ตอนที่ 1
https://pantip.com/topic/36096089
บทที่ 2
.
“ธี..คุณหายหัวไปไหนมา ทำไมทิ้งสาไว้คนเดียว” พอได้สติหญิงสาวก็ลุกขึ้นต่อว่าด้วยความโกรธแค้นและเสียใจ มือทั้งสองรัวกำปั้นเข้าใส่ผู้เป็นสามีชนิดไม่ยั้ง “คุณรวมหัวกับยัยนั่นคิดจะฆ่าฉันใช่ไหม แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่เข้าใจ บอกความจริงมาเลยนะธี ว่าคุณทำอะไรกันแน่”
ไม่มียัยนั่นคือใครหรอก สา ฟังผมให้ดี” ชายหนุ่มรวบมือของแฟนสาวไม่ให้ออกฤทธิ์ต่อไป “ เรายังไม่ได้แต่งงานกันเลย ผมแค่ขอคุณแต่งงานเท่านั้น คุณตั้งสติลองคิดดูดีๆ ผมเองก็เพิ่งรู้จากคุณหมอนี่ล่ะว่าคุณเป็นโรคจิตคิดมากระดับรุนแรง มันทำให้คุณคิดเองเออเองสุดโต่ง และเชื่อไปกับความคิดฟุ้งซ่านของคุณ”
“ไม่จริง มันจะเป็นไปได้ยังไง”
“เป็นไปแล้วสา คุณป่วยหนัก และไม่ยอมกินยาตามเวลา อาการคุณเลยกำเริบหนัก”
จะให้ยอมรับว่าชีวิตการแต่งงานและการสร้างครอบครัวเป็นเพียงอาการหลอนทางประสาทอย่างนั้นหรือ หญิงสาวคร่ำครวญโหยหวน ความทรงจำแสนวิเศษชัดเจนจะเป็นเพียงอาการฟุ้งซ่านคิดไปเองได้อย่างไร ความทรงจำของคนเราสร้างมาจากประสบการณ์ไม่ใช่ก่อรูปร่างสร้างแต่งขึ้นมาเอง เป็นไปไม่ได้แน่นอน ภาพวันแต่งงานสวยงามยังประทับชัดเจนในความทรงจำและชีวิตหลายปีผ่านมานานเกิดจากความไม่จริง มันเป็นไปได้อย่างไร
“คุณโกหกสา...เรื่องบ้าแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน คุณมันบ้าๆๆ”
“เขาพูดถูกแล้ว คุณเมสิสา”
เสียงทุ้มนุ่มดังแทรกมาจากด้านข้าง หญิงสาวผละออกจากแฟนหนุ่ม หันไปมองโดยไม่ตั้งใจ เห็นผู้ชายในชุดคุณหมอวัยค่อนคนกำลังยืนจ้องมองด้วยสายตาของหมอกำลังจ้องมองคนไข้อาการหนัก บรรยากาศรอบตัวหมุนคว้างก่อนผนึกตัวชาค้าง และตอนนั้นเองที่เธอเริ่มรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดคนไข้แขนทั้งสองถูกพันธนาการไว้ด้วยเสื้อแขนยาวของตัวเองแน่นแน่น เมื่อครู่เธอกำลังทุบตีชายคนรักด้วยความเกรี้ยวกราดไม่ใช่หรือ ทำไมถูกมัดแบบไม่รู้ตัว
พอหันไปมองชายคนรักเขาก็หายตัวไปเสียแล้ว
“ธี...คุณอยู่ไหน” หญิงสาวร้องเรียกหาชายคนรักพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่จนใจว่าร่างกายถูกมัดกับเก้าอี้อย่างแน่นหนา อยู่ภายในห้องสีขาวมองเห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์แปลกตาหลายอย่างเรียงรายตามข้างผนังห้อง ความรู้สึกนึกคิดวิ่งพล่านวนเวียนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“คุณเป็นใคร” เธอหันมาถามคนแปลกหน้าอย่างหวาดระแวง
“ผมชื่อประยุทธ์ หมอประจำตัวของคุณ แต่ท่าทางคุณจำผมไม่ได้”
“คุณเห็นเมธีไหม”
“ไม่มีเมธีที่ไหนหรอก” คุณหมอว่าขณะขยับแว่นมองหน้าคนไข้สาวให้ถนัดชัดตา หันไปคว้าเอกสารบนโต๊ะตัวเล็กด้านข้างขึ้นมาอ่านอย่างพิจารณาก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงแสดงความเห็นอกเห็นใจว่า
“จากรายงานล่าสุดที่ผมได้รับจากฝ่ายวิเคราะห์โรคทางจิต ข้อมูลสอดคล้องกันว่าคุณเป็น “โรคจิตคิดไปเอง” ขั้นร้ายแรงในระดับเก้า…..ความจริงคือคุณไม่เคยมีแฟน และคุณไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลย”
“ไม่จริง...” หญิงสาวสะอื้นให้ พวกหมอต้องรวมหัวกันหลอกลวงด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆชีวิตผ่านมาจะกลับกลายเป็นเพียงภาพฝันมันเป็นไปได้อย่างไร เธอมีแฟนและแต่งงานแล้ว สามีกำลังนอกใจและลงท้ายด้วยฉากฆาตกรรมอันโหดร้าย นั่นต่างหากคือความจริงอันโหดร้าย แล้วทำไมอยู่ดีๆ กลับกลายเป็นว่ามาอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิตได้ คนรักกลับกลายเป็นความว่างเปล่า แถมเป็นโรคจิตคิดไปเองระดับเก้าอีกต่างหาก
"เมื่อครู่คุณยังบอกว่าเมธีพูดถูกอยู่เลย”
คุณหมอถอนลมหายใจยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้วางหนังสือลง เอามือประสานกันบนตัก สายตาบ่งบอกแววเห็นใจและหนักใจ การอธิบายให้คนบ้ารู้ว่าตัวเองเป็นบ้าไม่ใช่เรื่องง่าย ใครบ้างล่ะจะยอมรับว่าตัวเองมีอาการฟั่นเฟือนทางประสาท
“ผมรู้ว่ามันยากจะทำใจ ผมเห็นคุณคุยอยู่กับตัวเอง ก็พอจะเข้าใจว่าเมธีเป็นใคร “ เขาพยายามอธิบายตามทักษะของความเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญ
“ ผมไม่แปลกใจหรอก ว่าอยู่ดีๆ ก็มีคนมาบอกว่าชีวิตที่ผ่านมาของเราไม่ใช่เรื่องจริง มันก็ยากจะทำใจเหมือนกัน คนเรานะถ้าอยู่กับความฝันมากเกินไปก็จะยึดเกาะติดกับความฝันตลอดไปนั้นว่าเป็นจริงไปเลย อย่างไรก็ดี สถาบันของเราได้ค้นพบยาชนิดใหม่ในการรักษาโรคจิตคิดไปเองให้หายขาดได้ คุณเมริสาเป็นคนไข้รายแรกที่จะได้ทดลองยาตัวนี้ ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยนะครับ”
ว่าพลางคุณหมอหันหน้าไปด้านข้างพยักหน้าเหมือนให้สัญญาณบางอย่าง นางพยาบาลคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องพร้อมด้วยกระบอกเข็มฉีดยาในมือ หญิงสาวมองเห็นหน้าแล้วต้องสะดุ้งเฮือกทันที ไม่ใช่ใครอื่น สาวหน้าขาวผมยาวปากแดงชื่อแอนนานั่นเอง สีหน้าท่าทางของเธอเรียบเฉยไม่ได้มีแววตาขี้เล่นร้ายชวนขนลุกอย่างพบหน้าครั้งแรก ความจริงเธอเป็นคนไข้โรคจิตไม่ใช่หรือ แล้วอยู่ดีๆ ทำไมกลายเป็นนางพยาบาลไปได้
“แอนนา ฉีดยาให้คุณเมริสาเลยครับ”
คุณหมอบอกพลางขยับเก้าอี้ถอยหลังออกไป เพื่อโอกาสให้นางพยาบาลทำงานได้สะดวกมากขึ้น แอนนาเดินมาหยุดเบื้องหน้าคนไข้สาวผู้พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแต่ไร้ผล สีหน้าเรียบเฉยขณะจ้องมองลงมาเหมือนรอจังหวะในการปักกระบอกเข็มฉีดยา เป้าหมายอาจเป็นต้นแขน ต้นขา หรืออะไรก็ได้ที่สะดวก
ทันใดนั้นเองแอนนาก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงมือขวาเข้าซอกคอด้านซ้ายของคุณหมอผู้ไม่ทันระวังตัวเต็มแรง จนร่างคุณหมอประยุทธ์ล้มออกจากเก้าอี้ลงไปนอนตะแคงบนพื้น ร้องออกมาไม่เป็นภาษามือไขว่คว้าซอกคอของตัวเองด้วยท่าทางเจ็บปวดแบบไม่ทันตั้งตัว มีดผ่าตัดเล่มหนึ่งปักลึกบริเวณลำคออย่างน่าหวาดเสียว และคงโดนจุดสำคัญเข้าพอดี หลังจากทุรนทุรายไม่นานคุณหมอเคราะห์ร้ายก็แน่นิ่งไปท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของคนไข้สาวผู้ยังคงถูกมัดติดเก้าอี้อย่างไม่มีทางดิ้นหลุด
ใบหน้าของแอนนาเริ่มมีรอยยิ้มอีกครั้ง เธอถือกระบอกเข็มฉีดยาอยู่ในมือซ้ายแต่ท่าทางยังไม่รีบร้อนจะใช้มันในตอนนี้
“หมดปัญหาไปอีกคนแล้วนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเริงรื่น แม้ว่าเพิ่งฆ่าคนมาหมาดๆ ก้มหน้าขาวลงมายิ้มหวานจากริมฝีปากแดงจัดผิดธรรมชาติ ส่ายหน้าเล่นให้เส้นผมยาวสลวยเกลี่ยปัดใบหน้าของอีกฝ่ายไปมาเหมือนจะยั่วเย้า “ทีนี้ก็เหลือเราสองคนแล้ว”
“เธอทำแบบนั้นทำไม” เมริสาแม้กำลังพยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็ยังไม่วายสงสัย
“เรื่องอะไรฉันจะยอมให้เธอหายดีล่ะ เมริสาจ๋า ขืนเธอเป็นปกติฉันก็แย่สิจ๊ะ” แอนนายิ้มหวาน
“เธอเป็นใครกันแน่”
"ตอนนี้ฉันอยากเป็นอะไรก็ได้ และ...."
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ใครบางคนเคลื่อนตัวมาด้านหลังพร้อมกับเชือกไนลอนเส้นยาวในมือตวัดคล้องเข้าบริเวณของพยาบาลสาวอย่างรวดเร็วรุนแรงกระชากรั้งไปทางด้านหลัง แอนนาเปลี่ยนสีหน้าเป็นบิดเบี้ยวอ้าปากกว้างกระบอกเข็มฉีดยาหลุดจากมือ พยายามแกะเชือกออกจากลำคอสุดชีวิต
คุณหมอหนุ่มสวมแว่นตานั่นเองเป็นคนลงมือ ขณะกระชับเชือกให้แน่นเข้าใบหน้าของเขายังสงบราบเรียบเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ สักครู่พอคลายเชือกออกร่างของแอนนาก็ทรุดฮวบลงบนพื้นนอนแน่นิ่ง และตอนนั้นเองเมริสาสังเกตได้ว่าหมอประยุทธ์ที่โดนมีดผ่าตัดปักซอกคอหายไปอย่างไร้ร่องร่อย ไม่มีแม้แต่รอยเลือด
ฝันร้าย......มันต้องเป็นฝันร้ายแน่นอน หญิงสาวกรีดร้องในใจปากอ้าตาค้างมองเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาคำถามมากมายวิ่งพล่านเต็มหัวสมอง ความฝันหรือความจริงกันแน่ ทุกอย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“คุณหมอ..คุณฆ่าเธอทำไม..” เมริสาถามเสียงตะกุกตะกัก สายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงสงสัย เหนื่อยจนไม่อยากดิ้นรนเอาตัวรอดแล้ว ตายเสียได้ก็ดีจะได้ตื่นฟื้นหลุดพ้นจากเหตุการณ์บ้าๆ เสียที
“ใจเย็นๆ..รู้ไหมว่ายาที่แอนนาจะฉีดให้มันคือยาอะไร” คุณหมอหนุ่มย้อนถามขณะทิ้งเชือกในมือเหมือนไม่คิดจะใช้มันอีก แต่นั่นไม่ได้ทำให้หญิงสาวคลายความหวาดกลัวลงได้ อย่างไรหมอก็เป็นฆาตรกร
“ผมบอกให้ก็ได้ว่า มันคือยา ที่จะทำให้คุณบ้าแบบอมตะไม่มีทางแก้ไขรักษาหายได้อีก ผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ถ้าคุณหายเป็นปกติ ทุกอย่างก็พังสลายไม่มีเหลือ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณหมอ”
“ฟังผมให้ดีนะ คุณเป็นโรคจิตรุนแรงชนิดหนึ่ง มันเริ่มจากโรคซึมเศร้าวิตกจริตผิดพลาดของคุณ พัฒนาไปสู่โรคจิตคิดไปเองอย่างรวดเร็ว คิดมากจนกระทั่งความคิดนั้นครอบงำคุณอย่างเต็มที่ คุณเชื่อในสิ่งที่คุณคิดอย่างจริงจังจนมันมีตัวตน คุณคิดว่าคุณมีสามีแต่งงานแล้วทั้งที่เมธีแฟนของคุณเพิ่งจะสารภาพรักกับคุณไม่กี่วันนี้เอง คุณดีใจเก็บไปฝันหวานและฝันร้ายต่อจนเป็นเรื่องเป็นราวแล้วคุณก็หลุดลงไปในโลกแห่งจินตนาการของคุณเอง พวกเราเกิดจากความคิดของคุณด้วยกันทุกคน”
“มันบ้าชัดๆ....” หญิงสาวครวญครางทั้งน้ำตา ไม่อยากเชื่อในคำพูดสุดเพี้ยนของคุณหมอ หมอประยุทธ์บอกว่าเธอไม่เคยมีคนรักมาก่อน แต่หมอคนนี้บอกว่ามีเพิ่งจะสารภาพรักกับเธอ ใครพูดจริงให้พูดเท็จ ใครบ้ากว่าใคร...
“ครับมันบ้ายิ่งกว่าบ้า...พวกเราบางคนเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเพียงคนในความคิดวิปริตของคนอื่น ก็ไม่อยากมีตัวตนอีกต่อไป แต่บางคนก็ยึดติดกับภาพโลกลวงอยากจะมีตัวตนต่อไปโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นโลกความจริงหรือความบ้า แอนนาจัดอยู่ในกลุ่มหลัง คุณสร้างเธอขึ้นมาเอง สร้างมาจากจิตใต้สำนึกสมัยเด็กที่ว่าคุณอยากเป็นนางพยาบาล ส่วนผมเองคุณสร้างขึ้นมาเพราะคุณเคยคิดอยากมีแฟนเป็นหมอ”
นั่นหรือชายในฝันของฉัน....เมริสาจ้องมองภาพพร่าเลือนข้างหน้าอย่างสับสนหวาดกลัว เป็นไปได้ยังไง คุณหมอของเธอหน้าตาต้องแบบ ทอม ครูซ ต่างหาก ไม่ใช่หน้าซีดสวมแว่นใบหน้าไม่มีชีวิตชีวาแบบนี้ คุณหมอหนุ่มยังคงยืนเอามือล้วงในกระเป๋าเสื้อยาว พูดต่อไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ส่วนผม รู้จากแอนนามาอีกทีว่า ผมเองก็เป็นเพียงความคิดของคุณเช่นกัน ต่างกันตรงที่ว่า ผมไม่อยากมีชีวิตมีตัวตนอีกต่อไป เพราะมันไม่ใช่โลกแท้จริง ชีวิตของผมไม่ใช่ชีวิตจริง มันจะมีประโยชน์อะไร ครอบครัวของผมเกิดจากความคิดความทรงจำก็ไม่สู้ดีมีความสุขอะไร ให้มันหายหมดไปยังจะดีเสียกว่า ซึ่งก็หมายถึงว่าคุณต้องหายเป็นปกตินั่นเอง เรื่องบางอย่างไม่รู้เสียจะดีกว่านะครับ”
“ไม่มีทางเป็นไปได้ พวกคุณพยายามทำอะไรกันแน่ บอกความจริงมาเลยคุณหมอ” เมริสาจ้องมองหน้าแว่นด้วยความแค้นเคือง รับไม่ได้แม้สักเพียงเสี้ยวของเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง ความคิดของคนเราจะเข้มข้นขนาดมองเห็นสัมผัสได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“คุณก็ลองมองดูสิ ว่าตอนนี้หมอประยุทธ์อยู่ไหน”
หญิงสาวมองไปยังบริเวณตำแหน่งที่หมอประยุทธ์ล้มลง แต่บนพื้นกลับไร้ร่องร่อยราวกับว่าเขาละลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว หมอหนุ่มพยักหน้าอธิบายต่อไปว่า
“คุณไม่เห็นหมอประยุทธ์แล้วใช่ไหมล่ะ เขาหายไปแล้วเพราะคุณคิดว่าเขาตาย เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของความคิดที่คุณสร้างขึ้นมา เขาเกิดหลังผมนิดหน่อย เลยทำให้จักรวาลของเราบิดเบี้ยวไปบ้าง สิ่งต่าง ๆ มีอยู่จริงก็เพราะมีจิตสำนึก มันมีอยู่ก็เพื่อให้เรารับรู้มันเท่านั้น ความเป็นจริงไม่มีถ้าไม่มีการตรวจพบ ในจักรวาลของเหมอประยุทธ์คุณยังไม่เคยมีแฟนและไม่เคยแต่งงาน แต่ในจักรวาลของผมคุณเพิ่งจะมีแฟนแต่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่เป็นไรครับ จักรวาลเหลื่อมล้ำกันนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะจักรวาลมีวิธีจัดการปัญหาเอง”
พูดจบคุณหมอหนุ่มล้วงมือออกจากกระเป๋าพร้อมกระบอกเข็มฉีดยา ก้าวตรงเข้ามาหา
“เมริสา คุณต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริง แล้วฝันร้ายของทุกคนจะหายไป”
.
โลกหลอน......ของเมริสาและแอนนา 2....(ตอนจบ)
https://pantip.com/topic/36096089
บทที่ 2
.
“ธี..คุณหายหัวไปไหนมา ทำไมทิ้งสาไว้คนเดียว” พอได้สติหญิงสาวก็ลุกขึ้นต่อว่าด้วยความโกรธแค้นและเสียใจ มือทั้งสองรัวกำปั้นเข้าใส่ผู้เป็นสามีชนิดไม่ยั้ง “คุณรวมหัวกับยัยนั่นคิดจะฆ่าฉันใช่ไหม แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่เข้าใจ บอกความจริงมาเลยนะธี ว่าคุณทำอะไรกันแน่”
ไม่มียัยนั่นคือใครหรอก สา ฟังผมให้ดี” ชายหนุ่มรวบมือของแฟนสาวไม่ให้ออกฤทธิ์ต่อไป “ เรายังไม่ได้แต่งงานกันเลย ผมแค่ขอคุณแต่งงานเท่านั้น คุณตั้งสติลองคิดดูดีๆ ผมเองก็เพิ่งรู้จากคุณหมอนี่ล่ะว่าคุณเป็นโรคจิตคิดมากระดับรุนแรง มันทำให้คุณคิดเองเออเองสุดโต่ง และเชื่อไปกับความคิดฟุ้งซ่านของคุณ”
“ไม่จริง มันจะเป็นไปได้ยังไง”
“เป็นไปแล้วสา คุณป่วยหนัก และไม่ยอมกินยาตามเวลา อาการคุณเลยกำเริบหนัก”
จะให้ยอมรับว่าชีวิตการแต่งงานและการสร้างครอบครัวเป็นเพียงอาการหลอนทางประสาทอย่างนั้นหรือ หญิงสาวคร่ำครวญโหยหวน ความทรงจำแสนวิเศษชัดเจนจะเป็นเพียงอาการฟุ้งซ่านคิดไปเองได้อย่างไร ความทรงจำของคนเราสร้างมาจากประสบการณ์ไม่ใช่ก่อรูปร่างสร้างแต่งขึ้นมาเอง เป็นไปไม่ได้แน่นอน ภาพวันแต่งงานสวยงามยังประทับชัดเจนในความทรงจำและชีวิตหลายปีผ่านมานานเกิดจากความไม่จริง มันเป็นไปได้อย่างไร
“คุณโกหกสา...เรื่องบ้าแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน คุณมันบ้าๆๆ”
“เขาพูดถูกแล้ว คุณเมสิสา”
เสียงทุ้มนุ่มดังแทรกมาจากด้านข้าง หญิงสาวผละออกจากแฟนหนุ่ม หันไปมองโดยไม่ตั้งใจ เห็นผู้ชายในชุดคุณหมอวัยค่อนคนกำลังยืนจ้องมองด้วยสายตาของหมอกำลังจ้องมองคนไข้อาการหนัก บรรยากาศรอบตัวหมุนคว้างก่อนผนึกตัวชาค้าง และตอนนั้นเองที่เธอเริ่มรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดคนไข้แขนทั้งสองถูกพันธนาการไว้ด้วยเสื้อแขนยาวของตัวเองแน่นแน่น เมื่อครู่เธอกำลังทุบตีชายคนรักด้วยความเกรี้ยวกราดไม่ใช่หรือ ทำไมถูกมัดแบบไม่รู้ตัว
พอหันไปมองชายคนรักเขาก็หายตัวไปเสียแล้ว
“ธี...คุณอยู่ไหน” หญิงสาวร้องเรียกหาชายคนรักพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่จนใจว่าร่างกายถูกมัดกับเก้าอี้อย่างแน่นหนา อยู่ภายในห้องสีขาวมองเห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์แปลกตาหลายอย่างเรียงรายตามข้างผนังห้อง ความรู้สึกนึกคิดวิ่งพล่านวนเวียนจับต้นชนปลายไม่ถูก
“คุณเป็นใคร” เธอหันมาถามคนแปลกหน้าอย่างหวาดระแวง
“ผมชื่อประยุทธ์ หมอประจำตัวของคุณ แต่ท่าทางคุณจำผมไม่ได้”
“คุณเห็นเมธีไหม”
“ไม่มีเมธีที่ไหนหรอก” คุณหมอว่าขณะขยับแว่นมองหน้าคนไข้สาวให้ถนัดชัดตา หันไปคว้าเอกสารบนโต๊ะตัวเล็กด้านข้างขึ้นมาอ่านอย่างพิจารณาก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงแสดงความเห็นอกเห็นใจว่า
“จากรายงานล่าสุดที่ผมได้รับจากฝ่ายวิเคราะห์โรคทางจิต ข้อมูลสอดคล้องกันว่าคุณเป็น “โรคจิตคิดไปเอง” ขั้นร้ายแรงในระดับเก้า…..ความจริงคือคุณไม่เคยมีแฟน และคุณไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลย”
“ไม่จริง...” หญิงสาวสะอื้นให้ พวกหมอต้องรวมหัวกันหลอกลวงด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆชีวิตผ่านมาจะกลับกลายเป็นเพียงภาพฝันมันเป็นไปได้อย่างไร เธอมีแฟนและแต่งงานแล้ว สามีกำลังนอกใจและลงท้ายด้วยฉากฆาตกรรมอันโหดร้าย นั่นต่างหากคือความจริงอันโหดร้าย แล้วทำไมอยู่ดีๆ กลับกลายเป็นว่ามาอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิตได้ คนรักกลับกลายเป็นความว่างเปล่า แถมเป็นโรคจิตคิดไปเองระดับเก้าอีกต่างหาก
"เมื่อครู่คุณยังบอกว่าเมธีพูดถูกอยู่เลย”
คุณหมอถอนลมหายใจยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้วางหนังสือลง เอามือประสานกันบนตัก สายตาบ่งบอกแววเห็นใจและหนักใจ การอธิบายให้คนบ้ารู้ว่าตัวเองเป็นบ้าไม่ใช่เรื่องง่าย ใครบ้างล่ะจะยอมรับว่าตัวเองมีอาการฟั่นเฟือนทางประสาท
“ผมรู้ว่ามันยากจะทำใจ ผมเห็นคุณคุยอยู่กับตัวเอง ก็พอจะเข้าใจว่าเมธีเป็นใคร “ เขาพยายามอธิบายตามทักษะของความเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญ
“ ผมไม่แปลกใจหรอก ว่าอยู่ดีๆ ก็มีคนมาบอกว่าชีวิตที่ผ่านมาของเราไม่ใช่เรื่องจริง มันก็ยากจะทำใจเหมือนกัน คนเรานะถ้าอยู่กับความฝันมากเกินไปก็จะยึดเกาะติดกับความฝันตลอดไปนั้นว่าเป็นจริงไปเลย อย่างไรก็ดี สถาบันของเราได้ค้นพบยาชนิดใหม่ในการรักษาโรคจิตคิดไปเองให้หายขาดได้ คุณเมริสาเป็นคนไข้รายแรกที่จะได้ทดลองยาตัวนี้ ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยนะครับ”
ว่าพลางคุณหมอหันหน้าไปด้านข้างพยักหน้าเหมือนให้สัญญาณบางอย่าง นางพยาบาลคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องพร้อมด้วยกระบอกเข็มฉีดยาในมือ หญิงสาวมองเห็นหน้าแล้วต้องสะดุ้งเฮือกทันที ไม่ใช่ใครอื่น สาวหน้าขาวผมยาวปากแดงชื่อแอนนานั่นเอง สีหน้าท่าทางของเธอเรียบเฉยไม่ได้มีแววตาขี้เล่นร้ายชวนขนลุกอย่างพบหน้าครั้งแรก ความจริงเธอเป็นคนไข้โรคจิตไม่ใช่หรือ แล้วอยู่ดีๆ ทำไมกลายเป็นนางพยาบาลไปได้
“แอนนา ฉีดยาให้คุณเมริสาเลยครับ”
คุณหมอบอกพลางขยับเก้าอี้ถอยหลังออกไป เพื่อโอกาสให้นางพยาบาลทำงานได้สะดวกมากขึ้น แอนนาเดินมาหยุดเบื้องหน้าคนไข้สาวผู้พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแต่ไร้ผล สีหน้าเรียบเฉยขณะจ้องมองลงมาเหมือนรอจังหวะในการปักกระบอกเข็มฉีดยา เป้าหมายอาจเป็นต้นแขน ต้นขา หรืออะไรก็ได้ที่สะดวก
ทันใดนั้นเองแอนนาก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงมือขวาเข้าซอกคอด้านซ้ายของคุณหมอผู้ไม่ทันระวังตัวเต็มแรง จนร่างคุณหมอประยุทธ์ล้มออกจากเก้าอี้ลงไปนอนตะแคงบนพื้น ร้องออกมาไม่เป็นภาษามือไขว่คว้าซอกคอของตัวเองด้วยท่าทางเจ็บปวดแบบไม่ทันตั้งตัว มีดผ่าตัดเล่มหนึ่งปักลึกบริเวณลำคออย่างน่าหวาดเสียว และคงโดนจุดสำคัญเข้าพอดี หลังจากทุรนทุรายไม่นานคุณหมอเคราะห์ร้ายก็แน่นิ่งไปท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของคนไข้สาวผู้ยังคงถูกมัดติดเก้าอี้อย่างไม่มีทางดิ้นหลุด
ใบหน้าของแอนนาเริ่มมีรอยยิ้มอีกครั้ง เธอถือกระบอกเข็มฉีดยาอยู่ในมือซ้ายแต่ท่าทางยังไม่รีบร้อนจะใช้มันในตอนนี้
“หมดปัญหาไปอีกคนแล้วนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเริงรื่น แม้ว่าเพิ่งฆ่าคนมาหมาดๆ ก้มหน้าขาวลงมายิ้มหวานจากริมฝีปากแดงจัดผิดธรรมชาติ ส่ายหน้าเล่นให้เส้นผมยาวสลวยเกลี่ยปัดใบหน้าของอีกฝ่ายไปมาเหมือนจะยั่วเย้า “ทีนี้ก็เหลือเราสองคนแล้ว”
“เธอทำแบบนั้นทำไม” เมริสาแม้กำลังพยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็ยังไม่วายสงสัย
“เรื่องอะไรฉันจะยอมให้เธอหายดีล่ะ เมริสาจ๋า ขืนเธอเป็นปกติฉันก็แย่สิจ๊ะ” แอนนายิ้มหวาน
“เธอเป็นใครกันแน่”
"ตอนนี้ฉันอยากเป็นอะไรก็ได้ และ...."
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค ใครบางคนเคลื่อนตัวมาด้านหลังพร้อมกับเชือกไนลอนเส้นยาวในมือตวัดคล้องเข้าบริเวณของพยาบาลสาวอย่างรวดเร็วรุนแรงกระชากรั้งไปทางด้านหลัง แอนนาเปลี่ยนสีหน้าเป็นบิดเบี้ยวอ้าปากกว้างกระบอกเข็มฉีดยาหลุดจากมือ พยายามแกะเชือกออกจากลำคอสุดชีวิต
คุณหมอหนุ่มสวมแว่นตานั่นเองเป็นคนลงมือ ขณะกระชับเชือกให้แน่นเข้าใบหน้าของเขายังสงบราบเรียบเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ สักครู่พอคลายเชือกออกร่างของแอนนาก็ทรุดฮวบลงบนพื้นนอนแน่นิ่ง และตอนนั้นเองเมริสาสังเกตได้ว่าหมอประยุทธ์ที่โดนมีดผ่าตัดปักซอกคอหายไปอย่างไร้ร่องร่อย ไม่มีแม้แต่รอยเลือด
ฝันร้าย......มันต้องเป็นฝันร้ายแน่นอน หญิงสาวกรีดร้องในใจปากอ้าตาค้างมองเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาคำถามมากมายวิ่งพล่านเต็มหัวสมอง ความฝันหรือความจริงกันแน่ ทุกอย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“คุณหมอ..คุณฆ่าเธอทำไม..” เมริสาถามเสียงตะกุกตะกัก สายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงสงสัย เหนื่อยจนไม่อยากดิ้นรนเอาตัวรอดแล้ว ตายเสียได้ก็ดีจะได้ตื่นฟื้นหลุดพ้นจากเหตุการณ์บ้าๆ เสียที
“ใจเย็นๆ..รู้ไหมว่ายาที่แอนนาจะฉีดให้มันคือยาอะไร” คุณหมอหนุ่มย้อนถามขณะทิ้งเชือกในมือเหมือนไม่คิดจะใช้มันอีก แต่นั่นไม่ได้ทำให้หญิงสาวคลายความหวาดกลัวลงได้ อย่างไรหมอก็เป็นฆาตรกร
“ผมบอกให้ก็ได้ว่า มันคือยา ที่จะทำให้คุณบ้าแบบอมตะไม่มีทางแก้ไขรักษาหายได้อีก ผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ถ้าคุณหายเป็นปกติ ทุกอย่างก็พังสลายไม่มีเหลือ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณหมอ”
“ฟังผมให้ดีนะ คุณเป็นโรคจิตรุนแรงชนิดหนึ่ง มันเริ่มจากโรคซึมเศร้าวิตกจริตผิดพลาดของคุณ พัฒนาไปสู่โรคจิตคิดไปเองอย่างรวดเร็ว คิดมากจนกระทั่งความคิดนั้นครอบงำคุณอย่างเต็มที่ คุณเชื่อในสิ่งที่คุณคิดอย่างจริงจังจนมันมีตัวตน คุณคิดว่าคุณมีสามีแต่งงานแล้วทั้งที่เมธีแฟนของคุณเพิ่งจะสารภาพรักกับคุณไม่กี่วันนี้เอง คุณดีใจเก็บไปฝันหวานและฝันร้ายต่อจนเป็นเรื่องเป็นราวแล้วคุณก็หลุดลงไปในโลกแห่งจินตนาการของคุณเอง พวกเราเกิดจากความคิดของคุณด้วยกันทุกคน”
“มันบ้าชัดๆ....” หญิงสาวครวญครางทั้งน้ำตา ไม่อยากเชื่อในคำพูดสุดเพี้ยนของคุณหมอ หมอประยุทธ์บอกว่าเธอไม่เคยมีคนรักมาก่อน แต่หมอคนนี้บอกว่ามีเพิ่งจะสารภาพรักกับเธอ ใครพูดจริงให้พูดเท็จ ใครบ้ากว่าใคร...
“ครับมันบ้ายิ่งกว่าบ้า...พวกเราบางคนเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเพียงคนในความคิดวิปริตของคนอื่น ก็ไม่อยากมีตัวตนอีกต่อไป แต่บางคนก็ยึดติดกับภาพโลกลวงอยากจะมีตัวตนต่อไปโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นโลกความจริงหรือความบ้า แอนนาจัดอยู่ในกลุ่มหลัง คุณสร้างเธอขึ้นมาเอง สร้างมาจากจิตใต้สำนึกสมัยเด็กที่ว่าคุณอยากเป็นนางพยาบาล ส่วนผมเองคุณสร้างขึ้นมาเพราะคุณเคยคิดอยากมีแฟนเป็นหมอ”
นั่นหรือชายในฝันของฉัน....เมริสาจ้องมองภาพพร่าเลือนข้างหน้าอย่างสับสนหวาดกลัว เป็นไปได้ยังไง คุณหมอของเธอหน้าตาต้องแบบ ทอม ครูซ ต่างหาก ไม่ใช่หน้าซีดสวมแว่นใบหน้าไม่มีชีวิตชีวาแบบนี้ คุณหมอหนุ่มยังคงยืนเอามือล้วงในกระเป๋าเสื้อยาว พูดต่อไปด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ส่วนผม รู้จากแอนนามาอีกทีว่า ผมเองก็เป็นเพียงความคิดของคุณเช่นกัน ต่างกันตรงที่ว่า ผมไม่อยากมีชีวิตมีตัวตนอีกต่อไป เพราะมันไม่ใช่โลกแท้จริง ชีวิตของผมไม่ใช่ชีวิตจริง มันจะมีประโยชน์อะไร ครอบครัวของผมเกิดจากความคิดความทรงจำก็ไม่สู้ดีมีความสุขอะไร ให้มันหายหมดไปยังจะดีเสียกว่า ซึ่งก็หมายถึงว่าคุณต้องหายเป็นปกตินั่นเอง เรื่องบางอย่างไม่รู้เสียจะดีกว่านะครับ”
“ไม่มีทางเป็นไปได้ พวกคุณพยายามทำอะไรกันแน่ บอกความจริงมาเลยคุณหมอ” เมริสาจ้องมองหน้าแว่นด้วยความแค้นเคือง รับไม่ได้แม้สักเพียงเสี้ยวของเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง ความคิดของคนเราจะเข้มข้นขนาดมองเห็นสัมผัสได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“คุณก็ลองมองดูสิ ว่าตอนนี้หมอประยุทธ์อยู่ไหน”
หญิงสาวมองไปยังบริเวณตำแหน่งที่หมอประยุทธ์ล้มลง แต่บนพื้นกลับไร้ร่องร่อยราวกับว่าเขาละลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว หมอหนุ่มพยักหน้าอธิบายต่อไปว่า
“คุณไม่เห็นหมอประยุทธ์แล้วใช่ไหมล่ะ เขาหายไปแล้วเพราะคุณคิดว่าเขาตาย เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของความคิดที่คุณสร้างขึ้นมา เขาเกิดหลังผมนิดหน่อย เลยทำให้จักรวาลของเราบิดเบี้ยวไปบ้าง สิ่งต่าง ๆ มีอยู่จริงก็เพราะมีจิตสำนึก มันมีอยู่ก็เพื่อให้เรารับรู้มันเท่านั้น ความเป็นจริงไม่มีถ้าไม่มีการตรวจพบ ในจักรวาลของเหมอประยุทธ์คุณยังไม่เคยมีแฟนและไม่เคยแต่งงาน แต่ในจักรวาลของผมคุณเพิ่งจะมีแฟนแต่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่เป็นไรครับ จักรวาลเหลื่อมล้ำกันนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะจักรวาลมีวิธีจัดการปัญหาเอง”
พูดจบคุณหมอหนุ่มล้วงมือออกจากกระเป๋าพร้อมกระบอกเข็มฉีดยา ก้าวตรงเข้ามาหา
“เมริสา คุณต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริง แล้วฝันร้ายของทุกคนจะหายไป”
.