เสียงเตือน กับนักวิ่ง

จากหลายๆเรื่องหลอนที่มีโอกาสได้อ่านจากกระทู้หรือได้ฟังจากรายการในยูทูป ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่ผมเคยเจอบ้างสักที เรื่องหลอนๆนี่มีอยู่รอบๆตัวเรา แต่ผมอาจจะเป็นคนนึงที่มีเซ้นต์รับรู้ถึงเรื่องหลอนเยอะมากอยู่เหมือนกัน ต้องขอบอกก่อนว่าผมเป็นคนกรุงเทพแท้ๆแต่กำเนิดเลยครับ แต่ชีวิตเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามกรรม หรือความต้องการก็ไม่สามารถรับรู้ได้แน่ชัด ตอนนี้ผมมาอยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ เป็นจังหวัดที่ค้าไม้ และมีพระธาตุประจำคนเกิดปีเสือครับ น่าจะพอจะเดาๆกันได้
        
               โอเค เริ่มเรื่องกันเลยดีกว่านะครับ ผมได้มาอาศัยอยู่ที่จังหวัดนี้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ปริญญาตรีครับ แต่ใกล้จะจบแล้ว เนื่องจากผมเรียนมหาลัยเปิดจึงไม่มีปัญหาเรื่องที่เข้าเรียนในชั้นครับ หลังจากเรียนจบผมก็ได้เดินหางาน แต่งานที่ตรงสายผมหายากเย็นเพราะต้องไปสอบแข่งขัน โดยส่วนตัวผมมีความสามารถด้านการใช้โปรแกรมออกแบบอยู่บ้าง เลยได้หมุนตัวไปเข้าทำงานที่โรงพิมพ์แห่งหนึ่งในตัวเมืองจังหวัด เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนผมกลับบ้านดึกเนื่องจากทำโอทีครับ จำได้ชัดว่าเวลาเลิกงานคือ 20.39 น. เพราะต้องแสกนนิ้วออก ผมขับรถมอเตอร์ไซค์มาทำงานครับ
        
            ขออธิบายนิดนึง ลักษณะของที่ทำงานจะเป็นแนวๆทรงยาวเหมือนทาวเฮ้าส์สองคูหาทุบติดกันครับ และจะมีทางเดินยาวด้านหลังออฟฟิศเพื่อที่จะไปลานจอดรถหลังตึก จุดแสกนนิ้วมืออยู่ตรงระหว่างทางเดินพอดีครับ เนื่องจากเป็นเวลาค่ำคนอื่นๆก็เลิกงานกลับกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ผมและเจ้านายที่นั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน แต่เนื่องจากผมรีบเลยแสกนนิ้วแล้วไม่ได้ลา จังหวะที่ผมกำลังแสกนนิ้ว อยู่ๆผมก็ได้กลิ่นฉุนอย่างแรงลอยเตะจมูกมา เหม็นจนต้องเอามือถูจมูกไปมาและทำเสียงฟุดฟิด ด้วยความที่กลิ่นมันแรงมากจนกลัวจะเกิดท่อแตกหรืออะไรหรือเปล่าเลยตัดสินใจไปถามเจ้านายเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกันได้ทันเพราะเป็นเวลาค่ำแล้ว ถ้ามีท่อแตกหรืออะไรขึ้นมาจะได้พอจะช่วยเหลือเขาได้ แลดูเป็นลูกจ้างที่ดี แต่เมื่อผมถามไปคำตอบที่ได้รับกลับกลายเป็น
  
             "ไม่เห็นได้กลิ่นอะไรเลย" พอได้ฟังเจ้านายพูดก็รู้สึกตะหงิดๆขึ้นมาทันที ไม่พูดซ้ำถามซ้ำเพราะอย่างที่บอกว่าผมเจอเรื่องพวกนี้บ่อยจนคุ้นเคยกันดี กล่าวลาเจ้านายแล้วรีบออกมาขึ้นรถ พอผมปิดประตูห้องทำงานเจ้านายและกำลังจะหมุนตัวกลับไปยังทางเดิน ก็ได้ยินเสียงแหลมๆเบาๆเป็นเสียงผู้หญิงดังขึ้นมาข้างหู 'อย่าเพิ่งกลับ' หูไม่เพี้ยนแน่ๆครับ เสียงผู้หญิงแหลมๆแต่เสียงเบามากเหมือนเสียงแว่วมาจากวิทยุ และสังเกตได้ว่าเสียงนี้พูดเร็วมาก เหมือนคนรีบพูดเพราะกลัวจะไม่ได้พูดอะไรประมาณนั้น หลังจากได้ยินเสียง ขนแขนตั้งแบบอัตโนมัติและยิ่งเร่งให้ร่างกายพามาหยุดอยู่ที่ข้างมอเตอร์ไซค์เพียงไม่กี่วินาที ตอนนั้นผมมีสติครบ 100% ครับ ผมยืนอยู่ข้างรถสักพักนึงครับ เพราะสองจิตสองใจกับคำพูดของเธอคนนั้น จะมีเรื่องอะไรหรือเปล่าทำไมถึงยังไม่อยากให้กลับ แล้วผมก็ตัดสินใจตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้ครับ
  
                   พอผมขึ้นแล้วขับออกมาจนถึงปากซอยข้างตึกที่ทำงาน เนื่องจากที่จอดรถของโรงพิมพ์จะอยู่เข้าไปในซอยเล็กๆข้างโรงพิมพ์ครับเพราะเป็นส่วนของหลังตึก ผมมองซ้ายมองขวามองรถเพื่อที่จะขับไปในเลนต์ฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะไปทางขวาผมก็ได้ยินเสียงขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชัดและรุนแรงกว่าเดิมมากครับ 'กูบอกว่าอย่าเพิ่งกลับ!!!!' เป็นเสียงแหลมเล็กและพูดเร็วเหมือนเดิม แต่เสียงนั้นดังขึ้นเหมือนมีคนมาฝังลำโพงไว้ในหมวกกันน็อคผมตกใจมากจนต้องหักเลี้ยวมอเตอร์ไซค์เข้าริมฟุตบาททันทีครับ เพราะเสียงมันดังมากๆ คนละเรื่องกับตอนแรกที่ได้ยิน ตอนนั้นทั้งกลัวทั้งหงุดหงิดครับ เพราะคนที่บ้านที่ผมอยู่ด้วยก็โทรมาเร่งให้รีบกลับบ้านเพราะมันดึก ทางนี้ก็มีใครไม่รู้ยังไม่อยากให้ผมกลับเนื่องจากไม่รู้สาเหตุ ผมเลยพึมพำขึ้นมาตั้งใจจะพูดคุยให้รู้เรื่องเลยครับ
              
                "คุณมีเรื่องอะไรก็พูดมา ทำไมถึงไม่ให้กลับ...ถ้าไม่พูดให้รู้เรื่องผมจะนับหนึ่งถึงสิบพอถึงสิบแล้วผมจะกลับทันที"
    
               หลังจากพูดจบผมก็นับหนึ่งถึงสิบทันทีครับ พูดออกมามันตรงนั้นเลย เอาให้มันได้ยินทั้งผีทั้งคน คนแถวนั้นเดินผ่านไปผ่านมาก็เริ่มสงสัยว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ในใจก็นึกตอบสายตาคนมองไปว่ากูไม่ได้บ้านะ แต่ใครไม่เจอแบบผมคงจะไม่เข้าใจ พอครบสิบแล้วก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยตัดสินใจขับรถกลับบ้านทันที ต้องอธิบายเรื่องที่พักของผมในจังหวัดนี้ก่อนนะครับ ที่พักนี้เป็นเขตอำเภอเมือง แต่อยู่รอบนอกเมืองครับ ต้องเดินทางจากตัวเมืองมาถึงบ้านประมาณ 12 กิโลเมตรครับ
      
                 ผมขับรถบนเส้นถนนซุปเปอร์ครับผ่านหน้าซอยใหญ่เพื่อที่จะเข้าหมู่บ้านที่ผมอยู่พอดี แล้วซอยใหญ่นั้นเป็นทางลัดไปต่างอำเภอด้วยครับ ผมขับรถจนใกล้จะถึงทางลัดเข้าบ้านครับ ส่วนปากทางหมู่บ้านไกลมากๆจากบ้านที่ผมอยุ่ ต้องเข้าไปจนใกล้จะท้ายหมู่บ้าน แต่ทางที่ผมเข้านั้นเป็นทางลัดถนนปูนอย่างดี เสียอย่างเดียวไม่มีไฟ เนื่องจากเป็นทางลัดกลางนาครับ สองข้างทางเป็นนากว้างขนาบข้าง ระยะทางยาวประมาณ700เมตร ถึงจะเจอบ้านคนครับ จังหวะที่ผมจะเลี้ยวซ้ายเข้าทางลัดนั้น เสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงดังเหมือนเอาโทรศัพท์แนบหู และปลายสายตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างดังเลยครับ 'อย่าเลี้ยวเข้าไป!!!!'
    
                 เสียงผู้หญิงคนเดิม คนเดิมแน่ๆ ผมตกใจจนหักเลี้ยวรถจนเสียหลักรถล้มอยู่ปากทางเข้าทางลัด แต่จังหวะที่รถล้มผมยันตัวยืนขึ้นทันครับเลยไม่ได้ล้มไปด้วย สภาพตอนนั้นขาข้างซ้ายผมยืนอยู่กับพื้นแบบย่อๆส่วนข้างขวาผมวางพาดบนมอเตอร์ไซค์ที่ล้มอยู่ ผมยืนตั้งหลักและพยุงรถขึ้น และสำรวจตัวเองและรถแล้วก็ไม่มีอะไรเสียหายครับ มีรอยตรงรถนิดหน่อยแต่เป็นรถเก่าเลยไม่ซีเรียส ตอนนั้นโมโหครับ โมโหมาก อารมณ์แบบโดนหาเรื่อง เคยเจอก็บ่อยครับแต่ไม่เคยเจอแบบนี้ ไม่รู้ว่ามาดีหรือมาร้ายแต่ทำแบบนี้มันทั้งตกใจทั้งกลัว เลยทนไม่ไหวครับ ผมตะโดนเสียงดังด่าผีเสียๆหายๆเลยครับ ด่าแบบหยาบมากๆ ทั้งสัตว์เลื้อยคลาน ครึ่งบกครึ่งน้ำ แช่งไม่ให้ผุดให้เกิด สารพัดจะนึกออก และผมก็ขึ้นรถแล้วสตาร์ทรถใส่เกียร์หนึ่งและบิดทันทีด้วยความโมโหมากครับ ผมไม่ลืมเปิดไฟสูงเพราะว่าทางมืดมาก มืดขนาดถ้าปิดไฟก็มองไม่เห็นถนน เห็นแต่ไฟจากบ้านไกลๆครับ
      
                 ผมบิดเร็วได้มาเกือบครึ่งทางใจเริ่มเย็นลง ประกอบกับเส้นทางเป็นทางสันหลังงูครับ คือมันคดไปเลี้ยวมาจนต้องชลอลง แต่จากที่ผมนึกว่าผมเจอจุดพีคสุดๆคือเสียงผู้หญิงดังเมื่อกี้แล้วตอนนี้พีคกว่ามากครับ คือเมื่อผมชลอความเร็วลงผมก้ได้ยินเสียงผู้หญิงคนเดิมอีกครั้งพูดขึ้นมาในโทนเสียงที่รีบร้อนมากครับ 'ไปเร็วๆ ไปเร็วๆ ไปเร็ว.....' คือพูดหลายครั้งมากจนผมกลัวและบิดมอเตอร์ไซค์เร็วขึ้นๆ พร้อมกับพยายามตั้งสติไม่ให้หลุดโค้งตกนา พอเสียงนั้นหายไป ตาผมก็ประทะกับร่างคนครับ นึกภาพตามนะครับ ผมเปิดไฟสูง จะทำให้เห็นระยะไกลได้ประมาณนึง ซึ่งสิ่งที่ปรากฎแก่สายตาผมด้านหน้า เป็นหลังคนกำลังวิ่งครับ คนๆนั้นแต่งตัวด้วยชุดกีฬานักวิ่ง ชุดนักวิ่งเลยนะครับ รองเท้าผ้าใบกางเกงขาสั้น แต่ที่จำได้แม่นที่สุดคือสีเสื้อครับ เสื้อสีส้มสะท้อนแสงพร้อมหมายเลข คือชุดเหมือนออกมาจากการวิ่งมาราธอนเลยครับ แต่แสงไฟสูงมันส่องเป็นวงกว้างและสูงตามชื่อครับ แต่ผมกลับมองไม่เห็นหัว...
              
                 ใช่ครับอ่านไม่ผิดกันเลย คนนั้นไม่มีหัว ไม่มีหัวเลยตั้งแต่ต้นคอ ไม่มีหัวสักนิดเดียว  คือต้องย้ำเพราะตอนเขียนไปด้วยภาพที่เจอก็วนกลับมา นั่งพิมพ์ไปขนลุกไป อารมณ์ตอนนั้นมันอธิบายไม่ถูกเลยครับ นึกอะไรไม่ออก ภาพตรงหน้ามันชัดขึ้นเรื่อยๆเพราะมือก็แข็งค้างอยู่ทำให้มอเตอร์ไซค์ผมบิดเร็วขึ้น ทั้งบิดทั้งหลับตาใจก็นึกว่าทางมันยาวขึ้นกว่าเดิมหลายกิโล พอผมขับใกล้จะผ่านนักวิ่งเพียงเสี้ยววินาทีผมหลับตาครับ แต่ความรู้สึกมันเหมือนว่าเค้าหยุดวิ่ง และหันมาทางรถ มันรู้สึกได้แบบนั้นแต่ผมก็ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่เพราะผมหลับตา เป็นประสบการณ์ขับรถมอเตอร์ไซค์แล้วหลับตาที่ฮาร์ดคอที่สุดแล้ว ครั้งแรกแต่ไม่ครั้งสุดท้าย แต่ครั้งนี้หนักหนาสาหัดมากจริงๆ ผ่านไปกี่วิกี่นาทีก็ไม่รู้ตาผมกระทบกับแสงไฟจากไฟทางนีออนซ์ครับ ซึ่งทำให้รู้ว่าถึงเขตที่มีบ้านคนแล้ว ผมลืมตาแล้วรู้ว่าตัวเองขับมอไซค์เร็วมากๆ จังหวะที่เล่ามาทั้งหมดมันเพียงเสี้ยววินาทีจริงๆนะครับ พอลืมตาผมรีบค่อยๆเหยียบเบรค เพราะถ้าเหยียบมิดเลยผมคว่ำและตีลังกาแน่ครับ นึกเอาว่าผมขับเท่าไหร่ (ผมก็ไม่รู้ว่ากี่ไมล์อย่างที่บอกว่ารถมันเก่าเป็นรถของที่บ้านที่ผมพักอยู่แล้วครับ เข็มไมล์มันไม่วิ่ง)

             แล้วผมก็จอดรถอยู่หน้าบ้านหลังนึงตรงนั้นครับ พอจอดรถสมองรีบประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือคำว่า ขอบคุณ ทำให้ผมรู้ว่าเสียงที่ผมได้ยินเขาไม่ได้มาร้าย แต่เรื่องที่ผมเจอเป็นเพราะความโง่ของผมเอง ผมเชื่อเรื่องวิญญาณครับและก็คิดว่าถ้าผมกลับมาช้าอีกนิดนึงก็อาจจะไม่ประจวบเหมาะกับเวลาใช้กรรมของนักวิ่ง ที่อาจจะต้องมาวิ่งซ้ำๆเวลานี้ทุกวัน ถ้าผมไม่โง่ ผมก็ไม่ต้องมาเกาะติดขอบสนามขนาดนี้ ผมถึงบ้านแล้วโดนที่บ้านบ่นตามระเบียบ แต่พอผมเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังก็สั่งห้ามเด็ดขาดว่าถ้ากลับดึกให้อ้อมเอา ไกลอีกนิดแต่ก็ยังปลอดภัย ทั้งคนทั้งผี เพราะทางก็มืดมาก

               และผมก็ได้รับรู้เรื่องราว ที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง ว่าคนนั้นเป็นนักวิ่ง ไปลงแข่งวิ่งประจำจังหวัด แล้วตอนกลับก็มืดแล้วติดรถคนอื่นมาลงทางลัดและจะวิ่งกลับเอง แต่ทางมันมืดมาก ก็เจออุบัติเหตุคือรถกระบะไฟเสียขับมาเร็วมากๆเพราะคงคิดว่ามืดแล้วอาจจะไม่มีอะไร แต่พอเจอหัวโค้งก็ชนเข้าอย่างจังกับนักวิ่ง ร่างกระเด็นลงไปกลางนากระดูกหักหลายที่ ที่สำคัญตอนพบศพ หัวของนักวิ่งขาดไปอยู่อีกฟากของถนนจากการฟังเรื่องราวถือว่าเป็นอุบัติเหตุที่รุนแรง แต่ก็ไม่รู้คนขับรถเพราะมันมืด ไม่มีหลักฐาน เลยดำเนินคดีไม่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีชาวบ้านคนนึงวิ่งไปหาผู้ใหญ่บ้านแล้วร้องไห้บอกว่าเป็นคนขับชนเองและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง ทั้งหมดก็จบโดยติดคุกไปตามระเบียบ ตอนนั้นชาวบ้านก็บอกว่าโดนผีหลอกเลยไปมอบตัวบ้าง รู้สึกผิดบ้างก็พูดกันไป ส่วนตัวผมนั้น เข็ดกับเส้นทางนี้ไปอีกนาน ขนาดขับตอนกลางวันยังหวาดๆ ภาพจำติดตาบันทึกลงเมมโมรี่อย่างแน่นหนา เพราะทุกอย่างมันคมชัดมากจริงๆ อ้อลืมเล่าไปนิดหน่อย

               เช้าวันรุ่งขึ้นผมไปทำงานครับ เจ้านายทักว่าเมื่อวานพาแฟนมาหรอ สวยมาก ผมก็งงบวกช็อค ก็เลยถามกลับทันควันด้วยความสงสัย ทำเอาเจ้านายหน้าซีดไปตามๆกันจนต้องเรียกคุยเป็นการส่วนตัวหลังเลิกงาน เรื่องมีอยู่ว่าตอนผมเปิดประตูเข้าห้องเจ้านาย เจ้านายเงยหน้าขึ้นมองหน้าผมและก็เห็นผู้หญิงใส่เสื้อเชิตนักศึกษาสีขาวพับแขน กางเกงยีนส์ขาสั้นยืนอยู่ข้างหลังผมตรงยาว ผิวขาวแต่หน้าตาคมสวย ผมก็สงสัยถามเจ้านายว่าเห็นละเอียดจัง เจ้านายบอกตอนผมไปยืนค้างที่รถมอเตอร์ไซต์เจ้านายเดินออกมาก็ยังเห็นว่าเธอยืนมองผมอยู่เหมือนกำลังคุยกัน ผมก็จัดการเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังทั้งหมด ทำเอาเจ้านายไม่ให้อยู่โอทีไปเป็นอาทิตย์ (อันนี้ผมล้อเล่น เป็นเพราะผมไม่มีงานด่วนแล้ว) แต่เจ้านายก็จะบอกให้กลับบ้านดีๆและให้รีบกลับบ้านทุกครั้งตอนเลิกงาน เป็นเจ้านายที่ดี ฮ่าๆ แต่ตอนนี้เป็นอดีตเจ้านายไปละ สรุปได้ว่าเธอมาดีและสวยมากๆ ผมขอจบเรื่องแรกเพียงเท่านี้ ผิดพลาดตรงไหนก็ด่าได้ครับแต่อย่าแรงแฮะๆ มือใหม่หัดเล่านะครับ แต่อย่างที่บอกว่าเจอบ่อยออกแนวมีเซ้นต์แบบรุนแรง ไว้จะมาเล่าเรื่องที่สองให้ฟังนะครับ ขอบคุณที่อ่านครับผม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่