พันตำรวจเอก James William Laire บิดาแห่งรบพิเศษไทย

ตอนแรกพี่เกล้าคิดว่ายังไม่มีใครถ่ายทอดเรื่องราวของ James William Laire บุคคลที่มีความสำคัญมากมาก ทั้งต่อประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเชียงใต้ และประวัติศาสตร์ของ CIA ออกมาเป็นภาษาไทยมาก่อนอ่ะครับ แต่พอไปค้นค้นดูก็พบว่ามีพอสมควร โดยส่วนใหญ่เป็นการเขียนขึ้นของนักเรียนตำรวจพลร่มรุ่นแรกแรกที่ได้รับการฝึกจาก Laire แต่ส่วนที่พี่เกล้าเขียนจะเป็นในส่วนอื่นอื่น

James William Laire เข้ามาสู่ประเทศไทยในปี 1951 หรือ พศ 2494 อันเป็นช่วงเวลาหลังจากสงครามโลกพึ่งผ่านพ้นไปไม่นานนัก การเมืองโลกกำลังเข้าสู่ความขัดแย้งในรูปแบบใหม่ บรรยากาศของสงครามเย็นกำลังคืบคลานเข้ามา Laire เป็นเจ้าหน้าที่จาก CIA ส่งเข้ามาประจำการในประเทศไทยเพื่อเฝ้าระวังและวางแผนต่อต้านภัยคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ปรากฏภาพชัดเจนนัก โดยการเข้ามาของ Laire เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มสานความเป็นมิตรกันระหว่างสองประเทศ หลังจากสหรัฐช่วยให้ไทยไม่ต้องกลายไปเป็นผู้แพ้สงคราม

สถานการณ์ทางการเมืองไทยในขณะนั้น คือ การต่อสู้ทางอำนาจภายใต้ผิวน้ำของขั้วอำนาจสามฝ่าย คือ เผ่า สฤษณ์ และจอมพลปอ โดยมีจอมพลปอเป็นหัวหน้ารัฐบาล แต่ไร้ซึ่งอำนาจที่แท้จริง ในขณะที่เผ่าเองก็มีกองกำลังตำรวจ ซึ่งเผ่านิยมชมชอบให้ตำรวจมีความเป็น paramilitary หรือกึ่งทหาร ดังจะเห็นได้ว่าตำรวจในสมัยนั้นมีรถถังและรถยานเกราะเป็นของตัวเอง ในขณะที่สฤษณ์นั้นก็มีกองทัพบกทั้งหมดหนุนหลัง และจะมีอีกหนึ่งพลังที่ปรากฏในภายหลัง

ในบรรดาสามขั้วอำนาจ เผ่าดูจะมีความกระตือรือร้นที่จะต่อต้านภัยคอมมิวนืสต์มากที่สุด ดังน่าจะได้ขอร้องไปทางสถานฑูตสหรัฐเพื่อขอความช่วยเหลือในการฝึกกองกำลังตำรวจของตนให้มีความสามารถในการรบแบบกองโจร (เหล่าทัพอื่นอื่นจะขอร้องตามมาในภายหลัง) ซึ่งความปราถนาแอบแฝงอาจด้วยต้องการเพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับกองกำลังตำรวจ ซึ่งในขณะนั้นก็มีความแข็งแกร่งและมากบารมีอยู่แล้ว อันเป็นยุคของ "ภายใต้ดวงอาทิตย์ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้"

กองกำลังตำรวจ จึงเป็นเหล่าทัพแรกในประเทศไทยที่ได้รับการฝึกฝนการรบแบบกองโจร และต่อมาจำนวนหนึ่งจะได้รับการฝึกฝนในระดับเดียวกับรบพิเศษของสหรัฐ จากสตาฟของ Green Beret เอง โดยต้องถือว่าคอนเส็ปต์ของการรบนอกแบบนั้นเป็นคอนเส็ปต์ที่ค่อนข้างใหม่มากสำหรับยุคนั้น ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงนักแม้แต่ในอเมริกาเอง ประเทศไทยในแง่มุมนี้จึงถือว่าลำหน้ากว่าประเทศอื่นค่อนข้างมาก จากความพยายามในการสร้างมิตรภาพของสหรัฐ

ตำรวจเหล่านี้ที่ Laire ได้ฝึกฝน ต่อมาจะถูกรับรู้กันในชื่อว่า PARU หรือตำรวจพลร่ม และ Laire ก็ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในการรับราชการในกรมตำรวจไทย ซึ่ง Laire ก็เปรียบเสมือนผู้บังคับหน่วยในทางปฏิบัติ โดยเดิมที PARU นั้นฝึกฝนกันที่ค่ายเอราวัณ พิษณุโลก จากนั้นจึงขยับมาฝึกฝนกันที่ค่ายทหารเก่าของญี่ปุ่นที่หัวหิน อันมีสถานที่ตั้งใกล้เคียงกันกับพระราชวังไกลกังวนมาก และตำรวจพลร่มส่วนหนึ่งก็ได้ทำหน้าที่ Royal Guard ด้วย ( ตรงนี้ไม่รู้ว่าคือมหาดเล็กรักษาพระองค์หรือตำรวจพระราชสำนัก) แม้ต่อมาตำรวจพลร่มจะแยกตัวออกมาจากการทำหน้าที่ Royal Guard แต่ความสัมพันธ์กับราชสำนักก็จะยังคงมีความแน่นแฟ้นเหมือนเดิม และราชสำนักก็ยังคงให้การสนับสนุนตำรวจพลร่มอย่างลับๆเสมอมา (อาจเพราะความละเอียดอ่อนทางการเมืองในสมัยนั้น)

โดย PARU ภายใต้การนำของ Laire นี้จะได้รับคำชมเชยเป็นอย่างสูง จากชุมชนทางความมั่นคงในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเข้าไปเป็นพันธมิตรกับพวกม้งของนายพลวังเปาในลาว ซึ่งเข้าไปจัดตั้งศูนย์ฝึกทหารขึ้นทั่วประเทศลาว และสามารถฝึกฝนกองกำลังกองโจรของพวกม้งขึ้นมาได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างรวดเร็ว รวมถึงการฝึกให้กับทหารพลร่มของกองกำลังราชอาณาจักรลาว ซึ่งแม้แต่พวก Green Beret เข้ามาฝึกเองก็ไม่สามารถทำได้มีประสิทธิภาพเท่า และโมเดลของการเข้าไปจัดตั้งกองกำลังทหารในหมู่พวกชนกลุ่มน้อยเพื่อทำการรบแทนกองทัพอเมริกันนั้น ก็จะได้รับการถอดบทเรียน และกลายเป็นภารกิจหลักของการรบนอกแบบต่อไป หรือก็คือภารกิจ Foreign Internal Defense

ซึ่งที่โดดเด่นมากมากคือ ภารกิจ Air Foreign Internal Defense  ส่วนหนึ่งก็คือการฝึกฝนให้พวกม้งที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ ให้มีความสามารถในการเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ และหนึ่งในนั้นจะกลายเป็นนักบินชั้นยอดในเวลาต่อมา และฝึกฝนให้พวกม้งสามารถทำหน้าที่เป็น combat air controller หรือเรียกการสนับสนุนทางอากาศ จากกองทัพอากาศสหรัฐด้วยตัวเองได้

โดยผลงานของ PARU นั้นอยู่ในระดับ elite มาก จนกลายเป็นมือไม้หลักในการดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ในบริเวณไทยและลาว ทั้งการแทรกซึมหาข่าวบริเวณโฮจิมินิเทรล การทำภารกิจลับและก่อวินาศกรรมเพื่อตัดกำลังเวียดนามเหนือ การช่วยเหลือกองกำลังของธิเบตที่ถูกจีนรุกราน

สิทธิ เศวตศิลา ซึ่งต่อมาจะได้รับราชการในกองทัพอากาศและก้าวไปถึงตำแหน่งองคมนตรี สิทธิเป็นนักเรียนไทยในสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติสงครามโลก โดยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย MIT และสิทธิได้เข้าร่วมกับขบวนการเสรีไทย โดยทำงานลับร่วมกับหน่วยงาน OSS (ซึ่งต่อมาจะกลายเป็น CIA) ในการหาข่าวแทรกซึม สร้างเครือข่าย และทอนกำลังของญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยผู้เข้าร่วมในขบวนการเสรีไทยน่าจะถือว่าเป็นคนไทยกลุ่มแรกแรกที่ได้รับการฝึกฝนการแทรกซึมทางอากาศ หรือการกระโดดร่ม โดยสิทธิเองก็ได้เข้าสู่ประเทศไทยในสภาวะสงครามด้วยการกระโดดร่ม ซึ่งเป็นภารกิจที่ลับมากและเสี่ยงอันตรายมาก

โดยสิทธินั้นถือว่าเป็นบุตรของเครือข่ายทางสังคมและการเมืองชั้นสูงของประเทศไทย และพี่น้องสาวของสิทธิจะได้ทำการแต่งงานกับเจ้าหน้าที่ของ CIA ถึงสองคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Laire อันเกิดขึ้นท่ามกลางการทำงานร่วมกันอย่างแนบแน่นระหว่างรัฐบาลที่วอชิงตันและรัฐบาลที่กรุงเทพในการต่อต้านภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ในทุกระดับ

ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิกับ laire นี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อรัฐบาลของสหรัฐ เมื่อสิทธิเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนไทยที่ได้เข้าร่วมเยี่ยม ผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของโลกในยุคสงครามเย็น ก็คือ เหมา เจ๋อ ตุง ซึ่งขณะนั้นกำลังนอนป่วยและกำลังจะเสียชีวิต ข่าวกรองในเรื่องที่เหมากำลังป่วยหนัก และทิศทางแนวโน้มการสืบทอดอำนาจต่อไปของสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็จะถูกส่งต่อไปยัง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น อย่าง Henry Kissinger และต่อไปยังประธสนาธิบดี Gerald Ford
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่