(บทความ)สยามเมืองยิ้ม หรือยิ้มด้วยความสยอง แล้วนึกเวทนาไปกับเมืองสยามสังคมลักษณะให้ท้าย

กระทู้คำถาม
.
     ไม่รู้ว่า คนไทยเป็นชนชาติที่ยิ้มสวยที่สุดในโลกรึเปล่า..? แต่ที่รู้แน่ๆคือ ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมาช้านาน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่ลูกหลานหวงแหนและได้ยึดถือปฏิบัติกันมาช้านาน และในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเหล่านี้ ต่างมีร่องรอยของรอยยิ้มปะปนอยู่ด้วย มีรอยยิ้มที่หวานและสวยงามในการทักทายกัน และให้ความเคารพซึ่งกันและกัน มีรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรไมตรี ไม่ถือตัว และปฏิบัติกับทุกคน ทำให้ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ถึงกับหลงใหลในวัฒนธรรมของคนไทย ที่มีรอยยิ้มเจือปนอยู่ด้วยเสมอ และด้วยความรู้สึกนี้ทำให้ต่างชาติอยากมาเที่ยวประเทศไทย เมื่อมีการเปิดกว้างในสังคมโลกมากขึ้นด้วยความเจริญของยุคสมัย คำว่า “สยามเมืองยิ้ม”เลยถูกใช้แทนความหมายในการโปรโมทการท่องเที่ยว จนคนรู้จักกว้างขวางทั่วโลก และคนในชาติก็เอาคำนี้เป็นความภาคภูมิใจของชนชาติตนเอง

       อารัมภบทมาซะดิบดี แต่บทความนี้มิได้ไม่ได้จะมายกย่องเชิดชูสังคมไทยในยุคนี้ใดๆทั้งสิ้น เพราะจริงๆแล้วบทความนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อตำหนิ และชี้ชัดให้เห็นว่า คำว่า”สยามเมืองยิ้ม” นั้นมีนัยยะสำคัญเพียงแค่การโปรโมทภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวเพื่อหวังผลทางมูลค่าทางการตลาดเท่านั้น มิได้สะท้อนภาพลักษณ์ของสังคมไทยในยุคมิเรเนี่ยมดังเช่นอดีตที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นตัวขับเคลื่อนอีกต่อไปแล้ว

      ทุกวันนี้แม้รอยยิ้มไม่ได้หายไปจากสังคมไทย เราคนไทยก็ยังมีรอยยิ้มกันได้ เพียงแต่ความรู้สึกมันเปลี่ยนไป ไม่ได้มีรอยยิ้มด้วยขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม หรือจารีตประเพณีใดๆอีกต่อไปแล้ว แต่เรายิ้มกันเพราะนัยยะความสำคัญความหมายอื่น เช่นแคมเปญโปรโมทคำว่า”สยามเมืองยิ้ม”เพียงเพื่อPRด้านการท่องเที่ยว

      แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการใช้คำๆนี้เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นเรื่องผิดในมุมมองของผม มิหนำซ้ำผมยังเห็นดีเห็นงามด้วยกับสิ่งที่มีคนของภาครัฐกระทำเช่นนี้เพื่อผลประโยชน์ของชาติ แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยก็คือคำถามที่ว่า ทำไม..?คนของภาครัฐถึงไม่พยายามใช้อำนาจที่ตนมี พยายามที่จะรักษาสิ่งที่ดีงามในอดีตให้ยังดำรงอยู่ในสังคมนี้ เพื่อประชาชนในสังคมยังยิ้มได้ด้วยการหล่อหลอมจากวัฒนธรรมที่ดีงาม ที่ตนเองได้ร่วมกันสืบทอดมาแต่อดีต

      และผมก็พบคำตอบว่า สิ่งที่ผมคาดหวังนั้น ทำไม่ได้เลยในสภาพความเป็นจริง เพราะต่อให้บุคลากรในภาครัฐ เป็นคนดี คนทำงานเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ของจำนวนบุคลากรทั้งหมดมีอยู่ ก็ไม่สามารถควบคุมทั้งสังคมซึ่งมีจำนวนประชาชนมากกว่าบุคคลากรของภาครัฐไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าได้

      แต่ถึงเข้าใจในเหตุผลของโลกความเป็นจริง ก็ไม่ใช่ผมจะมองว่าเรื่องนี้บุคลากรของภาครัฐหรือว่าข้าราชการ จะไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบต่อความเสื่อมโทรมลงของสังคมไทยซึ่งทำให้สยามเมืองยิ้มเหลือเพียงแค่สมญานามและไม่มีความหมายในโลกของความเป็นจริง เพราะนั้นคือการ ”ให้ท้าย”กับคนผิด ให้หลุดพ้นจากการรับผิดชอบของตนเอง

       แม้จะเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะอะไรที่ข้าราชการไทยไม่สามารถทำงานด้านนี้ได้ดีมากกว่าที่ทำได้ แม้ว่าการควบคุมบังคับจะทำไม่ได้ผลด้วยจำนวนที่ต่างกัน แต่การชี้แจงหรือชักจูงสังคมยังอยู่ในแนวทางที่ควรเป็นก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ผมจึงมองว่าข้าราชการหรือบุคลากรในภาครัฐนั้นไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบนี้ได้

       และจากคำว่า”ให้ท้าย”ที่ผมขีดไฮไลท์ในย่อหน้าก่อนนี้และที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตั้งกะทู้นี้นั้นแหละคือปัจจัยที่ทำให้สังคมไทยเสื่อมลงไปทุกๆวันในขณะที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ไปเรื่อยๆ

       ให้ท้าย ตามใจ สปอย หรือจะใช้คำใดที่มีความหมายเดียวกันนี้ก็ได้ นั้นแหละคือต้นตอปัญหาของความเสื่อมโทรมลงของสังคมไทย เพราะเดี๋ยวนี้คนไทยใช้บรรทัดฐานในการตัดสินเรื่องใดๆเปลี่ยนไปจากการใช้ความดีความเลวตัดสิน มาเป็นใช้ความถูกใจแทนความถูกต้อง และเมื่อถูกใจแล้วล่ะก็คนไทยพร้อมจะให้ท้ายเต็มที่ แม้ว่าคนที่ตนเองถูกใจนั้น จะดีทำเลวแค่ไหนก็ไม่สน ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้สังคมไทยเสื่อมลงทุกวัน

       ถ้าท่านที่เข้ามาอ่านกะทู้นี้แล้วคิดว่ามันไม่ได้เป็นจริง อย่างที่จขกท.บอก ก็หันดูกะทู้อื่นในห้องการเมืองแห่งนี้ดูนะครับ ท่านก็จะเห็นว่าสิ่งที่ผมบอก ไม่ได้เกินเลยจากความเป็นจริงเลย

       ตอนที่ผมเขียนบทความชิ้นนี้ผมนั่งอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้นั่งเขียนท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์ที่บริสุทธิ์สดใสที่ไหน ดังนั้นเนื้อหาที่เขียนคงจะนั่งแต่งเติมด้วยจินตนาการก็คงไม่ใช่ เพราะด้วยสามัญสำนึกส่วนตัวเห็นว่าจะออกปากวิจารณ์สภาพสังคมนี้ว่าเสื่อมโทรมลงอย่างไรนั้น มันต้องใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมนี้ มาเป็นหลักฐานสนับสนุนการวิพากษ์วิจารณ์ แต่การจะใช้ความคิดเห็นทางการเมืองที่เต็มไปด้วย”อคติ”ในห้องนี้มากล่าวอ้างมันอาจเป็นหลักฐานที่ให้ความน่าเชื่อถือได้ไม่เต็มที่เท่าไร

       อย่างนั้นลองไปดูเรื่องดังในแง่มุมอื่นที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ดูบ้าง อย่างเรื่อง ลุงวิศวะยิงเด็กม.4ตาย ซึ่งเป็นตัวอย่างชั้นดีชี้ให้เห็นว่าสังคมนี้ตัดสินถูกผิดด้วยความถูกใจมากกว่ารอการพิจารณาคดีด้วยความถูกต้อง แน่นอนว่าตัวผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งในสังคมนี้ ผมจึงมีท่าทีหรือพฤติกรรมไม่แตกต่างไปจากสังคมส่วนใหญ่ ที่ตัดสินล่วงหน้าไปก่อนแล้วว่าฝ่ายไหนถูกผิด

      แต่ถ้าโฟกัสเฉพาะประเด็นของกะทู้อย่างเรื่องการให้ท้าย ก็จะเห็นได้ว่าเรื่องนี้มีการให้ท้ายจากสองฝ่ายที่คิดแตกต่างกันชัดเจน ฝั่งเชียร์เด็กก็อ้างเยาวชน อ้างวุฒิภาวะ ฝั่งเชียร์ลุงก็อ้างปกป้องตนเอง อ้างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามเทปบันทึกภาพที่ออกมา เหมือนสิ่งสำคัญของเรื่องนี้คือให้ท้ายกันเพื่อจะชนะความเห็นที่ต่างจากตนเองเท่านั้น จนเหมือนว่า
ชัยชนะของตนเองสำคัญกว่าความรู้สึกของแม่คนหนึ่งที่เสียลูกไป
ชัยชนะของตนเองสำคัญกว่าการปกป้องตนเองและครอบครัวของชายคนหนึ่ง


      ใครถูกใครผิด ผมไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือธาตุแท้ของคนไทยในสังคมยุคนี้  ที่จะมีรอยยิ้มเมื่อเป็นฝ่ายเหนือกว่าหรือประสบชัยชนะฝ่ายตรงข้ามที่ตนเองตั้งเป็นศัตรูเพราะคิดแตกต่างไปจากสิ่งที่ตนเองคิด

      จนประเด็นสำคัญของเรื่องลุงวิศวะยิงเด็กตายนี้ อย่างเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่ออยู่รวมกันเป็นฝูง ผู้ใหญ่ก็ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจทั้งๆที่มีวุฒิภาวะแล้วถูกละเลยและเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆที่แทบไม่มีใครให้ความสนใจ ทั้งที่คือภาพสะท้อนชั้นดีที่แสดงว่าสังคมไทยกำลังเสื่อมลง แต่สังคมนี้กลับเลือกสนใจเพียงว่าต้องการเอาชนะคนที่คิดแตกต่างจากตนเอง และแสดงความเห็นกันในลักษณะให้ท้ายเพียงแค่หวังผลที่ว่านี้

และถ้าวกมาที่ประเด็นการเมืองซึ่งเป็นห้องหลักที่ตั้งใจเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงความเห็นบ้างล่ะ..ที่ทำกันทุกวันนี้เพื่ออะไร..?
เพื่อเอาชนะคนที่ตัวเองมองว่าเป็นศัตรูเพราะคิดต่างจากตนเอง จนยอมได้แม้จะต้องให้ท้ายกับใครก็ตามที่เข้ามากุมอำนาจแม้คนเหล่านี้จะกระทำผิดเช่นนั้นหรือ..?

       เขียนบทความนี้จบ บนใบหน้าผมก็ยังมีรอยยิ้มอยู่ เพียงแต่มันไม่ได้ยิ้มด้วยวัฒนธรรมอันดีของชนชาติ หรือยิ้มด้วยความสะใจที่ได้จิกกัดฝ่ายตรงข้ามที่คิดเห็นแตกต่างไปจากผมในเรื่องทางการเมือง แต่ผมยิ้มด้วยความสยอง แล้วนึกเวทนาไปกับเมืองสยาม ที่เสื่อมโทรมลงเพียงเพราะอัตตาของคนในสังคมมีมากเกินกว่า การจะมองเห็นความสำคัญที่ดีงามของชนชาติตนเอง ที่เคยภาคภูมิใจตนเองจนเรียกว่า”สยามเมืองยิ้ม”

คุณ ที่เข้ามาอ่านล่ะครับ ที่ยังยิ้มอยู่ได้ ยิ้มด้วยความรู้สึกเช่นไร...?
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่