เดือนมีนาคมนี้ สหภาพยุโรป(อียู) จะประกาศผลการประเมินการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย ไม่รายงาน
และไร้การควบคุม(ไอยูยู) ของไทย มี 3 หน้าที่จะออก หนึ่ง หลุดใบเหลือง สอง คงใบเหลืองต่อไป และสาม โดนใบแดง
ถ้าได้”ใบแดง” สินค้าอุตสาหกรรมประมงของไทยจะรับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะที่ตลาดอียู ที่มีมูลค่าปีละกว่า 30,000 ล้านบาท
เป็นระเบิดเวลาที่ลุ้นว่ามาตรการต่างๆ ที่ไทยทำมานั้น ถอดชนวนถูกต้องหรือไม่
แต่ยังมีระเบิดเวลาลูกใหญ่อีกลูก หากไทยยังไม่รีบถอดชนวน จะกระทบต่อส่งออกไทยในภาพรวมอย่างมาก
นั่นคือระเบิด “ความตกลงความอำนวยความสะดวกทางการค้า” หรือ “ทีเอฟเอ” (Trade Facilitation Agreement : TFA)
ขององค์การการค้าโลก หรือดับเบิลยูทีโอ (World Trade Organization-WTO)
ย้อนไปเมื่อเดือนธันวาคม 2557 ในการประชุมระดับรัฐมนตรีดับเบิลยูทีโอ ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้บรรลุความตกลง “ทีเอฟเอ”
ผ่านมากว่า 2 ปีมีประเทศยอมรับข้อตกลงจะครบ 110 ประเทศในเร็วๆ นี้ เท่ากับ 2 ใน 3 ของประเทศสมาชิกทั้งหมด 164 ประเทศ
รวมถึงไทยที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้ความเห็นชอบเมื่อปี 2557 และผ่านการรับรองจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เมื่อปี 2558
เมื่อประเทศสมาชิกให้การยอมรับครบ 2 ใน 3 ความตกลง “ทีเอฟเอ” ที่ประกอบด้วย 24 ข้อบัญญัติหลัก รวม 143 ข้อย่อยก็จะมีผลบังคับใช้ทันที
นั่นหมายความว่าแต่ละประเทศจะต้องดำเนินการ ภายใน 12 เดือน
ทั้งนี้ ข้อบัญญัติต่างๆ ทางศูนย์สหประชาชาติเพื่อการอํานวยความสะดวกด้านการค้าและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ United Nations Centre for Trade Facilitation and Electronic Business (UN/CEFACT)
จะเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดมาตรฐานและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกด้านการค้าและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขออนุญาต การขอใบรับรองมาตรฐาน การจัดการขนถ่ายสินค้า การตรวจปล่อย การออกของ การผ่านแดน และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะต้องจัดทำเป็นระบบอีเล็กทรอนิกส์
รวมถึงมาตรฐานการส่งข้อมูลสินค้าเกษตร มาตรฐานระเบียบวิธีการค้า ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษเผยแพร่ให้รับรู้โดยทั่วไป
รวมทั้งให้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า(National Trade Facilitation Body :NTFB)
ที่มีผู้แทนจากภาครัฐในระดับนโยบายและผู้แทนเอกชน เพื่อวางโรดแมปเร่งดำเนินการให้เป็นไปบทบัญญัติต่างๆ โดยเร็ว
นี่เป็นแค่บางส่วนของบทบัญญัติที่ไทยจะต้องปฏิบัติตาม “ทีเอฟเอ” ภายใน 12 เดือน
ที่ผ่านมามีการสอบถามไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วว่าพร้อมจะทำเสร็จทันหรือไม่ ทุกหน่วยตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าทันแน่นอน
แต่ทว่าข้อเท็จจริงแล้ว มีหลายหน่วยงานมิน่าจะทำได้ทัน โดยเฉพาะการออกใบรับรองมาตรฐานทางอีเล็กทรอนิกส์ ที่มีแววว่าผู้ส่งออกของไทยอาจต้องไปขอใบรับรองจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์แทน
ดังนั้น หากไทยไม่สามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติได้ทัน จะทำให้ประเทศคู่ค้าของไทย อาทิ สหรัฐ อียู ญี่ปุ่น จีนและอาเซียน
ที่ยอมรับความตกลง “ทีเอฟเอ” แล้ว จะใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้าของไทยได้ ซึ่งประเทศดังกล่าวนี้เป็นตลาดส่งออกของไทยที่มีสัดส่วนกว่า 67% รวมมูลค่ากว่า 1.43 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ความตกลง”ทีเอฟเอ” จึงเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ของการส่งออกไทย หากไม่รีบถอดชนวน
JJNY : ฟร้อนต์เพจ ออนไลน์ : TFA ..ระเบิดเวลาส่งออกไทย
และไร้การควบคุม(ไอยูยู) ของไทย มี 3 หน้าที่จะออก หนึ่ง หลุดใบเหลือง สอง คงใบเหลืองต่อไป และสาม โดนใบแดง
ถ้าได้”ใบแดง” สินค้าอุตสาหกรรมประมงของไทยจะรับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะที่ตลาดอียู ที่มีมูลค่าปีละกว่า 30,000 ล้านบาท
เป็นระเบิดเวลาที่ลุ้นว่ามาตรการต่างๆ ที่ไทยทำมานั้น ถอดชนวนถูกต้องหรือไม่
แต่ยังมีระเบิดเวลาลูกใหญ่อีกลูก หากไทยยังไม่รีบถอดชนวน จะกระทบต่อส่งออกไทยในภาพรวมอย่างมาก
นั่นคือระเบิด “ความตกลงความอำนวยความสะดวกทางการค้า” หรือ “ทีเอฟเอ” (Trade Facilitation Agreement : TFA)
ขององค์การการค้าโลก หรือดับเบิลยูทีโอ (World Trade Organization-WTO)
ย้อนไปเมื่อเดือนธันวาคม 2557 ในการประชุมระดับรัฐมนตรีดับเบิลยูทีโอ ณ เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้บรรลุความตกลง “ทีเอฟเอ”
ผ่านมากว่า 2 ปีมีประเทศยอมรับข้อตกลงจะครบ 110 ประเทศในเร็วๆ นี้ เท่ากับ 2 ใน 3 ของประเทศสมาชิกทั้งหมด 164 ประเทศ
รวมถึงไทยที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้ความเห็นชอบเมื่อปี 2557 และผ่านการรับรองจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เมื่อปี 2558
เมื่อประเทศสมาชิกให้การยอมรับครบ 2 ใน 3 ความตกลง “ทีเอฟเอ” ที่ประกอบด้วย 24 ข้อบัญญัติหลัก รวม 143 ข้อย่อยก็จะมีผลบังคับใช้ทันที
นั่นหมายความว่าแต่ละประเทศจะต้องดำเนินการ ภายใน 12 เดือน
ทั้งนี้ ข้อบัญญัติต่างๆ ทางศูนย์สหประชาชาติเพื่อการอํานวยความสะดวกด้านการค้าและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือ United Nations Centre for Trade Facilitation and Electronic Business (UN/CEFACT)
จะเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดมาตรฐานและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกด้านการค้าและธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขออนุญาต การขอใบรับรองมาตรฐาน การจัดการขนถ่ายสินค้า การตรวจปล่อย การออกของ การผ่านแดน และอื่นๆ อีกมากมาย ที่จะต้องจัดทำเป็นระบบอีเล็กทรอนิกส์
รวมถึงมาตรฐานการส่งข้อมูลสินค้าเกษตร มาตรฐานระเบียบวิธีการค้า ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษเผยแพร่ให้รับรู้โดยทั่วไป
รวมทั้งให้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า(National Trade Facilitation Body :NTFB)
ที่มีผู้แทนจากภาครัฐในระดับนโยบายและผู้แทนเอกชน เพื่อวางโรดแมปเร่งดำเนินการให้เป็นไปบทบัญญัติต่างๆ โดยเร็ว
นี่เป็นแค่บางส่วนของบทบัญญัติที่ไทยจะต้องปฏิบัติตาม “ทีเอฟเอ” ภายใน 12 เดือน
ที่ผ่านมามีการสอบถามไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วว่าพร้อมจะทำเสร็จทันหรือไม่ ทุกหน่วยตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าทันแน่นอน
แต่ทว่าข้อเท็จจริงแล้ว มีหลายหน่วยงานมิน่าจะทำได้ทัน โดยเฉพาะการออกใบรับรองมาตรฐานทางอีเล็กทรอนิกส์ ที่มีแววว่าผู้ส่งออกของไทยอาจต้องไปขอใบรับรองจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์แทน
ดังนั้น หากไทยไม่สามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติได้ทัน จะทำให้ประเทศคู่ค้าของไทย อาทิ สหรัฐ อียู ญี่ปุ่น จีนและอาเซียน
ที่ยอมรับความตกลง “ทีเอฟเอ” แล้ว จะใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้าของไทยได้ ซึ่งประเทศดังกล่าวนี้เป็นตลาดส่งออกของไทยที่มีสัดส่วนกว่า 67% รวมมูลค่ากว่า 1.43 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ความตกลง”ทีเอฟเอ” จึงเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ของการส่งออกไทย หากไม่รีบถอดชนวน