กระทู้ขอไม่เอาสายอวยนะครับ
ขอเกริ่นก่อนนะครับว่า ตอนนี้ผมเรียน อยู่ ม.6 โรงเรียนย่านฝั่งธน พึ่งจบหมาดๆ ชอบงานทางด้านสื่อครับ และก็รับจ๊อบอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ตอนนี้ผมเคว้งมากเรื่องมหาลัยเพราะว่าทางบ้านผม เรื่องเยอะเรื่องมหาลัยและกีดกันผมอยู่ครับ จะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เริ่มเรื่องเลยนะครับ
คือ ทุกคนก็รู้ใช่ไหมครับว่า ตอนที่เรียนอยู่ ม.6 มันต้องเลือกมหาลัย ที่จะเข้าศึกษาต่อ ซึ่งส่วนใหญ่ แล้ว หลายๆคนก็มีที่ๆตัวเองใฝ่ฝันไว้แล้วว่าอยากเข้า อย่างผมเนี่ยครับ ใฝ่ฝันว่าจะเข้ามหาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิตครับ เพราะว่าผมอยู่สายทางด้านสื่อชอบการทำสื่อแล้วก็ได้ลองสัมผัสความเป็นอยู่ในมหาลัยแห่งนี้จากหลายๆกิจกรรมครับ ทำให้ผมรู้สึกใฝ่ฝันและอยากศึกษาต่อในมหาลัยนี้ตั้งแต่ตอน ม.ต้น เลยครับ
แน่นอนว่าหลายๆบ้านครอบครัวหลายๆคนก็ต้องถามลูกหรือเด็กในบ้านก่อนอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาเหมาะสมว่าอยากเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยไหน ซึ่งเพื่อนๆผม คนรู้จักรุ่นพี่ รุ่นน้อง มักมีความรู้สึกแบบผมตอนตอบคือ มั่นใจในคำตอบหากเรามีที่หมายปองไว้ครับ อย่างผมก็ตอบเต็มปากเต็มคำครับ "มหาวิทยา_______ครับ !!" รู้ไหมครับผมได้คำตอบอะไรกลับมาจากญาติผู้ใหญ่ที่บ้าน
"ใฝ่ต่ำ"
อืมครับ ผมไปไม่เป็นเลยครับผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมรู้สึกว่าผมผิดอะไรหรือยังไง? มันความฝันผมไม่ใช่หรือ? ผมเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆฟัง (บ้านผมครอบครัวใหญ่มากครับ ราวๆทั้งครอบครัวเกือบ 30คนได้ (ฝั่งแม่อย่างเดียวนะ)) ญาติผู้ใหญ่บางท่านก็บอกว่า "ปล่อยเขาไปเถอะ" บ้างก็บอกว่า "มหาลัย__(ประเภท) มันช่วยเรื่องเงินที่บ้านได้มากกว่านะลูก" แต่ที่หนักคือ "เขาพูดถูกแล้ว เอ็งอะใฝ่ต่ำ มีที่ดีๆทำไมถึงไม่อยากเรียน"
ขอพูดก็เลยนะครับ มันอาจจะดูว่าผมเอาแต่ใจหรือแบบดื้อรั้นไม่รับความหวังดีจากคนที่บ้าน คือจริงๆแล้วนี่มันอนาคตผมนะครับ ถามว่าที่ผมอยากเข้า เนี่ยมันแย่หรือยังไง มันไม่ได้แย่นะครับ มีชื่อดังและได้รับการยอมรับนะครับ แค่มันไม่อยู่ในประเภทที่ๆ บ้านอยากได้
ว่าต่อนะครับ คือตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร + หลักฐานการยอมรับ หรือน้ำหนักเหตุผลมันไม่พอครับ ผมอือ ออ ตามคนที่บ้านว่าเดี๋ยวจะเข้าวิศวะนะ จะนู่นนี่นั่นซึ่งความเป็นจริงผมอยู่ สหศิลป์ครับ (ขออนุญาติหยาบ) "

แทบเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำในการเข้าวิศวะครับ!" คนที่บ้านพยายามยก พี่ชายผมบ้าง อาเฮียผมบ้างว่าทำไมไม่ดูเฮียเป็นแบบอย่าง ไม่เป็นวิศวะกร ไม่เป็น "หมอ" เหมือนเฮียเค้า ทำไมถึงฝันอยากทำอาชีพ "ต่ำๆ" แบบนี้ โทษทีครับ จังหวะนั้นเป็นคำพูดที่ผมโดนตั้งแต่ตอนอยู่ ม.ต้น ยันขึ้น ม.4 เทอม 2 ผมยังโดนเลยครับ คือหมอเนี่ยมันทำรายการทีวีหรือขึ้นมาเล่นละคร ถ่ายภาพยนต์ได้ไหมครับ? คืออาชีพแต่ละอาชีพมันก็มีศักดิ์ศรี มีเกียรติและหน้าที่ในตัวมันปะครับ (ในขณะที่ผมพิมพ์ลงPantip อยู่นี่พวกท่านก็กำลัง"นินทา" อย่างเสียงดังเรื่องมหาลัยของผมขึ้นมาถึงในห้องผมเลยครับ") คือเมื่อโตแล้วอะครับ เหตุผลหรือความคิดความอ่านมันก็มีมากขึ้น แต่ความใฝ่ฝันมันยังเป็นเหมือนเดิมเพราะเราได้เรียนรู้มันมากขึ้นจากกิจกรรมต่างๆ รวมถึงครูแนะแนวด้วยครับ
วันนั้นครับ วันที่ผมโดนดุด่าอย่างหยาบคายและบ้านแตก ทุกคนโยนความผิดเรื่องความเครียดให้กับผม เกี่ยวกับเรื่องมหาลัยและความฝันในอนาคตของผมว่าเป็น "กรรมกร" ผมได้รู้ความเป็นจริงเกี่ยวกับเหตุผลว่าทำไมไม่อยากให้ผมเขาศึกษาต่อในที่ๆผมอยาก พวกเขา ต้องการ "โม้" ครับ
หลายๆคนจะเห็นว่ามันเป็น กิริยาทั้งในหนังสือการ์ตูน หรือสื่อหลายๆประเภทว่าป้าข้างบ้านชอบโม้เรื่องลูกเข้ามหาลัย กับคณะที่เรียนครับ ซึ่งบ้านผมก็เป็นอย่างนั้น คือเพื่อนๆผม อยากเข้าไปเรียนที่นู่นที่นี่ ทางบ้านของพวกเขาก็สนับสนุน และมีการให้ความรู้ความเข้าใจ คือมันก็เป็นคนละยุคคนละสมัยกันแล้วกับเมื่อก่อนที่ว่า มหาลัยประเภทนึงจะเป็นที่นิยมเพราะชื่อเสียงและค่าเล่าเรียน รวมถึงความรับประกันความเก่งกาจครับ
คือสมัยนี้มันไม่ใช่เป็นเครื่องวัดแล้วครับ สิ่งที่วัดความสามารถในการใช้ชีวิตคือความสามารถในการทำงานครับ มันจริงอย่างที่หลายๆคนพูดว่า ที่ทำงานบริษัทเขาดูชื่อมาก่อน แต่คือ "ผมอยากทำงานอิสระอะครับ ใครจะมาวัดชีวิตผมครับ?" คือที่เห็นได้ชัดเลยว่าค่านิยมแบบสมัยก่อนใช้กับสมัยนี้ไม่ได้เพราะว่า คนขายลูกชิ้นหลังโรงเรียนผม เขาจบจากมหาลัยที่ผู้ใหญ่หลายๆคนเรียกว่า มหาลัยอันดับ 1 ของไทยอะครับ แถมจบวิศวะ คือผมไม่ได้ไปดูถูกเขานะครับ ผมนับถือความคิดเขาด้วยซ้ำครับ เขาบอกว่ามันไม่ได้อยู่ที่ชื่อมหาลัยหรอกครับ มันอยู่ที่ตัวคนครับ ว่าจะสามารถ ทำได้ขนาดไหน
เล่าเรื่องความเป็นมาในอดีตแล้วขอเล่าปัจจุบันกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่นานนะครับ
ผมมีความตั้งใจมากในการเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งคนในบ้าน ฝั่งแม่ทั้งหมดมีที่เห็นด้วยกับผมรวมทั้งสิ้นแล้ว 7-8 คนจาก เกือบๆ 30 คน คือที่ยอมรับว่าผมสามารถเข้าศึกษามหาวิทยาลัยนี้ได้จากการศึกษาข้อมูลของพวกเขาครับ (ขออนุญาติใช้พวกเขาเพราะมีคนอายุน้อยกว่าและศักดิ์น้อยกว่าอยู่ด้วย) คือพวกเขายอมรับว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่ได้รับการยอมรับ และสนับสนุนครับ คือไม่ใช่เพียงแค่คนในครอบครัวกลุ่มนี้ที่สนับสนุนผมนะครับ รวมที่เหล่าคุณครูของผมก็สนับสนุนผมให้ศึกษามหาลัยแห่งนี้เพราะว่าความเข้ากันจริงๆ
ง่ายๆนะครับ ผมอยู่สายทางด้านสื่อ + มหาวิทยาลัยแห่งนี้ดังด้านคณะวิชานิเทศศาสตร์ และวิชาภาพยนต์ครับ
สิ่งที่น่าเสียดายครับครอบครัวผมกลุ่มนี้ไม่มีอำนาจพอในการต่อรองกับกลุ่มใหญ่ในบ้านครับ รวมถึงคุณครูที่พยายามช่วยเหลือผมด้วย ถูกสยบราบเรียบด้วยฝีปากคนในบ้านกลุ่มมากซึ่งมีสกิวในการ แถ และพูดจา วกวนกลบเกลื่อนเป็นหลักจนคนไม่อยากคุยด้วย เข้าใจเลยครับว่า คนที่อ่านกระทู้ผมแล้วต้องบอกว่าผม

เอาแต่ใจ หรือไม่ก็อะไรเทือกนั้น แต่อยากให้รับรู้ความเป็นจริงอะครับ
ชีวิตพวกคุณมัน YOLO ปะครับ คือผมคิดว่ามันต้องมีคนที่คิดแน่นอนว่า ก็แค่เข้าไปศึกษาให้ครอบครัวไม่ได้หรือ หรืออะไรโลกสวยเทือกนั้นอะครับ แต่นั่นมันอนาคตคุณปะครับ คือ คุณเป็นคนเข้าไปเล่าเรียน และออกมาทำงาน มารับเงินเดินมาเผชิญปัญหาจากสิ่งที่เลือกเองไม่ใช่คนที่บ้านปะครับ เข้าไปเรียนๆในที่ๆอยาก แล้วรู้สึกแบบ "เอ้ย

ไม่ใช่" แล้วคุณก็กด Load เซฟไปช่วงก่อนเข้ามหาลัย คือมันทำไม่ได้นะครับ ชีวิตคุณมีครั้งเดียวไม่ใช่เกม คุณก็ควรเลือกสิ่งที่คุณคิดว่าสามารถทำให้ชีวิตในอนาคตคุณเจริญก้าวหน้าได้ไม่ใช่หรอครับ
ล่าสุดครับ ทั้งคุณครูก็ช่วยเหลือในการเจรจาแต่ก็ไม่สำเร็จ เพื่อนๆผมหลายๆคนก็เป็นแบบผมครับ แต่ก็น้อยกว่าสุดท้ายก็สามารถเข้าไปเรียนได้ครับ รู้ไหมครับ ผมโดนพูดว่าอะไรจาก คนเป็นแม่และน้าสาว ตอนที่อาจารย์ กับญาติผู้ใหญ่ที่เข้าใจมาพูด
"ถ้าเข้าที่นี่ ชีวิตไม่เจริญหรอก" มันสมควรหรือครับ คำที่พูดออกมาจากปากแม่กับน้าสาวอะครับ ทุกคนส่ายหน้าครับ แก้ไขยากเกินเยียวยาและไม่สามารถช่วยเหลือผมได้ พวกท่านทั้งสอง +3ถึง5 ต่างรุมมาที่ผม พูดคำแช่งต่างๆนาๆ ทั้งๆที่ผมขอทุนไปเพื่อให้เขาสบายใจและไม่ต้องจ่าย ยังโดนด่าว่า ขอให้ไม่ติด ผมบอกตรงๆครับ รู้สึกแย่มากๆครับกับการกระทำแบบนี้ของคนในบ้าน ถามว่าคนเป็นพ่อหายไปไหน อ่อ อยู่ฝั่งแม่ครับ ยิ่งคุยยากกว่าเดิมไปอีก
อีกเรื่องคือเรื่องตรรกะครับ มหาลัยแห่งนี้ถ้าหลายๆคนนึกออก คงจะรู้ว่าค่าเทอมมันไม่น้อย (แต่ไม่รู้ทำไมมันถูกกว่าค่าเทอมโรงเรียนผมอีก) มันอยู่ที่ 3 แสนกว่าบาทเมื่อจบครบ 4 ปีรวมค่าศึกษาธรรมเนียม บลาๆ อะไรทุกอย่าง แต่มหาลัยที่ๆบ้านอยากให้เข้าศึกษาเป็นคณะที่ผมเคยฝันเฉยๆ ค่าเทอมรวม 4 ปีรวมค่าทำเนียม = อีก 2 แสนก็ล้านนึง เขาบอกว่า มหาลัยที่ผมอยากเข้าอะ เขาไม่มีเงินส่ง แต่พอพูดถึงมหาลัยนี้อะ พูดว่าจ่ายได้สบายๆ และที่สำคัญเขาพูดว่า "ถูกกว่า"
ปวดตับครับ ปวดทั้งตัว เมื่อได้ยินคำนี้ คือเพื่อนผมที่อยู่สายเดียวกับผมเข้าไปมีชื่อเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้ไปแล้ว 2 เดือนในขณะที่ผม ยังเคว้งคว้างเพราะทางบ้านครับ ผมขอทุนไปแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าติดจะไปเรียนได้อีกไหมเพราะติดปัญหาเรื่องค่านิยม ที่พวกท่านบอกเสมอว่า "ต้องเอาไปโม้กับเพื่อนและคนรู้จัก" เนี่ยครับ คือปัญหานี้มันไม่ได้มีเฉพาะผมนะครับ อย่างที่พูดไปหลายพารากราฟข้างต้น มันเป็นปัญหาระดับชาติครับ ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศที่มีสตรีถือโคม เขาไม่ได้ดูที่ชื่อมหาลัยเลยนะครับ เขาดูที่ความสามารถล้วนๆ แล้วดูนี่สิ

โคตรไทยแลนด์แดนอัศจรรย์เลยครับ เด็กหลายๆคนต้องขายอนาคตตัวเองเพื่อให้ผู้ใหญ่มาที่ไม่ได้จะเป็นเจ้าของชีวิตในอนาคตไปพูดถมกันสนุกปากเนี่ย อยากรู้ครับว่ามีอีกกี่ครอบครัวครับที่เจอปัญหาแบบผมบ้าง และผมควรจะทำยังไงสำหรับผู้ที่ผ่านมาได้ แต่บอกก่อนนะครับ ผมไม่ขายอนาคตผมแน่ครับ ผมไม่ได้ตามเพื่อนด้วยที่สำคัญมันเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันว่าอยากศึกษาที่นี่มานาน //กยศ ที่นี่จ่ายไม่เต็มครับเลยเรียนไม่ได้ + Income ที่บ้าน เกิน 200000 ต่อปี เลยขอยากมากครับ
สำคัญสุดๆครับ อยากให้คนที่เจอปัญหาแบบผมได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่เจอ มีคนอีกเยอะที่เจอครับ และอยากให้แก้ปัญหาไปให้ได้ด้วยกันจากความเห็นของผู้ที่สามารถผ่านมาได้ครับ
ถ้าพิมพ์ผิดยังไงขออภัยนะครับ
ไม่เอา #ทีมอวย ครับ
อนาคตเด็กมันใช่เครื่องมือในการโม้ของผู้ใหญ่หรือครับ?
ขอเกริ่นก่อนนะครับว่า ตอนนี้ผมเรียน อยู่ ม.6 โรงเรียนย่านฝั่งธน พึ่งจบหมาดๆ ชอบงานทางด้านสื่อครับ และก็รับจ๊อบอยู่บ้างเป็นบางครั้ง ตอนนี้ผมเคว้งมากเรื่องมหาลัยเพราะว่าทางบ้านผม เรื่องเยอะเรื่องมหาลัยและกีดกันผมอยู่ครับ จะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เริ่มเรื่องเลยนะครับ
คือ ทุกคนก็รู้ใช่ไหมครับว่า ตอนที่เรียนอยู่ ม.6 มันต้องเลือกมหาลัย ที่จะเข้าศึกษาต่อ ซึ่งส่วนใหญ่ แล้ว หลายๆคนก็มีที่ๆตัวเองใฝ่ฝันไว้แล้วว่าอยากเข้า อย่างผมเนี่ยครับ ใฝ่ฝันว่าจะเข้ามหาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิตครับ เพราะว่าผมอยู่สายทางด้านสื่อชอบการทำสื่อแล้วก็ได้ลองสัมผัสความเป็นอยู่ในมหาลัยแห่งนี้จากหลายๆกิจกรรมครับ ทำให้ผมรู้สึกใฝ่ฝันและอยากศึกษาต่อในมหาลัยนี้ตั้งแต่ตอน ม.ต้น เลยครับ
แน่นอนว่าหลายๆบ้านครอบครัวหลายๆคนก็ต้องถามลูกหรือเด็กในบ้านก่อนอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลาเหมาะสมว่าอยากเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยไหน ซึ่งเพื่อนๆผม คนรู้จักรุ่นพี่ รุ่นน้อง มักมีความรู้สึกแบบผมตอนตอบคือ มั่นใจในคำตอบหากเรามีที่หมายปองไว้ครับ อย่างผมก็ตอบเต็มปากเต็มคำครับ "มหาวิทยา_______ครับ !!" รู้ไหมครับผมได้คำตอบอะไรกลับมาจากญาติผู้ใหญ่ที่บ้าน
"ใฝ่ต่ำ"
อืมครับ ผมไปไม่เป็นเลยครับผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมรู้สึกว่าผมผิดอะไรหรือยังไง? มันความฝันผมไม่ใช่หรือ? ผมเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ญาติผู้ใหญ่คนอื่นๆฟัง (บ้านผมครอบครัวใหญ่มากครับ ราวๆทั้งครอบครัวเกือบ 30คนได้ (ฝั่งแม่อย่างเดียวนะ)) ญาติผู้ใหญ่บางท่านก็บอกว่า "ปล่อยเขาไปเถอะ" บ้างก็บอกว่า "มหาลัย__(ประเภท) มันช่วยเรื่องเงินที่บ้านได้มากกว่านะลูก" แต่ที่หนักคือ "เขาพูดถูกแล้ว เอ็งอะใฝ่ต่ำ มีที่ดีๆทำไมถึงไม่อยากเรียน"
ขอพูดก็เลยนะครับ มันอาจจะดูว่าผมเอาแต่ใจหรือแบบดื้อรั้นไม่รับความหวังดีจากคนที่บ้าน คือจริงๆแล้วนี่มันอนาคตผมนะครับ ถามว่าที่ผมอยากเข้า เนี่ยมันแย่หรือยังไง มันไม่ได้แย่นะครับ มีชื่อดังและได้รับการยอมรับนะครับ แค่มันไม่อยู่ในประเภทที่ๆ บ้านอยากได้
ว่าต่อนะครับ คือตอนนั้นด้วยความเป็นเด็กเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร + หลักฐานการยอมรับ หรือน้ำหนักเหตุผลมันไม่พอครับ ผมอือ ออ ตามคนที่บ้านว่าเดี๋ยวจะเข้าวิศวะนะ จะนู่นนี่นั่นซึ่งความเป็นจริงผมอยู่ สหศิลป์ครับ (ขออนุญาติหยาบ) "
วันนั้นครับ วันที่ผมโดนดุด่าอย่างหยาบคายและบ้านแตก ทุกคนโยนความผิดเรื่องความเครียดให้กับผม เกี่ยวกับเรื่องมหาลัยและความฝันในอนาคตของผมว่าเป็น "กรรมกร" ผมได้รู้ความเป็นจริงเกี่ยวกับเหตุผลว่าทำไมไม่อยากให้ผมเขาศึกษาต่อในที่ๆผมอยาก พวกเขา ต้องการ "โม้" ครับ
หลายๆคนจะเห็นว่ามันเป็น กิริยาทั้งในหนังสือการ์ตูน หรือสื่อหลายๆประเภทว่าป้าข้างบ้านชอบโม้เรื่องลูกเข้ามหาลัย กับคณะที่เรียนครับ ซึ่งบ้านผมก็เป็นอย่างนั้น คือเพื่อนๆผม อยากเข้าไปเรียนที่นู่นที่นี่ ทางบ้านของพวกเขาก็สนับสนุน และมีการให้ความรู้ความเข้าใจ คือมันก็เป็นคนละยุคคนละสมัยกันแล้วกับเมื่อก่อนที่ว่า มหาลัยประเภทนึงจะเป็นที่นิยมเพราะชื่อเสียงและค่าเล่าเรียน รวมถึงความรับประกันความเก่งกาจครับ
คือสมัยนี้มันไม่ใช่เป็นเครื่องวัดแล้วครับ สิ่งที่วัดความสามารถในการใช้ชีวิตคือความสามารถในการทำงานครับ มันจริงอย่างที่หลายๆคนพูดว่า ที่ทำงานบริษัทเขาดูชื่อมาก่อน แต่คือ "ผมอยากทำงานอิสระอะครับ ใครจะมาวัดชีวิตผมครับ?" คือที่เห็นได้ชัดเลยว่าค่านิยมแบบสมัยก่อนใช้กับสมัยนี้ไม่ได้เพราะว่า คนขายลูกชิ้นหลังโรงเรียนผม เขาจบจากมหาลัยที่ผู้ใหญ่หลายๆคนเรียกว่า มหาลัยอันดับ 1 ของไทยอะครับ แถมจบวิศวะ คือผมไม่ได้ไปดูถูกเขานะครับ ผมนับถือความคิดเขาด้วยซ้ำครับ เขาบอกว่ามันไม่ได้อยู่ที่ชื่อมหาลัยหรอกครับ มันอยู่ที่ตัวคนครับ ว่าจะสามารถ ทำได้ขนาดไหน
เล่าเรื่องความเป็นมาในอดีตแล้วขอเล่าปัจจุบันกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ไม่นานนะครับ
ผมมีความตั้งใจมากในการเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ ซึ่งคนในบ้าน ฝั่งแม่ทั้งหมดมีที่เห็นด้วยกับผมรวมทั้งสิ้นแล้ว 7-8 คนจาก เกือบๆ 30 คน คือที่ยอมรับว่าผมสามารถเข้าศึกษามหาวิทยาลัยนี้ได้จากการศึกษาข้อมูลของพวกเขาครับ (ขออนุญาติใช้พวกเขาเพราะมีคนอายุน้อยกว่าและศักดิ์น้อยกว่าอยู่ด้วย) คือพวกเขายอมรับว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นที่ได้รับการยอมรับ และสนับสนุนครับ คือไม่ใช่เพียงแค่คนในครอบครัวกลุ่มนี้ที่สนับสนุนผมนะครับ รวมที่เหล่าคุณครูของผมก็สนับสนุนผมให้ศึกษามหาลัยแห่งนี้เพราะว่าความเข้ากันจริงๆ
ง่ายๆนะครับ ผมอยู่สายทางด้านสื่อ + มหาวิทยาลัยแห่งนี้ดังด้านคณะวิชานิเทศศาสตร์ และวิชาภาพยนต์ครับ
สิ่งที่น่าเสียดายครับครอบครัวผมกลุ่มนี้ไม่มีอำนาจพอในการต่อรองกับกลุ่มใหญ่ในบ้านครับ รวมถึงคุณครูที่พยายามช่วยเหลือผมด้วย ถูกสยบราบเรียบด้วยฝีปากคนในบ้านกลุ่มมากซึ่งมีสกิวในการ แถ และพูดจา วกวนกลบเกลื่อนเป็นหลักจนคนไม่อยากคุยด้วย เข้าใจเลยครับว่า คนที่อ่านกระทู้ผมแล้วต้องบอกว่าผม
ชีวิตพวกคุณมัน YOLO ปะครับ คือผมคิดว่ามันต้องมีคนที่คิดแน่นอนว่า ก็แค่เข้าไปศึกษาให้ครอบครัวไม่ได้หรือ หรืออะไรโลกสวยเทือกนั้นอะครับ แต่นั่นมันอนาคตคุณปะครับ คือ คุณเป็นคนเข้าไปเล่าเรียน และออกมาทำงาน มารับเงินเดินมาเผชิญปัญหาจากสิ่งที่เลือกเองไม่ใช่คนที่บ้านปะครับ เข้าไปเรียนๆในที่ๆอยาก แล้วรู้สึกแบบ "เอ้ย
ล่าสุดครับ ทั้งคุณครูก็ช่วยเหลือในการเจรจาแต่ก็ไม่สำเร็จ เพื่อนๆผมหลายๆคนก็เป็นแบบผมครับ แต่ก็น้อยกว่าสุดท้ายก็สามารถเข้าไปเรียนได้ครับ รู้ไหมครับ ผมโดนพูดว่าอะไรจาก คนเป็นแม่และน้าสาว ตอนที่อาจารย์ กับญาติผู้ใหญ่ที่เข้าใจมาพูด
"ถ้าเข้าที่นี่ ชีวิตไม่เจริญหรอก" มันสมควรหรือครับ คำที่พูดออกมาจากปากแม่กับน้าสาวอะครับ ทุกคนส่ายหน้าครับ แก้ไขยากเกินเยียวยาและไม่สามารถช่วยเหลือผมได้ พวกท่านทั้งสอง +3ถึง5 ต่างรุมมาที่ผม พูดคำแช่งต่างๆนาๆ ทั้งๆที่ผมขอทุนไปเพื่อให้เขาสบายใจและไม่ต้องจ่าย ยังโดนด่าว่า ขอให้ไม่ติด ผมบอกตรงๆครับ รู้สึกแย่มากๆครับกับการกระทำแบบนี้ของคนในบ้าน ถามว่าคนเป็นพ่อหายไปไหน อ่อ อยู่ฝั่งแม่ครับ ยิ่งคุยยากกว่าเดิมไปอีก
อีกเรื่องคือเรื่องตรรกะครับ มหาลัยแห่งนี้ถ้าหลายๆคนนึกออก คงจะรู้ว่าค่าเทอมมันไม่น้อย (แต่ไม่รู้ทำไมมันถูกกว่าค่าเทอมโรงเรียนผมอีก) มันอยู่ที่ 3 แสนกว่าบาทเมื่อจบครบ 4 ปีรวมค่าศึกษาธรรมเนียม บลาๆ อะไรทุกอย่าง แต่มหาลัยที่ๆบ้านอยากให้เข้าศึกษาเป็นคณะที่ผมเคยฝันเฉยๆ ค่าเทอมรวม 4 ปีรวมค่าทำเนียม = อีก 2 แสนก็ล้านนึง เขาบอกว่า มหาลัยที่ผมอยากเข้าอะ เขาไม่มีเงินส่ง แต่พอพูดถึงมหาลัยนี้อะ พูดว่าจ่ายได้สบายๆ และที่สำคัญเขาพูดว่า "ถูกกว่า"
ปวดตับครับ ปวดทั้งตัว เมื่อได้ยินคำนี้ คือเพื่อนผมที่อยู่สายเดียวกับผมเข้าไปมีชื่อเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้ไปแล้ว 2 เดือนในขณะที่ผม ยังเคว้งคว้างเพราะทางบ้านครับ ผมขอทุนไปแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าติดจะไปเรียนได้อีกไหมเพราะติดปัญหาเรื่องค่านิยม ที่พวกท่านบอกเสมอว่า "ต้องเอาไปโม้กับเพื่อนและคนรู้จัก" เนี่ยครับ คือปัญหานี้มันไม่ได้มีเฉพาะผมนะครับ อย่างที่พูดไปหลายพารากราฟข้างต้น มันเป็นปัญหาระดับชาติครับ ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศที่มีสตรีถือโคม เขาไม่ได้ดูที่ชื่อมหาลัยเลยนะครับ เขาดูที่ความสามารถล้วนๆ แล้วดูนี่สิ
สำคัญสุดๆครับ อยากให้คนที่เจอปัญหาแบบผมได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่เจอ มีคนอีกเยอะที่เจอครับ และอยากให้แก้ปัญหาไปให้ได้ด้วยกันจากความเห็นของผู้ที่สามารถผ่านมาได้ครับ
ถ้าพิมพ์ผิดยังไงขออภัยนะครับ
ไม่เอา #ทีมอวย ครับ