…เสน่ห์เมืองงามในความทรงจำ...

วันหนึ่งขณะที่เราไปทานข้าวกับกลุ่มเพื่อน มีเพื่อนคนหนึ่งจุดประกาย ขึ้นมาได้ว่าอยากไปเที่ยวน่านแฮะ เพราะพวกเราไม่เคยไปกันเลย จากประโยคนั้นทำให้ทริปฉุกละหุกของพวกเราเกิดขึ้น “น่าน” เมืองที่เราได้เห็นได้พบในสื่อต่างๆบ่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมืองที่ร่ำรวยไปด้วยวัดวาอาราม วัฒนธรรม ธรรมชาติ ความสดชื่น ผู้คนใจ๋งาม ด้วยความเนิบช้าเหมือนกาลเวลาจะหยุดอยู่กับที่ เสน่ห์ที่เราอยากค้นหา อยากที่จะเข้าไปสัมผัสดูสักครั้ง…

เราเลือกเดินทางช่วงต้นฤดูหนาว ที่ผ่านมา เพราะความต้องการจะได้สัมผัสกับลมหนาว ได้ชมดอกไม้สีสวยสด และได้มองเห็นท้องฟ้าที่งามที่สุดในรอบปีอีกด้วย
การเดินทางในจังหวัดน่านนั้น แสนสะดวกสบาย ในเมืองเราเลือกเช่ารถมอเตอร์ไซด์ซึ่งสะดวกในการลัดเลาะไปตามที่ซอกเล็กซอยน้อย ส่วนการเดินทางระหว่างอำเภอนั้นเราเลือกใช้บริการรถตู้ท้องถิ่นพร้อมคนขับ ซึ่งรู้เส้นทางเป็นอย่างดี ทำให้การเดินทางไปได้อย่างสะดวกปลอดภัยถึงที่หมายได้ตรงตามแผน
ครั้งนี้ผมคงไม่ได้รีวิวหรือบรรยายการเดินทางได้มากนัก เพราะผมไม่ใช่เซียนเมืองน่าน เป็นการเดินทางไปเมืองน่านครั้งแรกของผม เดี๋ยวจะโดนเหน็บว่า เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน หรือสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ เอาเป็นว่า ผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ ด้วยการเอารูปถ่ายที่แสนประทับใจ มาให้เพื่อนๆได้ดูกัน บางทีคุณอาจจะอยากไป และตกหลุมรักเมืองน่านแห่งนี้เหมือนกับผมก็ได้นะครับ
ถนนทุกสาย มุ่งสู่วัดภูมินทร์

เชื่อไหมครับว่า ทุกคนที่มีความต้องการสัมผัสเมืองน่าน ต้องมาวัดนี้เป็นที่แรก

วัดที่ดังไปทั่วโลกด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง ”กระซิบรักบรรลือโลก” ภาพที่ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของ ความรู้สึกให้เมืองแห่งนี้เป็นเมืองน่ารัก แสนโรแมนติก

สถาปัตยกรรมที่งดงาม จิตรกรรมฝาผนัง สามารถดึงดูดให้ผม ดำดิ่งสู่ความหลงใหลในความงามของ น่าน ได้โดยง่ายดาย

จากจิตรกรรมฝาผนังอันลือชื่อ เสน่ห์อันงดงามของวิถีน่าน ภูษาผ้าลายน้ำไหล ตลอดจนความงดงามอ่อนช้อยของแม่หญิงน่าน สู่แนวคิดในการภาพถ่ายชุดนี้

ความงดงามดั่งต้องมนต์ ยามที่ได้ยลเยือนวัดแห่งนี้ พรั่งพร้อมไปด้วยนิยามของศิลปะและประวัติศาสตร์ที่ชักชวนให้คุณ หลงใหล ผมเชื่อว่าใครที่ได้มาสัมผัสก็ต้องหลงรักแบบไม่ต้องแอบกระซิบแน่นอน
หอคำ ชมวังเก่าเจ้าเมืองน่าน
พวกเราเดินข้ามถนน ไปยัง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ด้วยความที่ว่า เราอยากไปชมงาช้างดำ และลานลีลาวดีสุดชิค ที่ใครๆต่างมาถึงแล้วต้องชักภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก

อนุสาวรีย์พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ผู้เป็นเจ้าของหอคำแห่งนี้

กรมศิลปากรได้รับมอบอาคารหอคำแห่งนี้ เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 ภายในมีการจัดแสดง โบราณวัตถุ นิทรรศการทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี ประจำท้องถิ่นมาจัดแสดงให้ชมมากมาย ตลอดจนสมบัติประจำเมืองอย่าง “งาช้างดำ” สัญลักษณ์ของเมืองน่าน ที่ใครมาแล้วไม่ได้มาชมงาช้างดำ ถือว่ามาไม่ถึงเมืองน่านนะครับ

ถัดจากหอคำ ฝั่งตรงข้าม คือวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร ซึ่งเป็นอารามหลวง เป็นวัดหลวงกลางเวียง เป็นวัดสำคัญที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน
ยามอัสดงพระบรมธาตุแช่แห้ง
แดดเริ่มร่ม ก็ถึงเวลาที่เราจะขี่รถออกมานอกเมืองสักหน่อย รับลมเย็นๆกระทบหน้าไปให้ได้สดชื่น เพียง 2 กม. จากตัวเมือง เราก็ไปถึงปูชนียสถานที่สำคัญของเมืองน่าน อายุกว่า 600 ปี วัดพระธาตุแช่แห้งพระอารามหลวง

พระบรมธาตุ ประจำปีเถาะ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บุด้วยทองเหลืองอร่ามสุกปลั่งทั้งองค์ ตัดกับแสงยามเย็นของเมืองน่าน นับเป็นโบราณสถาน ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของล้านนา
ฉันรักแสงเช้าที่พระธาตุเขาน้อย

กำไรของการเดินทาง คือการตื่นเช้า เพราะนอกจากเราจะได้สัมผัสกับอากาศที่เย็นสดชื่นแล้ว แสงอาทิตย์ยามเช้า เหมือนมีพลังบางอย่างที่ทำให้เรามีความสุขสดใส พร้อมสำหรับการเดินทางได้ทั้งวัน

พระพุทธมหา อุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ปางประทานพร ที่ยืนแผ่เมตตาประทานพรแก่ชาวน่าน

องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ก่อ อิฐถือปูนทั้งองค์ เป็นศิลปะพม่าผสมล้านนา ยามต้องแสงเช้า
จุดชมวิว 1715
ได้เวลาที่เราต้องออกเดินทางไกล เป้าหมายของเราในวันนี้คือ อำเภอปัว อำเภอที่มีธรรมชาติสดชื่น ชื่นใจให้ได้ชื่นชม รถตู้ ได้พาเรามาพักรถยังจุดชมวิว 1715 เพื่อเก็บภาพประทับใจกันครู่หนึ่งและเดินทางต่อ
มาดูเกลือประวัติศาสตร์ ที่บ้านบ่อเกลือ
ห่างจากตัวเมืองน่าน ประมาณ 80 กิโลเมตร เรามุ่งหน้าไปยังบ้านบ่อเกลือ เกลือสินเธาว์ เป็นผลผลิตที่สำคัญของพื้นที่แถบนี้ ในอดีตมีความต้องการถึงขั้นมีสงครามแย่งพื้นที่ทำเกลือกันเลยทีเดียว

บ่อเกลือจึงมีความสำคัญกับชาวบ้านแห่งนี้เป็นอย่างมาก มากกว่าผลิตผลท้องถิ่นแต่หากยังฝังรากอยู่ในความศรัทธาของคนในท้องถิ่น ซึ่งประกอบไปด้วยพิธีกรรม ข้อห้าม และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและความเชื่อยังหลงเหลืออยู่

โดยเป็นที่ที่ยังคงความน่าสนใจ น่าอนุรักษ์ไว้ แม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่ยังมีเรื่องราวน่าสนใจหลากหลาย เพราะเกลือยังคงเป็นชีวิตของชาวบ้านบ่อเกลือจนถึงปัจจุบัน

การทำเกลือแบบโบราณ ที่ยังคงมีให้เห็นอยู่ที่นี่ บ้านบ่อเกลือ

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้วัฒนธรรมท้องถิ่นยังไม่เลือนหายไป
แกรนด์แคนยอนเมืองปัว
วังศิลาแลง เป็นธารน้ำไหลที่ผ่านซอกผาที่กัดเซาะจนเป็นร่อง เป็นวังน้ำ ทราบมาว่าถ้ามาในหน้าฝนน้ำจะแรงมาก แต่ถ้ามาในช่วงหน้าแล้ง น้ำจะใสไหลเย็นน่าเล่นมาก จึงถูกขนานนามว่าเป็น แกรนด์แคนยอนเมืองปัว เหมือนหรือไม่ จขกท ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นแกรนด์แคนยอนจริงๆสักที หากมีโอกาสไปเยือน จะเปรียบเทียบให้ฟังนะครับ

เย็นนี้เราพักกันที่ที่พักเมืองปัว ซึ่งปัวในฤดูหนาว อุณหภูมิจะต่ำมาก หนาวได้สะใจจริงๆ และบรรยากาศแสนดีกับท้องทุ่งแสนสวย ยามค่ำคืนเราก็เห็นดาวเต็มฟ้าสวยชัดเจนกว่าในเมืองใหญ่ ทำให้การสนทนายามค่ำคืนของพวกเราออกรสสนุกกว่าทุกวัน

ผมคิดว่า หากใครมีโอกาส วางแผนมาเยือนเมืองน่าน และมีเวลาเพียงพอ ผมแนะนำว่า ปัว เป็นเมืองหนึ่งที่คุณไม่ควรพลาดนะครับ
วัดภูเก็ต ที่ไม่ได้อยู่จังหวัดภูเก็ต
ยามเช้าที่หนาวเหน็บ เราตื่นขึ้นมาเพื่อไปรับแสงเช้าที่จุดชมวิววัดภูเก็ต ความงดงามของวัดภูเก็ตคือความสงบ และจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามยากที่จะหาที่ใดเปรียบ มีลำธารไหลผ่าน ท้องทุ่ง คันนา และไร่ข้าวโพด การได้ลงไปสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า กับสายหมอกที่ฉ่ำเย็น ห่อหุ้มกับแสงแดดอุ่นๆของตอนเช้า มันเป็นภาพที่งดงามเกินกว่าคำบรรยาย

นี่แหละวัดภูเก็ตวัดเล็กๆที่มีทิวทัศน์ที่ยิ่งใหญ่

ความสงบในจิตใจเกิดจากความสงบของธรรมชาติรอบๆกายเรา

ขุนเขา พื้นดิน สายน้ำ พืชพันธุ์ สายหมอก และแสงแดด คือนิยามความงดงามของทิวทัศน์วัดภูเก็ต
ผู้พิชิตยอดภูลังกา
สายๆ เราเดินทางออกจากตัวอำเภอปัว เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้ “ภูลังกา”
เราเข้าพักกางเต็นท์ที่ภูลังการีสอร์ท เพื่อจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้สะดวกสบาย วิวเบื้องหน้าราคาเกินกว่าค่าที่พักหลักร้อยของเราจริงๆ หลังจากเช็คอินเรียบร้อย เราได้ว่าจ้างเหมารถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อจะขึ้นไปยังจุดสูงสุด ของภูลังกา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,720 เมตร

การเดินทางแสนวิบากของเรา ทุลักทุเลพอสมควร แต่ก็สนุกสนานได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ ได้ส่ายหัวไปมาๆ ไม่นานเราก็มาถึงจุดจอดรถ และเราต้องเดินต่อไปอีกเล็กน้อย

ทางเดิน ไปสู่ “ภูนม” ยอดสันเขารูปร่างสวยที่อยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของภูลังกา

ใกล้เวลาเย็นพวกเราเดินขึ้นพิชิตทั้ง ภูนม และยอดภูลังกา ภูเทวดา

ยอดภูเทวดา ความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,720 เมตร จุดสูงสุดที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้ มาๆถ่ายรูปเป็นหลักฐานกันหน่อย

แสงเย็นของยอดภูลังกา ช่างเป็นแสงสีที่สวยงาม ประทับใจ เปรียบเหมือนเป็นเหรียญรางวัลล้ำค่าสำหรับผู้พิชิตยอดภูแห่งนี้ในวันนี้เลยทีเดียว

บนนี้ภายใต้ท้องฟ้า และอ้อมกอดของขุนเขา ทำให้เรารู้สึกว่าเราตัวเล็กนิดเดียว

ค่ำแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องเดินลงกันแล้ว ใครจะขึ้นไปเวลาเย็นแบบนี้ ผมขอแนะนำให้เตรียมไฟฉายติดตัวไปนะครับ มันมืดมากทีเดียว ค่อยๆเดินเกาะๆกันไปนะครับ
แสงที่ปลายฟ้าภูลังการีสอร์ท
เช้านี้คึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนหลั่งไหลมาจนเต็มลานชมวิวของ Magic Mountain ร้านกาแฟชื่อดังของภูลังกา ทีเด็ดของเค้าคือกาแฟที่ขอม ดื่มร้อนๆสู้อากาศที่หนาวเย็น แกล้มกับวิวทะเลหมอก พร้อมทั้งแสงยามเช้าบนภูลังกาแห่งนี้ ผมเชื่อว่ามุมมหาชนแห่งนี้ ต้องเคยผ่านตาใครหลายๆคนที่ Google คำว่าภูลังกาในอินเตอร์เน็ตอย่างแน่นนอน

แต่เชื่อหรือไม่ครับ วิวที่เคยเห็นอยู่ในอินเตอร์เน็ต หรือในหนังสือพอเรามาสัมผัสมารับลมหนาวเคล้ากลิ่นกาแฟจริงๆ บรรยากาศนั้นมันเหมือนดั่งต้องมนต์ มันดีงาม มันสุนทรีย์ มันดีต่อใจอย่างบอกไม่ถูก สมกับนาม Magic Mountain

...เดี๋ยวมาเล่าต่อนะครับ
[CR] ฉายภาพน่าน…เสน่ห์เมืองงามในความทรงจำ
การเดินทางในจังหวัดน่านนั้น แสนสะดวกสบาย ในเมืองเราเลือกเช่ารถมอเตอร์ไซด์ซึ่งสะดวกในการลัดเลาะไปตามที่ซอกเล็กซอยน้อย ส่วนการเดินทางระหว่างอำเภอนั้นเราเลือกใช้บริการรถตู้ท้องถิ่นพร้อมคนขับ ซึ่งรู้เส้นทางเป็นอย่างดี ทำให้การเดินทางไปได้อย่างสะดวกปลอดภัยถึงที่หมายได้ตรงตามแผน
ครั้งนี้ผมคงไม่ได้รีวิวหรือบรรยายการเดินทางได้มากนัก เพราะผมไม่ใช่เซียนเมืองน่าน เป็นการเดินทางไปเมืองน่านครั้งแรกของผม เดี๋ยวจะโดนเหน็บว่า เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน หรือสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ เอาเป็นว่า ผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ ด้วยการเอารูปถ่ายที่แสนประทับใจ มาให้เพื่อนๆได้ดูกัน บางทีคุณอาจจะอยากไป และตกหลุมรักเมืองน่านแห่งนี้เหมือนกับผมก็ได้นะครับ
ถนนทุกสาย มุ่งสู่วัดภูมินทร์
พวกเราเดินข้ามถนน ไปยัง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ด้วยความที่ว่า เราอยากไปชมงาช้างดำ และลานลีลาวดีสุดชิค ที่ใครๆต่างมาถึงแล้วต้องชักภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
ยามอัสดงพระบรมธาตุแช่แห้ง
แดดเริ่มร่ม ก็ถึงเวลาที่เราจะขี่รถออกมานอกเมืองสักหน่อย รับลมเย็นๆกระทบหน้าไปให้ได้สดชื่น เพียง 2 กม. จากตัวเมือง เราก็ไปถึงปูชนียสถานที่สำคัญของเมืองน่าน อายุกว่า 600 ปี วัดพระธาตุแช่แห้งพระอารามหลวง
จุดชมวิว 1715
ได้เวลาที่เราต้องออกเดินทางไกล เป้าหมายของเราในวันนี้คือ อำเภอปัว อำเภอที่มีธรรมชาติสดชื่น ชื่นใจให้ได้ชื่นชม รถตู้ ได้พาเรามาพักรถยังจุดชมวิว 1715 เพื่อเก็บภาพประทับใจกันครู่หนึ่งและเดินทางต่อ
ห่างจากตัวเมืองน่าน ประมาณ 80 กิโลเมตร เรามุ่งหน้าไปยังบ้านบ่อเกลือ เกลือสินเธาว์ เป็นผลผลิตที่สำคัญของพื้นที่แถบนี้ ในอดีตมีความต้องการถึงขั้นมีสงครามแย่งพื้นที่ทำเกลือกันเลยทีเดียว
แกรนด์แคนยอนเมืองปัว
วังศิลาแลง เป็นธารน้ำไหลที่ผ่านซอกผาที่กัดเซาะจนเป็นร่อง เป็นวังน้ำ ทราบมาว่าถ้ามาในหน้าฝนน้ำจะแรงมาก แต่ถ้ามาในช่วงหน้าแล้ง น้ำจะใสไหลเย็นน่าเล่นมาก จึงถูกขนานนามว่าเป็น แกรนด์แคนยอนเมืองปัว เหมือนหรือไม่ จขกท ไม่ทราบเพราะไม่เคยเห็นแกรนด์แคนยอนจริงๆสักที หากมีโอกาสไปเยือน จะเปรียบเทียบให้ฟังนะครับ
วัดภูเก็ต ที่ไม่ได้อยู่จังหวัดภูเก็ต
ยามเช้าที่หนาวเหน็บ เราตื่นขึ้นมาเพื่อไปรับแสงเช้าที่จุดชมวิววัดภูเก็ต ความงดงามของวัดภูเก็ตคือความสงบ และจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามยากที่จะหาที่ใดเปรียบ มีลำธารไหลผ่าน ท้องทุ่ง คันนา และไร่ข้าวโพด การได้ลงไปสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า กับสายหมอกที่ฉ่ำเย็น ห่อหุ้มกับแสงแดดอุ่นๆของตอนเช้า มันเป็นภาพที่งดงามเกินกว่าคำบรรยาย
สายๆ เราเดินทางออกจากตัวอำเภอปัว เพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่เป็นไฮไลท์ของทริปนี้ “ภูลังกา”
เราเข้าพักกางเต็นท์ที่ภูลังการีสอร์ท เพื่อจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้สะดวกสบาย วิวเบื้องหน้าราคาเกินกว่าค่าที่พักหลักร้อยของเราจริงๆ หลังจากเช็คอินเรียบร้อย เราได้ว่าจ้างเหมารถขับเคลื่อนสี่ล้อ เพื่อจะขึ้นไปยังจุดสูงสุด ของภูลังกา ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,720 เมตร
แสงที่ปลายฟ้าภูลังการีสอร์ท
เช้านี้คึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนหลั่งไหลมาจนเต็มลานชมวิวของ Magic Mountain ร้านกาแฟชื่อดังของภูลังกา ทีเด็ดของเค้าคือกาแฟที่ขอม ดื่มร้อนๆสู้อากาศที่หนาวเย็น แกล้มกับวิวทะเลหมอก พร้อมทั้งแสงยามเช้าบนภูลังกาแห่งนี้ ผมเชื่อว่ามุมมหาชนแห่งนี้ ต้องเคยผ่านตาใครหลายๆคนที่ Google คำว่าภูลังกาในอินเตอร์เน็ตอย่างแน่นนอน