอน ^^
นี่คือบรรยากาศที่ทุกคนลงมาแล้วต้องจองตั๋วไว้สำหรับขากลับกันครับ
ระหว่างทางมีบอลลูน ขึ้นมาให้เห็นด้วย
จากนั้นก็จะมีรถคล้ายๆ รถกะป้อ บ้านเรามารับ เพื่อไปส่งในใจกลางเมือง หรือโรงแรมที่เราจองไว้
เพียงแค่บอกเค้าว่าเราจองที่พักไว้ที่ไหน รถกะป้อเค้าก็จะไปส่งเราถึงที่เลย
สายซอง เกสต์เฮ้าท์ หรือ ริเวอร์วิว เกสต์ เฮ้าท์
ที่พักที่ จขกท จองไว้คือสายซอง เกสต์เฮ้าท์ครับ แต่ข้างหน้าทางเข้าจะเขียนว่า ริเวอร์วิว เกสต์ เฮ้าท์ (แอบงงเล็กน้อย ^^)
เราจองห้องพักผ่านอะโกด้า เลยทำให้ไม่ค่อยกังวลว่าจะเว่า บรรยากาศที่นี่จะสงบๆ วิวดี ติดสายน้ำซอง สะอาดสะอ้าน และไม่แพง
ที่สำคัญไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยว และที่กินในเมืองด้วย
บรรยากาศแม่น้ำซองตอนค่ำ ๆ เงียบสงบ
ด้านหน้าโรงแรมเราเดินออกมาจะมีป้ายขายมะตะบะ แบบนี้เรียงรายอยู่เต็มไปหมด ถือเป้นซิกเนเจอร์ของที่นี่ก็ว่าได้
ช่วงค่ำของวันแรกเราเดินๆ เข้าไปในเมือง เพื่อหาทริปสำหรับเที่ยว และเราก็ได้ทริปแบบ One Day Trip
ที่ราคาไม่แพง พาเราไปถ้ำน้ำ และล่องแก่ง เช้าๆ จะมีรถมารับเราที่โรงแรมเพื่อไปถ้ำน้ำก่อน
ซึ่งการเดินทางก็จะต้องเดินข้ามสะพานและเดินผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ไป ผ่านทุ่งนาที่ตอนเราไปความเขียวของทุ่งนาไม่มีแล้ว
เหลือแต่ตอข้าวที่เค้าพึ่งเกี่ยวไปเสร็จ (เราไปช่วงธันวาฯ) แนะนำว่าควรไปก่อนหน้านั้นซัก 2 เดือน ถ้าอยากเห็นภาพสวย ๆ ของข้าวเขียวขจี
โอปปาเต็มไปหมด ถูกใจสาวๆ
น้องสาวคนนี้มาเล่นน้ำ ก็เลยขอเก็บภาพไว้
ไฟฉายมีไว้สำหรับนักท่องเที่ยว ที่จะเข้าถ้ำน้ำ
ตอซังข้าวที่พึ่งถูกเกี่ยวไป ให้อารมณ์อีกแบบ
สาวๆ ที่ซื้อทริปไปพร้อมเรา 3 คน
บ้านรูปทรง และการปลูกคล้ายๆ บ้านแถบภาคอิสานของเรา คือยกสูง โปร่งๆ เพื่อระบายความร้อน
กิจกรรมที่ 2 ของวันหลังจากที่เราออกมาจากถ้ำน้ำ ก็จะเป็นการไปล่องแก่ง ซึ่งเราได้เพื่อนร่วมก๊วนเป็นน้องๆ กลุ่มเดิม
การล่องแก่งต้องระวังนิดนึงเรื่องโขดหินที่อยู่ใต้น้ำ ถ้าว่ายน้ำไม่เป็นแนะนำให้ใส่ชูชีพตลอดเวลา และระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เราใช้เวลาล่องแก่งลงไปตามแม่น้ำ ประมาณครึ่ง ชม. ชมบรรยากาศของแม่น้ำซองไปเรื่อยๆ จนถึงโรงแรมที่เราพัก
เราก็ขอหยุด และขึ้นจากเรือคายัคกันตรงนั้น
เรือคายัคนั่งได้ 2 คน
สาวๆ ที่ร่วมทริปไปกับเราทั้งวัน
รถขนเรือคายัคมารอ
บรรยากาศสวยๆ ระหว่างทาง
เช้าวันที่ 2 ของการเปิดหูเปิดตาที่วังเวียง เราตื่นกันแต่เช้า เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาเงิน
ออกจากโรงแรมประมาณตี 4 เพื่อมาขึ้นรถที่จะมารับเราไปผาเงิน นั่งรถข้ามสะพานอะไรซักอย่างเราจำไม่ได้
ต้องเสียเงินเพื่อข้ามสะพานด้วย มาถึงตีนเขาต้องใช้เวลาเดินขึ้นผาเงินอีกประมาณ 10-15 นาที แล้วแต่ความฟิตของแต่ละคนเช่นกัน
(ช่วงขาขึ้นเราสวนกับคนเดินลงมาด้วย ไกด์บอกว่าเค้าไม่ไหวเลยขอกลับไปรอที่รถ) ขึ้นมาถึงผาเงินได้บรรยากาศอีกแบบ
เราโชคดีที่ข้างบนมีคนน้อยมาก มีมาก่อนหน้าเราอยู่กลุ่มนึงประมาณ 4-5 คน อยู่แป๊บเดียวเค้าก็กลับ
ทำให้เรา 3 คนได้ครองผาเงินไปโดยปริยาย เก็บภาพแบบไม่ต้องเกรงใจใครเลยทีเดียว
บรรยากาศมองจากผาเงินลงมา จะเห็นชุมชนเล็กๆ อยู่ด้านล่าง และมีเมฆบางๆ ปกคลุมพองาม
เราลงจากผาเงินประมาณ 8 โมงกว่าๆ เพื่อเดินทางไปบลูลากูน หรือที่เราคุ้นกันในชื่อสระน้ำมรกต
ตอนเรามาถึงคนไม่มีเลย แต่พอ 10 นาทีผ่านไปเท่านั้นแหละ คนเต็มสระจร้า หามุมถ่ายภาพสวยๆ ยากพอดู
แต่ก็รอจังหวะให้คนซาถึงได้ภาพนี้มา
ไฮไลท์ของสระน้ำมรกตคือ การปีนขึ้นไปบนบันไดลิงสูงๆ ซึ่งสูงประมาณ 15-20 เมตรได้ แล้วก็กระโดดลงมา
ซึ่ง จขกท และเพื่อนๆ ป๊อด 555 เลยไม่ได้ขึ้นไปกระโดดกัน เล่นน้ำอยู่พักใหญ่ๆ ก็ขึ้นมานั่งทานบะหมี่คัพกัน ช่วยคลายหนาวได้บ้าง
เราใช้เวลาอยู่สระมรกต 2-3 ชม. ก็เดินทางกลับโรงแรมกัน
ต้นไม้ต้นนี้จำไม่ได้ว่าถ่ายที่สะพานอะไร เห็นยืนต้นตายเลยเก็บๆ มา
ส่วนร้านชายสี่ร้านนี้ เป็นร้านเดียวที่มีอยู่ในวังเวียง ขายดีมากๆ ไม่นาเชื่อว่าจะมี
หน้าร้าน เค มาร์ท ตรงนี้ จะเป็นที่นั่งประจำของพวกเราในตอนเย็นๆ จะมีนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปผ่านมาให้นั่งดูได้ตลอด
ซึ่งร้าน เค มาร์ท ที่อยู่ข้างหลังจะขายของที่อิมพอร์ต มาจากเกาหลีเป็นส่วนใหญ่ ถึงได้ชื่อว่า เค มาร์ท ยังไงเล่า
ภาพถ่ายเช้าวันกลับ ตอนนั่งรอรถมารับไป บขส.
โดยรวมแล้วไปเที่ยววังเวียง 3 วัน 2 คืน ถือว่ากำลังดี เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะเป็นธรรมชาติ
เหมาะสำหรับคนที่จะไปพักผ่อนจริงๆ ชิลล์ๆ ไม่ต้องพกงานไปทำด้วย เรา 3 คนถือว่าได้ชาร์ตแบตเต็มที่ ค่าใช้จ่ายก็ถือว่าไม่แพง
เฉลี่ยคนละประมาณ 7พันกว่าบาทรวมค่าอาหารทุกมื้อ ค่ารถมา (ขามาจาก กทม. เรานั่งรถ บขส มากัน)
และค่าเครื่องบินขากลับ (เรากลับเครื่องบินที่อุดรธานี) สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากเที่ยวแบบพักผ่อนขอแนะนำเลย
ปล. เราเสียดายที่ไม่ได้ขึ้นบอลลูน เพราะรู้สึกว่าราคาแพงไป (จำไม่ได้ว่าต่อหัวเท่าไหร่) แต่คราวหน้าถ้ามีโอกาสไปจะไม่พลาดเลย
ปล. 2 สาวๆ ที่ร่วมทริปด้วยบอกว่าเที่ยวกลางคืนที่นี่สนุกมาก ร้านชื่อญี่ปุ่นๆ หน่อย บรรยากาศดี ไม่มั่ว
ปล. 3 อาหารเย็นของพวกเราส่วนใหญ่จะเป็นมื้อหนักๆ ทั้งส้มตำ ทั้งอาหารเวียตนาม แต่ก็ไม่เกินงบที่ตั้งไว้