[CR] Northern Light and Frostbite : แชร์ประสบการณ์ตามหาแสงเหนือกับเท้าชาๆ ฉบับงงๆ

สวัสดีค่ะ เดือนที่ผ่านมาเรามีโอกาสไปทำธุระที่สวีเดนเป็นเวลา 1 เดือน ในช่วง 1 เดือนนี้ ได้รับวันหยุดอย่างไม่คาดฝันมา จึงจัดทริปแบบไม่คาดคิดขึ้นค่ะ

เราตัดสินใจไปตามหาแสงเหนือ โดยเลือกไปที่ Abisko สาเหตุเพราะคิดปลอบตัวเองว่า ถึงไม่เห็นแสงเหนือ แต่ได้เห็นวิวของ Abisko ก็ยังดี กับที่นี่มี Aurora sky station (ประมาณว่าเป็นสถานีสำหรับดูแสงเหนือ ขึ้นลิฟต์ไปนั่งรอดูได้) น่าจะเหมาะกับคนขับรถไม่เป็น ไม่เดินป่า อยากนั่งเฉยๆอย่างเรา

แต่เพราะหาข้อมูลกระชั้น ตั๋วaurora sky stationขายหมดไปแล้ว เราจึงจำใจซื้อทัวร์ราคาแพงทัวร์เดียวที่ยังเหลืออยู่ ตามจริงเป็นทัวร์สอนถ่ายภาพแต่เปิดรับคนทุกระดับความสามารถ เราจึงขอไปเข้าร่วม แต่ตอนหลังรู้สึกคิดถูก เพราะทางทัวร์เตรียมกล้องDSLRมาให้ ที่สำคัญคือตั้งกล้องให้แล้ว 555 เราแค่กดชัตเตอร์ (แต่ถ้าเป็นคนถ่ายภาพจริงๆ เค้าจะคุยดิสคัสการใช้กล้องอะไรกัน) เราเลยมีภาพแสงเหนือกับเค้าได้ เพราะไอโฟนมันถ่ายยังไงก็ไม่ติด

คืนวันที่ไปทัวร์ เช็กสภาพอากาศ ตอนแรกบอกมีเมฆ แต่สักพักก็บอกฟ้าเปิด แต่ค่า Kp2-3 รู้สึกหวั่นใจ ท้อๆ ยังไงคงไม่เห็น

มานั่งคิดดู เรามีโอกาสไม่มาก แล้วแสงเหนือเป็นอะไรที่คาดเดาไม่ได้ เค้าบอกวิทยาศาสตร์ทำนายได้แค่50 อีก50ใช้โชคล้วนๆ ไหนๆก็จะเหนือธรรมชาติแล้ว ขอไปให้สุด เราเลยอธิษฐานในใจ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสมมติเองว่าน่าจะเรียกว่าเทพเจ้าแห่งแลปแลนด์ ช่วยดลบันดาลให้เราเห็นแสงเหนือที เราอยากเห็นมาก และเราไม่ได้คิดมาล่าแสงเหนือ แต่มาอ้อนวอนขอให้แสงเหนือปรากฏตัวให้เห็น (คือพยายามมาก ไม่กล้าใช้คำว่าล่าด้วย กลัวแสงเหนือโกรธ) ก่อนออกไปทัวร์ ก็พิมพ์ไปหาแม่ ให้แม่ให้พร (เป็นหนักมาก) แม่ยังงงอยู่ แต่ก็บอกโอมเพี้ยง (คือแม่คงคิดว่า ลูกดูแปลกๆไปมั้ย)

แม่พิมพ์ส่งมาจบปุ๊บ เดินออกจากโรงแรม มองขึ้นฟ้า จากท้องฟ้าสีดำ ก็เห็นแสงสีขาวเรื่อๆ ค่อยๆตัดผ่านกลางท้องฟ้าไป มันเหมือนขยับไปมาได้ ค่อยๆมีสีเขียวเรื่อขึ้น

ตอนนั้นก็นิ่งไป แล้วก็คิดในใจว่า เอ...นี่คือแสงเหนือรึเปล่า หันกลับไปทางโรงแรม ก็เห็นคน 2-3 กลุ่ม วิ่งขนขาตั้งกล้องออกมาถ่ายกัน ตอนนั้นเลยสำเหนียกแล้วว่า เทพเจ้าแห่งแลปแลนด์ได้ประธานพรให้เราแล้ว ตกใจแทบช็อค

รูป 1 : ภาพที่ถ่ายกับทัวร์ตอนแสงยังอ่อนๆ เอามาประกอบกันเบื่อ


แต่ของจริงที่เห็นไม่เหมือนในรูป มันสีจางมาก มองแทบไม่เห็น ตอนแรกนึกว่าเมฆลอยผ่าน ยืนชมความงามไปสักพัก ก็ได้เวลาทัวร์นัด
ถึงที่นัดหมาย ทัวร์มีชุดสูทสกีให้สวมทับ แต่ไม่มีรองเท้าให้ เราใส่รองเท้ากันหิมะ กับถุงเท้าวูลก็คิดว่าน่าจะพอไหว

จากนั้นทัวร์พาเราขี่สโนว์โมบิลตัดป่าลงไปที่ทะเลสาป มองไปไม่เห็นคนเลย เวิ้งว้างมาก เงียบมาก มีแต่เสียงพวกเรานี่แหละ เขาตั้งกล้องให้จำได้แค่ speed shutter 15 sec ถ้าสว่างเห็นชัด ก็ลดเองได้ มีเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง เราก็ถ่ายอะไรไป บางทีบนท้องฟ้าไม่เห็นอะไรเลย แต่พอถ่ายรูปแล้วกลับมีแสงเหนือจางๆติดมา คงเพราะกล้องเปิดรูรับแสงไว้นานกว่าตาเราได้

รูป 2 : แสงเหนือจางๆในช่วงแรก


เวลาผ่านไป เริ่มรู้สึกหนาวเท้ามากขึ้นเรื่อย เท้าซ้ายเย็นมากเป็นพิเศษ แต่ยังไม่คิดอะไร

ผ่านไปได้สักชั่วโมงกว่า เริ่มชาและเจ็บบริเวณนิ้วนางกับนิ้วก้อยที่เท้าซ้าย ลองขยับดู ยังขยับได้อยู่ เลยพยายามเดินไปเดินมาให้เลือดไหลเวียน ขณะนั้นยังพอมีภาพแสงเหนือจางๆ แต่เราไม่เห็นอะไรนัก ชัดสุดคงเป็นแวบแรกนอกโรงแรม

เวลาผ่านไปอีก ประมาณ 2 ชั่วโมงแล้ว เรารู้สึกผิดปกติ คือเราแทบไม่รู้สึกอะไรที่นิ้วนางกับนิ้วก้อยเลย ลองพยายามขยับ ก็ไม่รู้สึกว่าขยับ ไม่รู้ว่าขยับไม่ได้ หรือว่าขยับแล้วแต่เราไม่รู้ตัว เราเริ่มกลัว

เรารีบเขาไปในกระโจมหลบหนาว แต่แม้ในกระโจม เบาะนั่งก็ยังเป็นน้ำแข็ง อากาศยังเย็นมาก เราถอดรองเท้าออก แต่ยังไม่กล้าถอดถุงเท้า เอามือกำๆไว้ให้ได้ความอุ่นจากตัวไปก่อน ผ่านไปสักพักนิ้วเท้าเริ่มรู้สึก กับตอนนั้นมีคนตะโกนเรียกให้ออกไปดู จึงรีบออกไป

ท้องฟ้าตอนนั้น มีแสงสีขาวปนเขียวบางๆพาดผ่าน ความแรงพอๆกับที่โรงแรม แต่ไม่ขยับเคลื่อนไหว ไกด์ซึ่งเป็นช่างภาพเล่าว่า ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ คือมันจะนิ่งๆ บางครั้งมาแรงมาก เห็นเขียวจนแทบจะเหมือนในภาพ แต่กลับไม่ขยับเลย ส่วนใหญ่ที่เห็นขยับคือใช้ mode time lapse กัน (นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำไมเปิดรูรับแสงนาน แต่ภาพดูชัด เพราะแสงเหนือเองก็ไม่ขยับ?)

รูป 3 : แสงเหนือเริ่มเข้มขึ้น

อาการชาที่นิ้วเท้ายังคงอยู่ และดูเหมือนจะมากขึ้น คือไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนไม่มีนิ้วอยู่ ขยับก็ไม่ได้จริงๆ สภาพอากาศติดลบ และเราเห็นแล้วว่าถุงเท้าเราชื้นอาจเพระมีหิมะเข้าตามรูที่ขาด เลยตัดสินใจเข้าไปในกระโจมใหม่ และถอดถุงเท้าออก ในหัวตอนนั้นคิดว่า อาจจะเป็น frostbite

Frostbite
คือโรคชนิดหนึ่ง เกิดจากที่มือเท้าเราไปโดนความเย็นระดับต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ทำให้เซลล์เราบาดเจ็บ และหลั่งสารบางอย่างออกมา ซึ่งสารนี้จะไปทำให้เส้นเลือดที่มาเลี้ยงปลายนิ้วหดตัว เลือดในเส้นเลือดแข็งตัว ปลายนิ้วไม่มีเลือดไปเลี้ยง เซลล์ก็จะตาย

(รูปในสปอยล์ ทำใจก่อนดู)

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุปคือ ความเย็นสุดๆไปเลยนั้น ทำให้ "เซลล์ส่วนปลายบาดเจ็บ และเลือดไปเลี้ยงไม่ได้" สุดท้าย "เซลล์ตายได้"

ตอนนั้นใจกลัวว่าจะเป็นระดับแรงๆ ที่แบบเซลล์ทนไม่ไหวแล้ว ตายล่ะ บาย มันเลยขยับไม่ได้ ซึ่งแบบนั้นนิ้วเรามันก็จะแสดงให้ เราเลยรีบถอดถุงเท้าออกมาดู

ตอนที่เท้าออกมา เราขอว่าอย่าเพิ่งม่วงเลย (ม่วงนี่คือเซลล์น่าจะตายแล้ว แสดงว่าเป็น frostbite ระยะท้ายๆ) ปรากฏว่านิ้วก้อย นิ้วนาง และนิ้วกลางซึ่งยังพอรู้สึกอยู่ ดูบวมแดงขึ้น พอจับดูก็เย็นกว่าบริเวณอื่นๆมาก ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่พอขยับได้เล็กน้อย ลองกดดูให้สีแดงที่นิ้วจางแล้วปล่อย พบว่าใช้เวลา 4 วินาที ซึ่งนานกว่าปกติ (ปกติควร 2 วินาที) แต่ยังกลับเป็นสีแดงได้อยู่

ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่า เป็นแค่ Frostbite ระยะเริ่มต้น หรือว่าแค่เท้าเย็นบวมเฉยๆ อาจจะแยกยากต้องรอดูต่อไปก่อน อย่างไรก็ตาม สภาพนั้นเราทำได้แค่ rewarming ให้เร็วที่สุด ก็เลยเอาเท้าไปอังๆไฟ(ซึ่งจริงๆห้ามทำ ถ้าเป็นfrostbiteแบบเนื้อตายนะ อันนี้เราทำไม่ดี) ดีที่คนส่วนใหญ่ออกไปถ่ายภาพ ไม่งั้นเราคงอายแย่

เวลาผ่านไป ทุกคนเข้ามารวมกัน เราใส่ถุงเท้ากลับเข้าไปใหม่ แต่ยังพยายามอังไฟอยู่ เริ่มมีความเจ็บปวดแสบปวดร้อนเกิดขึ้น ตอนนั้นเริ่มใจชื้นว่า แสดงว่าเซลล์เรายังอยู่ ถ้ามันตายแล้วมันจะไม่รู้สึกเลย

ระหว่างนี้ไกด์ก็แนะนำเรื่องแสงเหนือ บอกว่าที่จริงมีหลายสี แต่ละสีเกิดจากมันชนกับก๊าซต่างชนิดไป โดยตัวของไกด์ซึ่งเป็นช่างภาพ กับคนขับสโนว์โมบิลซึ่งเป็นคนพื้นที่ เคยเห็นเพียงแสงเหนือสีเขียว สีชมพู และสีฟ้า พวกเราคุยต่อกันไปเรื่อยๆ จนถึงเวลากลับ ตอนนั้นเราเริ่มดีขึ้นหน่อยแล้ว ก็ค่อยๆใส่รองเท้ากลับไป แต่ยังอืดอาด คนอื่นๆก็ออกไปเก็บกล้องกันก่อนแล้ว

เราค่อยๆเดินกะเผลกๆออกมา ใจก็คิดว่า เห็นแค่นี้ก็พอใจแล้ว ขอบคุณเทพเจ้าแห่งแลปแลนด์มากๆ แล้วก็นึกขำตัวเองที่เป็นได้ถึงขนาดนี้

รูป 5 : เมื่อออกจากกระโจม

พอเงยหน้าออกจากกระโจม ก็ได้ยินเสียงกรี๊ดๆ ของคนอื่นๆ มองขึ้นไปด้านบน เห็นแสงสีเทาหม่นปนเขียว เต็มท้องฟ้า มันค่อยๆเต้นมาเหนือหัวเรา สีเทาค่อยๆกลายเป็นสีเขียว แล้วแสงนั้นก็หนาขึ้นเรื่อยๆ มองไปอีกฝั่งก็เห็นเหมือนกัน จากนั้นชั่วไม่กี่อึดใจ แสงเหนือก็เต็มท้องฟ้า แล้วมารวมกันอยู่เหนือหัวพวกเรา เต้นมารวมกันเป็นก้นหอย เปล่งแสงสีเขียวบ้างสีชมพูบ้าง

เรายืนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก จนได้ยินเสียงคนสิงคโปร์กับอเมริกันกรี๊ดๆ เพราะทุกคนเก็บกล้องไปหมดแล้ว ก็นึกได้ว่า อ้าว ในมือกุมีกล้องนี่หว่า ซึ่งยังติดกับขาตั้งกล้องอยู่ แต่ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เพราะแสงมันอยู่เหนือหัวพอดี ถ่ายเท่าที่ถ่ายได้ ทุลักทุเลมาก

รูป 6 : เหนือหัว

แสงเหนือปรากฏตัวให้เราเห็นไม่นานก็จากไป พวกเรานั่งสโนว์โมบิลล์กลับด้วยความยินดี ขากลับเราเห็นแสงเหนือจางๆอยู่เหนือภูเขา มาให้เห็นชั่วครู่ก็หายไปเหมือนบอกลา จากนั้นในคืนนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย เรากล่าวขอบคุณเทพเจ้าแห่งแลปแลนด์ แสงเหนือ ท้องฟ้า หิมะ สายลมในใจ (และขอบคุณแม่ด้วยค่ะ)

กลับมาถึงห้อง เรารีบถอดรองเท้า แล้วเอาน้ำอุ่นอุณหภูมิประมาณ 38 องศาราด เพิ่งนึกได้ว่า เครื่องทำน้ำร้อนที่นี่ชอบมีจุดเขียนว่า 38 องศา ไม่รู้เพราะว่าเป็นค่าความร้อนมาตรฐานที่ใช้ rewarming โรคที่เกิดจากความเย็นหรือเปล่า แต่ก็ทำให้เราใช้ได้ทันที

หลังจากนั้นปวดแสบปวดร้อนอีกระยะก็กลับมาเหมือนปกติ วันถัดๆมายังบวมอยู่นิดหน่อย หนังลอกนิดหน่อย แต่ไม่มีตุ่มน้ำใสหรือสีเท้าอื่นๆเปลี่ยนไป ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว เป็นอันใช้ได้หายสนิท สรุปน่าจะเป็นแค่ Frostbite ระยะแรกสุด โชคดีไป

หลังจากนั้นกลับมาคิดดู รองเท้าเราเก่าแล้ว แถมที่จริงมันใช้สำหรับติดลบเล็กน้อย แต่เราเอามาย่ำหิมะ arctic เราให้ค่าเท้าตัวเองน้อยไปหรือเปล่า เราตัดสินใจซื้อรองเท้าใหม่

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราเขียนกระทู้นี้โดยเขียนเรื่องเท้าด้วย(ทั้งที่อาจจะทำให้กระทู้ดูเลอะเทอะ) เพราะรู้สึกว่าคนด้านสาธารณสุขอย่างเรา ยังไม่คิดถึงโรคที่เกิดจาก cold injury เลย แล้วคนอื่นๆล่ะ ถ้าเขียนแล้วมีคนมาอ่าน แล้วเขากำลังจะไปเที่ยวที่หนาวมากๆ ก็อาจจะมีประโยชน์ มากกว่ากระทู้อ่านสนุกเฉยๆก็ได้

สรุป Frostbite สิ่งที่ควรรู้
ป้องกัน: ตรวจสภาพอากาศ ใช้รองเท้าที่เหมาะสม ระวังความชื้นและลมเพราะจะเพิ่มความเย็นขึ้นไปอีก
อาการ: มักเป็นที่ปลายนิ้วหรือจมูก จะชา  สีจะซีด อาจจะบวมแดงได้บางกรณี แต่ถ้าม่วงดำคือน่ากลัว
ปฐมพยาบาล: อย่าให้เท้าโดนรัดเพื่อให้เลือดไปสะดวก ระวังความชื้นและลม พันด้วยผ้าแห้ง ให้ความอบอุ่นเร็วสุด ควรเป็นน้ำอุณหภูมิ 37-38 องศา ดื่มน้ำร้อน ไม่ควรผิงไฟในกรณีเนื้อตายแล้ว ยกขาสูงเล็กน้อย ไม่ควรนวด ในตำราบอกให้อยู่นิ่งๆด้วย แต่น่าจะเป็นกรณีมันดำเน่าไปแระ
ไปพบแพทย์เมื่อ: อันนี้ในตำราไม่เขียน เขียนแต่ไปรพ.นะ เราแนะนำไปรพ.เหมือนกันค่ะ ดังนั้นอย่าลืมทำประกัน

รูป 8 : ตอนมันเริ่มเต้น ตอนนั้นยังจาง


หวังว่าจะมีประโยชน์ค่ะ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่า
ทั้งนี้ ด่าได้แต่อย่าแรง 5555

----------


ป.ล.เรื่องเทพเจ้า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ชื่อสินค้า:   Aurora Borealis at Abisko
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่