[ มโนแจ่มรีวิว สปอยล์ ] The Red Turtle : การเผชิญทุกข์และหนทางของการเรียนรู้สัจธรรม

ส่วนตัวมองว่าเป็นหนังเชิงสัญลักษณ์ ที่ต้องการสื่อถึงปรัชญาชีวิต โดยออกแบบตัวละครและเขียนบทให้สอดคล้องกับประเด็นหลัก ดังนี้ .....


มรสุมท่ามกลางท้องทะเลที่บ้าคลั่ง = ทุกข์มหันต์ที่มาเยือนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ในขณะที่ใช้ชีวิตบนความเสี่ยงโดยไม่เคยตระหนักถึงหายนะที่มาเยือนได้ทุกเมื่อ

การติดเกาะช่วงแรกที่ไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น นอกจากทำยังไงก็ได้เพื่อประทังชีวิต และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เจอเพราะเงื่อนไขชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม (ตกหน้าผาและต้องว่ายน้ำมุดออกมา) = การมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้ได้ มองอนาคตเพียงข้างหน้าสั้นๆ

การติดเกาะช่วงถัดมา = ความมั่นใจว่าโอเคก็อยู่ได้ก็ไม่ตายนี่หว่า เริ่มคิดถึงการกลับไปใช้ชีวิตที่สุขสบาย เริ่มตั้งสติ คิดหาวิธีการ

เต่าแดง = ตัวแทนของสัจธรรม สองครั้งแรกที่นางกระแทกแพ คือการเริ่มปรากฏขึ้นของมโนสำนึกที่ฉุดรั้งให้ความตั้งใจกลับไปสู่สภาพเดิมๆ ไปไหนไม่ได้ไกล ครั้งที่สามทีเผชิญหน้ากันจะจะ คือภาพที่เริ่มชัดเจนขึ้นจากการท้าทายของสัจธรรม เริ่มตั้งคำถามและมีคำตอบลางๆ ให้กับความหมายของการมีชีวิตอยู่ ส่วนความโกรธเกรี้ยวที่แสดงออก คือความพยายามที่จะผลักไสการท้าทายของสัจธรรมข้อนี้ ด้วยว่ายังยึดติดกับรูปแบบเดิมๆ ของการใช้ชีวิต ถึงขนาดที่ว่าต้องการทำลายเต่าแดง คือฆ่าจิตสำนึกส่วนนี้ที่รบกวนจิตใจให้สิ้นซาก

เมื่อใจเริ่มสงบลง กลับมามองสัจธรรม พิจารณามันเยี่ยงพี่ดูแลน้อง แทนที่จะผลักไสไล่ส่งเยี่ยงศัตรู ความงดงามของสัจธรรมก็ค่อยๆ เผยออกมา อุปมาเป็นหญิงสาวที่มีคุณค่าน่าทะนุถนอม และเมื่อใส่ใจดูแลนางด้วยจิตที่มีเมตตา นางก็กลับมีชีวิตและในที่สุดก็อยู่ร่วมกัน เปรียบได้กับการที่ชีวิตได้ค้นพบสัจธรรมอย่างชัดแจ้ง ยอมรับและน้อมนำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตลอดไปนั่นเอง (การผลักกระดองตามมาด้วยการผลักแพออกทะเล แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าถึงการเข้าถึงสัจธรรมและยอมรับโดยดุษฎี)

ความสุขและการสร้างครอบครัว คือการสื่อว่าเมื่อคุณค้นพบสัจธรรมที่เปลี่ยนชีวิตคุณ มันย่อมจะนำพาสิ่งดีๆ เข้ามา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามรสุมชีวิตจะไม่เกิดขึ้นอีก

ความบ้าคลั่งของธรรมชาติหนที่สอง คือการสอนให้รู้ว่าทุกข์ใดๆ ในชีวิตคน ไม่ได้มาแล้วจากไปอย่างถาวร แต่ถึงอย่างนั้น การตอบสนองต่อทุกข์ครั้งนี้ กลับแตกต่างจากหนแรก ด้วยว่ามีสัจธรรมที่อยู่ใกล้ๆ คอยช่วยประคองใจ และย้ำเตือนว่าต้องอยู่กับทุกข์โดยไม่ผลักไสนั่นแหละ คือหนทางรับมือกับทุกข์ที่ดีที่สุด การที่ลูกชายมาช่วยพ่อกลางทะเล ผมตีความว่า เป็นความรู้สึกอีกส่วนหนึ่งที่ตัวพระเอกค่อยๆ ฟูมฟักผ่านกาลเวลา และเมื่อถึงเวลาอันควร คือการรับมือกับมรสุมชีวิตอีกครั้ง ความรู้สึกนี้ก็เติบโตถึงจุดที่ต้องออกไปค้นหาสัจธรรมในแง่มุมอื่นๆ (ชีวิตคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต) หนังสื่อออกมาด้วยการที่พ่อแม่ปล่อยให้ลูกจากไปและมีเต่าสามตัวที่มารอรับเป็นสัจธรรมต่างๆ ที่ต้องเรียนรู้นั่นเอง

ขณะเดียวกัน เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง การลุกขึ้นมองท้องทะเลและหลับตาตายอย่างสงบ ก็คือภาวะแห่งการปล่อยวางตัวตนนี้ ส่วนเต่าแดงที่คืนร่าง ก็ไม่อาจแปลความเป็นอื่นไปได้ นอกจากการที่สัจธรรมนั้นจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปไม่ขึ้นกับเงื่อนไขแห่งเวลา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่