โลกหลอน......ของเมริสาและแอนนา 2....(ตอนจบ)

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 1
https://pantip.com/topic/36096089


บทที่ 2


.
             “ธี..คุณหายหัวไปไหนมา ทำไมทิ้งสาไว้คนเดียว”  พอได้สติหญิงสาวก็ลุกขึ้นต่อว่าด้วยความโกรธแค้นและเสียใจ  มือทั้งสองรัวกำปั้นเข้าใส่ผู้เป็นสามีชนิดไม่ยั้ง “คุณรวมหัวกับยัยนั่นคิดจะฆ่าฉันใช่ไหม แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่เข้าใจ บอกความจริงมาเลยนะธี ว่าคุณทำอะไรกันแน่”
ไม่มียัยนั่นคือใครหรอก สา ฟังผมให้ดี”  ชายหนุ่มรวบมือของแฟนสาวไม่ให้ออกฤทธิ์ต่อไป “ เรายังไม่ได้แต่งงานกันเลย ผมแค่ขอคุณแต่งงานเท่านั้น คุณตั้งสติลองคิดดูดีๆ  ผมเองก็เพิ่งรู้จากคุณหมอนี่ล่ะว่าคุณเป็นโรคจิตคิดมากระดับรุนแรง มันทำให้คุณคิดเองเออเองสุดโต่ง และเชื่อไปกับความคิดฟุ้งซ่านของคุณ”

             “ไม่จริง มันจะเป็นไปได้ยังไง”

             “เป็นไปแล้วสา  คุณป่วยหนัก และไม่ยอมกินยาตามเวลา อาการคุณเลยกำเริบหนัก”

             จะให้ยอมรับว่าชีวิตการแต่งงานและการสร้างครอบครัวเป็นเพียงอาการหลอนทางประสาทอย่างนั้นหรือ  หญิงสาวคร่ำครวญโหยหวน ความทรงจำแสนวิเศษชัดเจนจะเป็นเพียงอาการฟุ้งซ่านคิดไปเองได้อย่างไร ความทรงจำของคนเราสร้างมาจากประสบการณ์ไม่ใช่ก่อรูปร่างสร้างแต่งขึ้นมาเอง เป็นไปไม่ได้แน่นอน ภาพวันแต่งงานสวยงามยังประทับชัดเจนในความทรงจำและชีวิตหลายปีผ่านมานานเกิดจากความไม่จริง มันเป็นไปได้อย่างไร

             “คุณโกหกสา...เรื่องบ้าแบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงกัน คุณมันบ้าๆๆ”  


             “เขาพูดถูกแล้ว คุณเมสิสา”

             เสียงทุ้มนุ่มดังแทรกมาจากด้านข้าง  หญิงสาวผละออกจากแฟนหนุ่ม หันไปมองโดยไม่ตั้งใจ เห็นผู้ชายในชุดคุณหมอวัยค่อนคนกำลังยืนจ้องมองด้วยสายตาของหมอกำลังจ้องมองคนไข้อาการหนัก บรรยากาศรอบตัวหมุนคว้างก่อนผนึกตัวชาค้าง และตอนนั้นเองที่เธอเริ่มรู้ตัวว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในชุดคนไข้แขนทั้งสองถูกพันธนาการไว้ด้วยเสื้อแขนยาวของตัวเองแน่นแน่น เมื่อครู่เธอกำลังทุบตีชายคนรักด้วยความเกรี้ยวกราดไม่ใช่หรือ ทำไมถูกมัดแบบไม่รู้ตัว

             พอหันไปมองชายคนรักเขาก็หายตัวไปเสียแล้ว

             “ธี...คุณอยู่ไหน”   หญิงสาวร้องเรียกหาชายคนรักพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่จนใจว่าร่างกายถูกมัดกับเก้าอี้อย่างแน่นหนา อยู่ภายในห้องสีขาวมองเห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์แปลกตาหลายอย่างเรียงรายตามข้างผนังห้อง ความรู้สึกนึกคิดวิ่งพล่านวนเวียนจับต้นชนปลายไม่ถูก

             “คุณเป็นใคร”   เธอหันมาถามคนแปลกหน้าอย่างหวาดระแวง

             “ผมชื่อประยุทธ์ หมอประจำตัวของคุณ แต่ท่าทางคุณจำผมไม่ได้”

             “คุณเห็นเมธีไหม”

             “ไม่มีเมธีที่ไหนหรอก”   คุณหมอว่าขณะขยับแว่นมองหน้าคนไข้สาวให้ถนัดชัดตา หันไปคว้าเอกสารบนโต๊ะตัวเล็กด้านข้างขึ้นมาอ่านอย่างพิจารณาก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงแสดงความเห็นอกเห็นใจว่า

             “จากรายงานล่าสุดที่ผมได้รับจากฝ่ายวิเคราะห์โรคทางจิต  ข้อมูลสอดคล้องกันว่าคุณเป็น “โรคจิตคิดไปเอง” ขั้นร้ายแรงในระดับเก้า…..ความจริงคือคุณไม่เคยมีแฟน และคุณไม่เคยแต่งงานมาก่อนเลย”

             “ไม่จริง...” หญิงสาวสะอื้นให้  พวกหมอต้องรวมหัวกันหลอกลวงด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆชีวิตผ่านมาจะกลับกลายเป็นเพียงภาพฝันมันเป็นไปได้อย่างไร   เธอมีแฟนและแต่งงานแล้ว สามีกำลังนอกใจและลงท้ายด้วยฉากฆาตกรรมอันโหดร้าย นั่นต่างหากคือความจริงอันโหดร้าย แล้วทำไมอยู่ดีๆ กลับกลายเป็นว่ามาอยู่ในโรงพยาบาลโรคจิตได้ คนรักกลับกลายเป็นความว่างเปล่า แถมเป็นโรคจิตคิดไปเองระดับเก้าอีกต่างหาก

             "เมื่อครู่คุณยังบอกว่าเมธีพูดถูกอยู่เลย”

             คุณหมอถอนลมหายใจยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้วางหนังสือลง เอามือประสานกันบนตัก สายตาบ่งบอกแววเห็นใจและหนักใจ การอธิบายให้คนบ้ารู้ว่าตัวเองเป็นบ้าไม่ใช่เรื่องง่าย  ใครบ้างล่ะจะยอมรับว่าตัวเองมีอาการฟั่นเฟือนทางประสาท

             “ผมรู้ว่ามันยากจะทำใจ ผมเห็นคุณคุยอยู่กับตัวเอง ก็พอจะเข้าใจว่าเมธีเป็นใคร “  เขาพยายามอธิบายตามทักษะของความเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญ

            “ ผมไม่แปลกใจหรอก ว่าอยู่ดีๆ ก็มีคนมาบอกว่าชีวิตที่ผ่านมาของเราไม่ใช่เรื่องจริง มันก็ยากจะทำใจเหมือนกัน  คนเรานะถ้าอยู่กับความฝันมากเกินไปก็จะยึดเกาะติดกับความฝันตลอดไปนั้นว่าเป็นจริงไปเลย  อย่างไรก็ดี สถาบันของเราได้ค้นพบยาชนิดใหม่ในการรักษาโรคจิตคิดไปเองให้หายขาดได้ คุณเมริสาเป็นคนไข้รายแรกที่จะได้ทดลองยาตัวนี้ ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยนะครับ”

            ว่าพลางคุณหมอหันหน้าไปด้านข้างพยักหน้าเหมือนให้สัญญาณบางอย่าง นางพยาบาลคนหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องพร้อมด้วยกระบอกเข็มฉีดยาในมือ  หญิงสาวมองเห็นหน้าแล้วต้องสะดุ้งเฮือกทันที ไม่ใช่ใครอื่น สาวหน้าขาวผมยาวปากแดงชื่อแอนนานั่นเอง  สีหน้าท่าทางของเธอเรียบเฉยไม่ได้มีแววตาขี้เล่นร้ายชวนขนลุกอย่างพบหน้าครั้งแรก  ความจริงเธอเป็นคนไข้โรคจิตไม่ใช่หรือ แล้วอยู่ดีๆ ทำไมกลายเป็นนางพยาบาลไปได้

             “แอนนา ฉีดยาให้คุณเมริสาเลยครับ”

             คุณหมอบอกพลางขยับเก้าอี้ถอยหลังออกไป เพื่อโอกาสให้นางพยาบาลทำงานได้สะดวกมากขึ้น  แอนนาเดินมาหยุดเบื้องหน้าคนไข้สาวผู้พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแต่ไร้ผล สีหน้าเรียบเฉยขณะจ้องมองลงมาเหมือนรอจังหวะในการปักกระบอกเข็มฉีดยา เป้าหมายอาจเป็นต้นแขน ต้นขา หรืออะไรก็ได้ที่สะดวก

             ทันใดนั้นเองแอนนาก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว เหวี่ยงมือขวาเข้าซอกคอด้านซ้ายของคุณหมอผู้ไม่ทันระวังตัวเต็มแรง จนร่างคุณหมอประยุทธ์ล้มออกจากเก้าอี้ลงไปนอนตะแคงบนพื้น ร้องออกมาไม่เป็นภาษามือไขว่คว้าซอกคอของตัวเองด้วยท่าทางเจ็บปวดแบบไม่ทันตั้งตัว   มีดผ่าตัดเล่มหนึ่งปักลึกบริเวณลำคออย่างน่าหวาดเสียว และคงโดนจุดสำคัญเข้าพอดี หลังจากทุรนทุรายไม่นานคุณหมอเคราะห์ร้ายก็แน่นิ่งไปท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของคนไข้สาวผู้ยังคงถูกมัดติดเก้าอี้อย่างไม่มีทางดิ้นหลุด

             ใบหน้าของแอนนาเริ่มมีรอยยิ้มอีกครั้ง เธอถือกระบอกเข็มฉีดยาอยู่ในมือซ้ายแต่ท่าทางยังไม่รีบร้อนจะใช้มันในตอนนี้

             “หมดปัญหาไปอีกคนแล้วนะ”  เธอพูดด้วยน้ำเสียงเริงรื่น แม้ว่าเพิ่งฆ่าคนมาหมาดๆ ก้มหน้าขาวลงมายิ้มหวานจากริมฝีปากแดงจัดผิดธรรมชาติ ส่ายหน้าเล่นให้เส้นผมยาวสลวยเกลี่ยปัดใบหน้าของอีกฝ่ายไปมาเหมือนจะยั่วเย้า  “ทีนี้ก็เหลือเราสองคนแล้ว”

             “เธอทำแบบนั้นทำไม” เมริสาแม้กำลังพยายามดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดก็ยังไม่วายสงสัย

             “เรื่องอะไรฉันจะยอมให้เธอหายดีล่ะ เมริสาจ๋า  ขืนเธอเป็นปกติฉันก็แย่สิจ๊ะ” แอนนายิ้มหวาน

             “เธอเป็นใครกันแน่”

             "ตอนนี้ฉันอยากเป็นอะไรก็ได้ และ...."

             ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค  ใครบางคนเคลื่อนตัวมาด้านหลังพร้อมกับเชือกไนลอนเส้นยาวในมือตวัดคล้องเข้าบริเวณของพยาบาลสาวอย่างรวดเร็วรุนแรงกระชากรั้งไปทางด้านหลัง แอนนาเปลี่ยนสีหน้าเป็นบิดเบี้ยวอ้าปากกว้างกระบอกเข็มฉีดยาหลุดจากมือ พยายามแกะเชือกออกจากลำคอสุดชีวิต
คุณหมอหนุ่มสวมแว่นตานั่นเองเป็นคนลงมือ ขณะกระชับเชือกให้แน่นเข้าใบหน้าของเขายังสงบราบเรียบเหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ สักครู่พอคลายเชือกออกร่างของแอนนาก็ทรุดฮวบลงบนพื้นนอนแน่นิ่ง และตอนนั้นเองเมริสาสังเกตได้ว่าหมอประยุทธ์ที่โดนมีดผ่าตัดปักซอกคอหายไปอย่างไร้ร่องร่อย ไม่มีแม้แต่รอยเลือด  

             ฝันร้าย......มันต้องเป็นฝันร้ายแน่นอน หญิงสาวกรีดร้องในใจปากอ้าตาค้างมองเหตุการณ์ต่างๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาคำถามมากมายวิ่งพล่านเต็มหัวสมอง ความฝันหรือความจริงกันแน่ ทุกอย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

             “คุณหมอ..คุณฆ่าเธอทำไม..”  เมริสาถามเสียงตะกุกตะกัก สายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงสงสัย เหนื่อยจนไม่อยากดิ้นรนเอาตัวรอดแล้ว ตายเสียได้ก็ดีจะได้ตื่นฟื้นหลุดพ้นจากเหตุการณ์บ้าๆ เสียที

             “ใจเย็นๆ..รู้ไหมว่ายาที่แอนนาจะฉีดให้มันคือยาอะไร”  คุณหมอหนุ่มย้อนถามขณะทิ้งเชือกในมือเหมือนไม่คิดจะใช้มันอีก แต่นั่นไม่ได้ทำให้หญิงสาวคลายความหวาดกลัวลงได้ อย่างไรหมอก็เป็นฆาตรกร

             “ผมบอกให้ก็ได้ว่า มันคือยา ที่จะทำให้คุณบ้าแบบอมตะไม่มีทางแก้ไขรักษาหายได้อีก ผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ถ้าคุณหายเป็นปกติ ทุกอย่างก็พังสลายไม่มีเหลือ”

            “นี่มันเรื่องอะไรกันคะคุณหมอ”

             “ฟังผมให้ดีนะ คุณเป็นโรคจิตรุนแรงชนิดหนึ่ง มันเริ่มจากโรคซึมเศร้าวิตกจริตผิดพลาดของคุณ พัฒนาไปสู่โรคจิตคิดไปเองอย่างรวดเร็ว คิดมากจนกระทั่งความคิดนั้นครอบงำคุณอย่างเต็มที่ คุณเชื่อในสิ่งที่คุณคิดอย่างจริงจังจนมันมีตัวตน  คุณคิดว่าคุณมีสามีแต่งงานแล้วทั้งที่เมธีแฟนของคุณเพิ่งจะสารภาพรักกับคุณไม่กี่วันนี้เอง  คุณดีใจเก็บไปฝันหวานและฝันร้ายต่อจนเป็นเรื่องเป็นราวแล้วคุณก็หลุดลงไปในโลกแห่งจินตนาการของคุณเอง พวกเราเกิดจากความคิดของคุณด้วยกันทุกคน”

             “มันบ้าชัดๆ....”  หญิงสาวครวญครางทั้งน้ำตา ไม่อยากเชื่อในคำพูดสุดเพี้ยนของคุณหมอ หมอประยุทธ์บอกว่าเธอไม่เคยมีคนรักมาก่อน แต่หมอคนนี้บอกว่ามีเพิ่งจะสารภาพรักกับเธอ ใครพูดจริงให้พูดเท็จ ใครบ้ากว่าใคร...

             “ครับมันบ้ายิ่งกว่าบ้า...พวกเราบางคนเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเพียงคนในความคิดวิปริตของคนอื่น ก็ไม่อยากมีตัวตนอีกต่อไป  แต่บางคนก็ยึดติดกับภาพโลกลวงอยากจะมีตัวตนต่อไปโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นโลกความจริงหรือความบ้า  แอนนาจัดอยู่ในกลุ่มหลัง คุณสร้างเธอขึ้นมาเอง สร้างมาจากจิตใต้สำนึกสมัยเด็กที่ว่าคุณอยากเป็นนางพยาบาล  ส่วนผมเองคุณสร้างขึ้นมาเพราะคุณเคยคิดอยากมีแฟนเป็นหมอ”

             นั่นหรือชายในฝันของฉัน....เมริสาจ้องมองภาพพร่าเลือนข้างหน้าอย่างสับสนหวาดกลัว  เป็นไปได้ยังไง คุณหมอของเธอหน้าตาต้องแบบ ทอม ครูซ ต่างหาก ไม่ใช่หน้าซีดสวมแว่นใบหน้าไม่มีชีวิตชีวาแบบนี้   คุณหมอหนุ่มยังคงยืนเอามือล้วงในกระเป๋าเสื้อยาว พูดต่อไปด้วยสีหน้าราบเรียบ

             “ส่วนผม รู้จากแอนนามาอีกทีว่า ผมเองก็เป็นเพียงความคิดของคุณเช่นกัน ต่างกันตรงที่ว่า ผมไม่อยากมีชีวิตมีตัวตนอีกต่อไป เพราะมันไม่ใช่โลกแท้จริง ชีวิตของผมไม่ใช่ชีวิตจริง มันจะมีประโยชน์อะไร ครอบครัวของผมเกิดจากความคิดความทรงจำก็ไม่สู้ดีมีความสุขอะไร ให้มันหายหมดไปยังจะดีเสียกว่า  ซึ่งก็หมายถึงว่าคุณต้องหายเป็นปกตินั่นเอง เรื่องบางอย่างไม่รู้เสียจะดีกว่านะครับ”

             “ไม่มีทางเป็นไปได้  พวกคุณพยายามทำอะไรกันแน่ บอกความจริงมาเลยคุณหมอ” เมริสาจ้องมองหน้าแว่นด้วยความแค้นเคือง รับไม่ได้แม้สักเพียงเสี้ยวของเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง ความคิดของคนเราจะเข้มข้นขนาดมองเห็นสัมผัสได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ”

             “คุณก็ลองมองดูสิ  ว่าตอนนี้หมอประยุทธ์อยู่ไหน”

             หญิงสาวมองไปยังบริเวณตำแหน่งที่หมอประยุทธ์ล้มลง แต่บนพื้นกลับไร้ร่องร่อยราวกับว่าเขาละลายเป็นอากาศธาตุไปแล้ว หมอหนุ่มพยักหน้าอธิบายต่อไปว่า

             “คุณไม่เห็นหมอประยุทธ์แล้วใช่ไหมล่ะ  เขาหายไปแล้วเพราะคุณคิดว่าเขาตาย เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของความคิดที่คุณสร้างขึ้นมา เขาเกิดหลังผมนิดหน่อย เลยทำให้จักรวาลของเราบิดเบี้ยวไปบ้าง สิ่งต่าง ๆ มีอยู่จริงก็เพราะมีจิตสำนึก มันมีอยู่ก็เพื่อให้เรารับรู้มันเท่านั้น ความเป็นจริงไม่มีถ้าไม่มีการตรวจพบ ในจักรวาลของเหมอประยุทธ์คุณยังไม่เคยมีแฟนและไม่เคยแต่งงาน แต่ในจักรวาลของผมคุณเพิ่งจะมีแฟนแต่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่เป็นไรครับ จักรวาลเหลื่อมล้ำกันนิดหน่อยไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะจักรวาลมีวิธีจัดการปัญหาเอง”

             พูดจบคุณหมอหนุ่มล้วงมือออกจากกระเป๋าพร้อมกระบอกเข็มฉีดยา ก้าวตรงเข้ามาหา

             “เมริสา คุณต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริง  แล้วฝันร้ายของทุกคนจะหายไป”



.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่