รีวิวกันจังๆจากที่ได้ไปชมรอบสื่อมา ลองรีวิวครั้งแรกแบบ *ไม่สปอย*
เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริง โดยอิงเนื้อหาบางส่วนที่ยังไม่ถูกเปิดเผยมานำเสนอในรูปแบบของภาพยนต์ในชื่อเรื่อง The Lost Case ผลงานการกำกับของ ชยัญ อิทธิจตุพร และเป็นหนังเรื่องล่าสุดจากค่าย กันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส โดยภาพยนต์เรื่องนี้ถ่ายทำแบบ handheld คือเล่าในมุมมองเสมือนบุคคลที่1 ทำให้เหมือนเราได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์มากขึ้น stun shot มีพลังมากขึ้น
เนื้อเรื่องทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับหมอปลาน้อยมาก แทบจะเหมือนเชิญหมอปลามาเป็นนักแสดงรับเชิญเลยก็ว่าได้ นักแสดงหลักจริงๆ คือ อิฐกับปอ ทั้งสองคนเป็นทีมงานรายการมือปราบสัมภเวสี ที่ต้องรับหน้าที่ไปถ่ายทำรายการที่หมู่บ้านแห่งนึงก่อนที่หมอปลาจะเข้าไปช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน อิฐเป็นครีเอทีฟประจำรายการ นิสัยค่อนข้างจริงจัง งานเป็นงาน กระตือรือร้น อยากรู้อะไรต้องรู้ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมากเท่าไหร่ ส่วนปอเป็นช่างกล้อง ค่อนข้างเฮฮา ขี้เล่น เข้าถึงง่าย คาแรกเตอร์ทั้งสองคนค่อนข้าง contrast กัน ทำให้หนังมีวอลุ่มในการมีบทรับบทส่งแต่ด้วยความสุดโต่งของคาแรกเตอร์มันเลยดูเหมือนคนนึงเป็นผู้นำ คนนึงเป็นผู้ตาม
ด้วยความที่หนังเป็นการถ่ายทำแบบ handheld มันเลยทำให้ข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆมันหายไป เสมือนหลอกตาคนดู มันเลยดูธรรมชาติกว่า สิ่งที่ชอบอีกอย่างนึงก็คือการที่เราไม่จำเป็นต้องเห็นผีตัวเป็นๆ เน้นใช้เทคนิคบรรยากาศ การแสดง ซึ่งในมุมมองเรามันดีกว่าการที่เห็นเป็นตัวเป็นๆกว่าเอามากๆ เพราะถ้ายิ่งเห็นชัดมันเหมือนถูกทลายความเชื่อหรือภาพในอุดมคติไปมันทำให้ดูหลอกดูไม่จริงได้ ในส่วนของจังหวะก็ทำได้ดีบางทีก็มีจังหวะหลอกของกล้องที่เสียมามันเลยเดาไม่ได้ว่าจะเตรียมตัวตกใจตอนไหน เนื้อเรื่องแรกๆก็ดูไม่ซับซ้อนอะไรมากดูเหมือนเริ่มเหตุการณ์เร็วไปด้วยซ้ำจนคิดว่าหนังต้องจบไวแน่ๆ แต่ไม่เลย มันเหมือนมีเหตุการณ์ซ้อนกันเผื่อปูทางให้อีกหนึ่งเหตุการณ์แล้วทิ้ง hint ไว้ทำให้เดาตอนจบไม่ได้สักทีว่าจะจบแบบไหน แต่ก็มีแอบสงสัยว่าทำไมเป็นแบบนี้เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้บ้างประปราย
เนื้อเรื่องรวมๆเกี่ยวโยงกับรูปแบบศาสนาชาวบ้าน กล่าวคือเป็นการผสมผสานของคตินิยมท้องถิ่น คือพุทธศาสนาระดับที่ชาวบ้านปฏิบัติใน ชีวิตประจําวัน และความเชื่อภูติผี แก่นของหนังไม่ใช่เผื่อให้ผู้ชมเสพแค่ความน่ากลัวเพียงอย่างเดียวแต่ยังพยายามบอกเป็นนัยๆเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงมุมมอง หรืออาจจะเป็นการทำลายความเชื่องมงายที่ฉุดรั้งมนุษย์ให้หมกมุ่นอยู่กับสิ่งๆหนึ่งมากเกินไปโดยไม่ละหรือปล่อยวาง เช่น การกราบไหว้สัตว์ ต้นไม้แปลก ทรงจ้าวเข้าผีต่างๆ ทั้งๆที่โดยปกติแล้ว ความเชื่อมีไว้เพื่อสร้างความกลัว คลายความขัดแย้งระหว่างคนกับธรรมชาติ คนกับคน และคนกับกฎเกณฑ์ทางสังคม ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ แบบพึ่งพาอาศัยหรือส่งเสริมกันและกัน อาจจะเป็นความคิดหรือการเสนอมุมมองที่จะให้คนกลับไปสู่แก่นแท้พุทธศาสนาแบบตามคติพระพุทธเจ้าก็ได้
เชิญชวนครับ เข้าไปสัมผัสประสบการณ์ความหลอนที่ "โคตรแปลก" กับมือปราบสัมภเวสี ...เคยชมกันหรือยัง?
เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริง โดยอิงเนื้อหาบางส่วนที่ยังไม่ถูกเปิดเผยมานำเสนอในรูปแบบของภาพยนต์ในชื่อเรื่อง The Lost Case ผลงานการกำกับของ ชยัญ อิทธิจตุพร และเป็นหนังเรื่องล่าสุดจากค่าย กันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส โดยภาพยนต์เรื่องนี้ถ่ายทำแบบ handheld คือเล่าในมุมมองเสมือนบุคคลที่1 ทำให้เหมือนเราได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์มากขึ้น stun shot มีพลังมากขึ้น
เนื้อเรื่องทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับหมอปลาน้อยมาก แทบจะเหมือนเชิญหมอปลามาเป็นนักแสดงรับเชิญเลยก็ว่าได้ นักแสดงหลักจริงๆ คือ อิฐกับปอ ทั้งสองคนเป็นทีมงานรายการมือปราบสัมภเวสี ที่ต้องรับหน้าที่ไปถ่ายทำรายการที่หมู่บ้านแห่งนึงก่อนที่หมอปลาจะเข้าไปช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน อิฐเป็นครีเอทีฟประจำรายการ นิสัยค่อนข้างจริงจัง งานเป็นงาน กระตือรือร้น อยากรู้อะไรต้องรู้ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมากเท่าไหร่ ส่วนปอเป็นช่างกล้อง ค่อนข้างเฮฮา ขี้เล่น เข้าถึงง่าย คาแรกเตอร์ทั้งสองคนค่อนข้าง contrast กัน ทำให้หนังมีวอลุ่มในการมีบทรับบทส่งแต่ด้วยความสุดโต่งของคาแรกเตอร์มันเลยดูเหมือนคนนึงเป็นผู้นำ คนนึงเป็นผู้ตาม
ด้วยความที่หนังเป็นการถ่ายทำแบบ handheld มันเลยทำให้ข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆมันหายไป เสมือนหลอกตาคนดู มันเลยดูธรรมชาติกว่า สิ่งที่ชอบอีกอย่างนึงก็คือการที่เราไม่จำเป็นต้องเห็นผีตัวเป็นๆ เน้นใช้เทคนิคบรรยากาศ การแสดง ซึ่งในมุมมองเรามันดีกว่าการที่เห็นเป็นตัวเป็นๆกว่าเอามากๆ เพราะถ้ายิ่งเห็นชัดมันเหมือนถูกทลายความเชื่อหรือภาพในอุดมคติไปมันทำให้ดูหลอกดูไม่จริงได้ ในส่วนของจังหวะก็ทำได้ดีบางทีก็มีจังหวะหลอกของกล้องที่เสียมามันเลยเดาไม่ได้ว่าจะเตรียมตัวตกใจตอนไหน เนื้อเรื่องแรกๆก็ดูไม่ซับซ้อนอะไรมากดูเหมือนเริ่มเหตุการณ์เร็วไปด้วยซ้ำจนคิดว่าหนังต้องจบไวแน่ๆ แต่ไม่เลย มันเหมือนมีเหตุการณ์ซ้อนกันเผื่อปูทางให้อีกหนึ่งเหตุการณ์แล้วทิ้ง hint ไว้ทำให้เดาตอนจบไม่ได้สักทีว่าจะจบแบบไหน แต่ก็มีแอบสงสัยว่าทำไมเป็นแบบนี้เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้บ้างประปราย
เนื้อเรื่องรวมๆเกี่ยวโยงกับรูปแบบศาสนาชาวบ้าน กล่าวคือเป็นการผสมผสานของคตินิยมท้องถิ่น คือพุทธศาสนาระดับที่ชาวบ้านปฏิบัติใน ชีวิตประจําวัน และความเชื่อภูติผี แก่นของหนังไม่ใช่เผื่อให้ผู้ชมเสพแค่ความน่ากลัวเพียงอย่างเดียวแต่ยังพยายามบอกเป็นนัยๆเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงมุมมอง หรืออาจจะเป็นการทำลายความเชื่องมงายที่ฉุดรั้งมนุษย์ให้หมกมุ่นอยู่กับสิ่งๆหนึ่งมากเกินไปโดยไม่ละหรือปล่อยวาง เช่น การกราบไหว้สัตว์ ต้นไม้แปลก ทรงจ้าวเข้าผีต่างๆ ทั้งๆที่โดยปกติแล้ว ความเชื่อมีไว้เพื่อสร้างความกลัว คลายความขัดแย้งระหว่างคนกับธรรมชาติ คนกับคน และคนกับกฎเกณฑ์ทางสังคม ให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ แบบพึ่งพาอาศัยหรือส่งเสริมกันและกัน อาจจะเป็นความคิดหรือการเสนอมุมมองที่จะให้คนกลับไปสู่แก่นแท้พุทธศาสนาแบบตามคติพระพุทธเจ้าก็ได้