งานศพของผมเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวของ
วีระ สุดสังข์ เพียงแค่ดิฉันพลิกหนังสือกลับไปดูคำโปรยบนปกหลัง ใจก็ร่ำๆ จะสอดหนังสือคืนชั้นวาง ยิ่งพิจารณาจากชื่อหนังสือแล้วยิ่งรู้สึกหดหู่ ได้แต่ถามตัวเองในใจว่าทำไมจะต้องมาเสียเวลาอ่านหนังสือแนวนี้ ซึ่งดูๆ แล้วมันน่าเหมาะสำหรับคนวัยเกษียณไม่ใช่หรือยังไง? ทว่าด้วยความที่อยู่ในโหมดอารมณ์สีเทา ประกอบกับขนาดของหนังสือเล็กกะทัดรัดดี จึงคิดว่าน่าจะลองดูสักหน่อยคงไม่เสียหายอะไร ถ้าอ่านไปแล้วไม่ถูกใจก็ลืมๆ มันไป ถึงเวลาก็แค่เอาไปหย่อนคืนตู้ ดังนั้นวันนี้ดิฉันจึงมีโอกาสได้อ่านผลงานเรื่องสั้นเล่มนี้
งานศพของผมเล่าเรื่องราวของ
ผม ซึ่งดิฉันไม่รู้ว่าผมที่กล่าวถึงนี้คือใคร เพราะตลอดจนจบเรื่องไม่เคยปรากฏชื่อเสียงเรียงนาม คงรู้แต่เพียงผมนี้เป็นชายที่อยู่ในวัยเจ็ดสิบเจ็ดปี เป็นอดีตข้าราชการครูและมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากชื่อ
เหรียญ ซึ่งในอดีตก็ประกอบอาชีพเดียวกัน ทั้งคู่มีลูกด้วยกันทั้งหมดห้าคน แต่กลับต้องอยู่ตามลำพังสองตายาย(หรือสองปู่ย่าก็ว่า) โดยที่บ้านจะเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อน ดิฉันแอบสะท้อนใจลึกๆ ตอนผมบอกว่านี่คงเป็นสาเหตุที่คนสมัยนี้แต่งงานโดยที่ไม่คิดจะมีลูก
ในวันที่ผมนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลโดยมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคอยดูแลเฝ้าพยาบาล เขาเอาแต่นึกถึงบาปกรรมที่เคยทำมาเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม ทั้งเรื่องโกรธแค้น
ครูใหญ่ที่ไม่ให้ขั้นแก่เขา ทั้งๆ ที่เขากรำงานหนักมาตลอดปีแต่กลับให้สองขั้นกับ
ครูแต๋ว ประกอบกับผมรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมแอบเล่นชู้ของคนทั้งคู่จึงวางแผนกับเพื่อนคาบข่าวไปบอกภรรยาครูใหญ่ เรื่องราวบานปลายจนครูใหญ่และครูแต๋วต้องถูกลงโทษเพราะผิดวินัยร้ายแรง ทว่าน่าขันนัก....ในตอนครูเหรียญตั้งครรภ์ลูกคนที่สี่ ผมกลับแอบนอกใจไปมีสัมพันธ์กับหญิงม่ายเจ้าของร้านเสริมสวยอยู่นานนับปี! น่าสงสารครูเหรียญที่คิดโทษว่าเป็นเวรกรรมมากกว่าจะโทษสามีของตน สุดท้ายก็ต้องก้มหน้ายอมรับ ด้วยความเชื่อและค่านิยมสมัยก่อนที่ผู้หญิงถือเป็นช้างเท้าหลัง ครูเหรียญจึงให้อภัยสามีอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็ร่วมใช้ชีวิตคู่ ประคับประคองกันมาจนถึงวันสุดท้ายของผม
ยายเหรียญ ภรรยาผมนั้น เธอเป็นคนวิเศษสำหรับผมอยู่แล้ว ผมเคยบอกเธอเสมอว่า ชีวิตนี้ ผมขอตายก่อนเธอ ผมจะได้จับมือเธอไว้ในขณะที่ลมหายใจกำลังจะหายไปทีละน้อย และผมก็ได้ในสิ่งที่ขอ นี่ไงล่ะ ที่บอกความหมายว่า ผมรักเธอจนสิ้นลมหายใจ (อ้างอิงจากหน้า๒๒)
ณ วินาทีนั้น... ในโรงพยาบาลมีเพียงหญิงชรากระซิบถ้อยคำฝากไว้กับวาระสุดท้ายของผม ทำ...ในสิ่งที่เรียกว่า การตัดเวรตัดกรรม ทำ...สิ่งที่ผมปรารถนาให้ลูกทั้งห้าปฏิบัติเช่นนี้กับพ่อบ้าง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาได้มาเยี่ยมผมเมื่อก่อนหน้านั้นไม่เท่าไหร่ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามภาระหน้าที่ ฝากไว้เพียงคำสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมพ่ออีกครั้ง จนกระทั่งพ่อตายจากก็ไม่ได้มาทันดูใจ
ในขณะที่ยายเหรียญโทรแจ้งข่าวแก่บรรดาลูกๆ ผมล่องลอยไปหาลูก
จังหวัดนครราชสีมา ที่บ้านของ
รองรัตน์ลูกชายคนโตซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงกำลังมีงานเลี้ยงฉลอง พอรองรัตน์ทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อก็เตรียมตัวกลับบ้าน ทว่า
สุนีย์ผู้เป็นภรรยากลับไม่รู้สึกยินดียินร้าย หนำซ้ำในตอนที่สามีมาถามเรื่องเงินกลับตอบกลับว่า
“ใครมีสิทธิ์รับมรดกก็คนนั้นแหละควรจะรับผิดชอบทำบุญศพปู่” (อ้างอิงจากหน้า๖๖)
จังหวัดอุดรธานี
แววหวานลูกสาวคนรองที่เป็นนางพยาบาล(แต่ไม่มีเวลาพยาบาลพ่อของตัวเอง?) กำลังทะเลาะกับสามีทหารที่วันๆ เอาแต่ออกค่ายหรือไม่ก็ออกลาดตระเวนปราบยาบ้า เรื่องลูกชายที่กำลังจะติดยา(?)
กรุงเทพมหานคร
เกษมนั่งเป็นประธานในที่ประชุม เนื่องจากได้รับเลื่อนตำแหน่ง ในขณะภรรยาของเกษมกำลังเตรียมงานฉลองเล็กๆ ไว้คอยท่าที่บ้าน ข่าวร้ายที่ได้รับทำให้เกษม ภรรยาและลูกต้องรีบตีตั๋วรถไฟไปงานศพของพ่อ จากตอนแรก...ผมไม่เรื่องมากเรื่องสถานที่ตายว่าจะตายที่บ้านหรือที่โรงพยาบาลก็ตายได้เหมือนกัน กลับรู้สึกผิดกับวันดีๆ ของลูกจนคิดอยากตายในวันถัดไปแทน
จังหวัดอุบลราชธานี
สุมาลีที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในกรมสรรพากรตัดสินใจลางานให้สามีพาตนและลูกชายลูกสาวกลับไปเยี่ยมพ่อ อนิจจา...สุมาลีไปไม่ทัน
จังหวัดมุกดาหาร บ้านเช่าของ
นที... ลูกชายคนสุดท้อง เกเร ไม่เป็นโล้เป็นพายกว่าใครเพื่อนและเป็นผู้ที่จะได้บ้านซึ่งเป็นสมบัติของผมกับยายเหรียญ ผมเห็นภรรยาที่กำลังท้องแก่ของลูกชายกับหลานชายวัยสามสี่ขวบนอนอยู่กันตามลำพังสองแม่ลูก ส่วนนทีหนีไปเที่ยวร้านคาราโอเกะ แต่พอทราบข่าวก็ทิ้งสาวตรงดิ่งไปงานศพที่จังหวัดศรีษะเกษทันที
เมื่อมาถึงครบองค์ประชุมลูกทุกคนก็ปรึกษาหารือกัน ตกลงวันสวดอภิธรรมวันเผา ไล่มาจนเรื่องเงิน
“ฉันว่า ออกกันตามฐานะตามลำดับดีกว่า พวกพี่มีการงานมั่นคง แล้วก็เป็นพี่ด้วยควรจะออกมากกว่าน้อง ๆ” สุนีย์ฟังนทีพูดแล้วรู้สึกไม่พอใจตงิด ๆ หล่อนช่างเป็นคนที่เอาแต่ใจและขี้หงุดหงิดดีแท้ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาใครเลย
“เราเป็นลูกพ่อกันทุกคนไม่ใช่หรือ” เกษมพูดให้คิด
“ก็ใช่ แต่ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยพี่” นทีขัด ผมนึกแล้วว่าเขาจะเป็นตัวปัญหาของพี่ ๆ เขาไม่มีจริง ๆ นั่นแหละ ผมรู้ดี
“แกก็รู้ว่าพ่อป่วยตั้งนานแล้วนี่ น่าจะเตรียมตัวไว้บ้าง” สุมาลีหันไปทางนทีแล้วต่อว่าเหมือนไม่ให้เกียรติ
“ก็มันไม่มีจะให้ทำไงว่ะ” นาทีทำตาขวางใส่สุมาลี เขารู้สึกไม่พอใจที่พี่สาวพูดออกมาอย่างนี้ วิญญาณของผมไม่มีความสุขเอาเสียเลย ความตายของผมและประเพณีทำบุญงานศพนี่เองที่ทำให้ลูก ๆ ลำบากและเริ่มทะเลาะกัน (อ้างอิงจากหน้า๙๒)
ผมเสียใจจนร้องไห้ออกมา ถ้าศพมีน้ำตา ป่านนี้น้ำตาคงไหลท่วมโลงไปแล้ว ศพพ่อยังไม่ทันได้เผาด้วยซ้ำไป ลูก ๆ ก็มาทะเลาะกันกลางงาน น่าอับอายขายหน้าคนที่พบเห็น (อ้างอิงจากหน้า๙๗)
ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ จะสะท้อนเรื่องราวออกมาได้หลากหลายแง่มุม จะออกแนวเสียดสีอยู่บ้าง แต่ก็ให้แง่คิดสอนใจดี ทั้งเรื่องราวของพ่อแม่ที่มัวแต่ทำงานเพื่อสังคมจนไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูกของตน เรื่องราวการท้องก่อนแต่งของเด็กสาวสมัยใหม่ ซึ่งพอผิดพลาดก็ต้องได้มาตกล่องปล่องชิ้นกับคนๆ นั้น ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าเขาจะดูแลผู้หญิงคนนั้นกับลูกได้ เรื่องความผูกพันของสังคมที่พี่น้องต้องแยกไปอยู่คนละทิศคนละทางจนความห่างไกลทำให้ไม่สนิทสนมกลมเกลียวกัน เรื่องพวงหรีดมากมายที่แม้แต่คนตายเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครที่ให้มา เพราะไม่เคยได้ทำความรู้จักกัน ประกอบกับตอนที่ผมป่วย คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนแต่อย่างใด ในขณะที่แขกเหรื่อก็คงได้เห็นคนตายจากรูปถ่ายที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพเท่านั้น
พวกเขามาจุดธูปกราบผม และกล่าวคำพึมพำบนริมฝีปาก ขอให้ผมไปสู่สุคติ...อีกแล้ว
พวกเขาก็คงปฏิบัติกันอย่างนั้น มันเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน จนบางครั้งผู้ที่ปฏิบัติก็ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นหมายความว่าอย่างไร สุคติอยู่ที่ไหน ผมรู้สึกขันเต็มที (อ้างอิงจากหน้า๑๐๕)
และเรื่องที่น่าสะเทือนใจที่สุดก็คือเรื่องราวของยายเหรียญผู้เสียสละ หลังจากอ่านจบมันทำให้ฉันรู้สึกหน้าชาเพราะนึกย้อนกลับไปว่าตนเองก็มีความผิดเช่นกัน ความผิดพลาดจากการละเลย...คนที่รัก
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของผม พวกเขาก็จะแยกย้ายกันไปตามหน้าที่และความจำเป็นของวิถีสมัยใหม่ ไม่มีใครสักคนออกปากว่า จะมาอยู่ดูแลแม่และยายเหรียญก็ไม่ปริปากร้องขอลูกสักคำ
ระหว่างที่เคลื่อนย้ายโลงศพผมจากศาลาไปตั้งบนเมรุนั้น ผมนึกถึงเหตุการณ์ของอนาคตแล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด ผมกลัวเหลือเกินว่า งานศพของเมียผมนั้น เธอจะไม่เห็นใบหน้าคนรู้จักแม้แต่คนเดียว... (อ้างอิงจากหน้า ๑๐๘)
ตลอดระยะเวลาที่อ่านเรื่องสั้นนี้ ดิฉันรู้สึกขอบคุณตนเองที่ตัดสินใจหยิบผลงานเล่มนี้ติดมือมาด้วย อีกทั้งต้องขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งกับคุณโกสุม กระจ่างรัตน์ ผู้ทำหน้าที่พิสูจน์อักษร เพราะตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีคำผิดเล็ดรอดมาแม้แต่คำเดียวให้ต้องรู้สึกขัดเคืองใจ อันนำไปสู่การเสียอรรถรสในการอ่าน แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่างานศพของผม เป็นผลงานเรื่องสั้นที่สร้างความหฤหรรษ์บันเทิงให้แก่ผู้อ่าน แต่ดิฉันขอรับรองว่าใครที่ได้อ่านงานศพของผมจะได้รับข้อคิดเตือนใจอย่างแน่นอน เพราะบางครั้ง...คุณค่าของหนังสือก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าหนังสือเล่มนั้นสร้างรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะให้ผู้อ่านได้มากน้อยเพียงใด ทว่าสิ่งที่สลักสำคัญไม่แพ้กันก็คือคุณค่าจากหนังสือ ที่เมื่อเราอ่านเรื่องราวนั้นๆ จบลงแล้วจะได้แง่คิดใดนำกลับไปพิจารณาตนเองบ้าง
ด้วยรัก...
และอยากให้คนที่เป็นสุดที่รักของพ่อแม่ได้อ่าน
งานศพของผม...อ่านไว้เผื่องานศพของเราในวันหน้า
งานศพของผมเล่าเรื่องราวของผม ซึ่งดิฉันไม่รู้ว่าผมที่กล่าวถึงนี้คือใคร เพราะตลอดจนจบเรื่องไม่เคยปรากฏชื่อเสียงเรียงนาม คงรู้แต่เพียงผมนี้เป็นชายที่อยู่ในวัยเจ็ดสิบเจ็ดปี เป็นอดีตข้าราชการครูและมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากชื่อเหรียญ ซึ่งในอดีตก็ประกอบอาชีพเดียวกัน ทั้งคู่มีลูกด้วยกันทั้งหมดห้าคน แต่กลับต้องอยู่ตามลำพังสองตายาย(หรือสองปู่ย่าก็ว่า) โดยที่บ้านจะเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อน ดิฉันแอบสะท้อนใจลึกๆ ตอนผมบอกว่านี่คงเป็นสาเหตุที่คนสมัยนี้แต่งงานโดยที่ไม่คิดจะมีลูก
ในวันที่ผมนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลโดยมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคอยดูแลเฝ้าพยาบาล เขาเอาแต่นึกถึงบาปกรรมที่เคยทำมาเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม ทั้งเรื่องโกรธแค้นครูใหญ่ที่ไม่ให้ขั้นแก่เขา ทั้งๆ ที่เขากรำงานหนักมาตลอดปีแต่กลับให้สองขั้นกับครูแต๋ว ประกอบกับผมรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมแอบเล่นชู้ของคนทั้งคู่จึงวางแผนกับเพื่อนคาบข่าวไปบอกภรรยาครูใหญ่ เรื่องราวบานปลายจนครูใหญ่และครูแต๋วต้องถูกลงโทษเพราะผิดวินัยร้ายแรง ทว่าน่าขันนัก....ในตอนครูเหรียญตั้งครรภ์ลูกคนที่สี่ ผมกลับแอบนอกใจไปมีสัมพันธ์กับหญิงม่ายเจ้าของร้านเสริมสวยอยู่นานนับปี! น่าสงสารครูเหรียญที่คิดโทษว่าเป็นเวรกรรมมากกว่าจะโทษสามีของตน สุดท้ายก็ต้องก้มหน้ายอมรับ ด้วยความเชื่อและค่านิยมสมัยก่อนที่ผู้หญิงถือเป็นช้างเท้าหลัง ครูเหรียญจึงให้อภัยสามีอย่างง่ายดาย หลังจากนั้นก็ร่วมใช้ชีวิตคู่ ประคับประคองกันมาจนถึงวันสุดท้ายของผม
ยายเหรียญ ภรรยาผมนั้น เธอเป็นคนวิเศษสำหรับผมอยู่แล้ว ผมเคยบอกเธอเสมอว่า ชีวิตนี้ ผมขอตายก่อนเธอ ผมจะได้จับมือเธอไว้ในขณะที่ลมหายใจกำลังจะหายไปทีละน้อย และผมก็ได้ในสิ่งที่ขอ นี่ไงล่ะ ที่บอกความหมายว่า ผมรักเธอจนสิ้นลมหายใจ (อ้างอิงจากหน้า๒๒)
ณ วินาทีนั้น... ในโรงพยาบาลมีเพียงหญิงชรากระซิบถ้อยคำฝากไว้กับวาระสุดท้ายของผม ทำ...ในสิ่งที่เรียกว่า การตัดเวรตัดกรรม ทำ...สิ่งที่ผมปรารถนาให้ลูกทั้งห้าปฏิบัติเช่นนี้กับพ่อบ้าง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาได้มาเยี่ยมผมเมื่อก่อนหน้านั้นไม่เท่าไหร่ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามภาระหน้าที่ ฝากไว้เพียงคำสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยมพ่ออีกครั้ง จนกระทั่งพ่อตายจากก็ไม่ได้มาทันดูใจ
ในขณะที่ยายเหรียญโทรแจ้งข่าวแก่บรรดาลูกๆ ผมล่องลอยไปหาลูก
จังหวัดนครราชสีมา ที่บ้านของรองรัตน์ลูกชายคนโตซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงกำลังมีงานเลี้ยงฉลอง พอรองรัตน์ทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อก็เตรียมตัวกลับบ้าน ทว่าสุนีย์ผู้เป็นภรรยากลับไม่รู้สึกยินดียินร้าย หนำซ้ำในตอนที่สามีมาถามเรื่องเงินกลับตอบกลับว่า “ใครมีสิทธิ์รับมรดกก็คนนั้นแหละควรจะรับผิดชอบทำบุญศพปู่” (อ้างอิงจากหน้า๖๖)
จังหวัดอุดรธานี แววหวานลูกสาวคนรองที่เป็นนางพยาบาล(แต่ไม่มีเวลาพยาบาลพ่อของตัวเอง?) กำลังทะเลาะกับสามีทหารที่วันๆ เอาแต่ออกค่ายหรือไม่ก็ออกลาดตระเวนปราบยาบ้า เรื่องลูกชายที่กำลังจะติดยา(?)
กรุงเทพมหานคร เกษมนั่งเป็นประธานในที่ประชุม เนื่องจากได้รับเลื่อนตำแหน่ง ในขณะภรรยาของเกษมกำลังเตรียมงานฉลองเล็กๆ ไว้คอยท่าที่บ้าน ข่าวร้ายที่ได้รับทำให้เกษม ภรรยาและลูกต้องรีบตีตั๋วรถไฟไปงานศพของพ่อ จากตอนแรก...ผมไม่เรื่องมากเรื่องสถานที่ตายว่าจะตายที่บ้านหรือที่โรงพยาบาลก็ตายได้เหมือนกัน กลับรู้สึกผิดกับวันดีๆ ของลูกจนคิดอยากตายในวันถัดไปแทน
จังหวัดอุบลราชธานี สุมาลีที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในกรมสรรพากรตัดสินใจลางานให้สามีพาตนและลูกชายลูกสาวกลับไปเยี่ยมพ่อ อนิจจา...สุมาลีไปไม่ทัน
จังหวัดมุกดาหาร บ้านเช่าของนที... ลูกชายคนสุดท้อง เกเร ไม่เป็นโล้เป็นพายกว่าใครเพื่อนและเป็นผู้ที่จะได้บ้านซึ่งเป็นสมบัติของผมกับยายเหรียญ ผมเห็นภรรยาที่กำลังท้องแก่ของลูกชายกับหลานชายวัยสามสี่ขวบนอนอยู่กันตามลำพังสองแม่ลูก ส่วนนทีหนีไปเที่ยวร้านคาราโอเกะ แต่พอทราบข่าวก็ทิ้งสาวตรงดิ่งไปงานศพที่จังหวัดศรีษะเกษทันที
เมื่อมาถึงครบองค์ประชุมลูกทุกคนก็ปรึกษาหารือกัน ตกลงวันสวดอภิธรรมวันเผา ไล่มาจนเรื่องเงิน
“ฉันว่า ออกกันตามฐานะตามลำดับดีกว่า พวกพี่มีการงานมั่นคง แล้วก็เป็นพี่ด้วยควรจะออกมากกว่าน้อง ๆ” สุนีย์ฟังนทีพูดแล้วรู้สึกไม่พอใจตงิด ๆ หล่อนช่างเป็นคนที่เอาแต่ใจและขี้หงุดหงิดดีแท้ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาใครเลย
“เราเป็นลูกพ่อกันทุกคนไม่ใช่หรือ” เกษมพูดให้คิด
“ก็ใช่ แต่ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยพี่” นทีขัด ผมนึกแล้วว่าเขาจะเป็นตัวปัญหาของพี่ ๆ เขาไม่มีจริง ๆ นั่นแหละ ผมรู้ดี
“แกก็รู้ว่าพ่อป่วยตั้งนานแล้วนี่ น่าจะเตรียมตัวไว้บ้าง” สุมาลีหันไปทางนทีแล้วต่อว่าเหมือนไม่ให้เกียรติ
“ก็มันไม่มีจะให้ทำไงว่ะ” นาทีทำตาขวางใส่สุมาลี เขารู้สึกไม่พอใจที่พี่สาวพูดออกมาอย่างนี้ วิญญาณของผมไม่มีความสุขเอาเสียเลย ความตายของผมและประเพณีทำบุญงานศพนี่เองที่ทำให้ลูก ๆ ลำบากและเริ่มทะเลาะกัน (อ้างอิงจากหน้า๙๒)
ผมเสียใจจนร้องไห้ออกมา ถ้าศพมีน้ำตา ป่านนี้น้ำตาคงไหลท่วมโลงไปแล้ว ศพพ่อยังไม่ทันได้เผาด้วยซ้ำไป ลูก ๆ ก็มาทะเลาะกันกลางงาน น่าอับอายขายหน้าคนที่พบเห็น (อ้างอิงจากหน้า๙๗)
ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือเล่มเล็กๆ บางๆ จะสะท้อนเรื่องราวออกมาได้หลากหลายแง่มุม จะออกแนวเสียดสีอยู่บ้าง แต่ก็ให้แง่คิดสอนใจดี ทั้งเรื่องราวของพ่อแม่ที่มัวแต่ทำงานเพื่อสังคมจนไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูกของตน เรื่องราวการท้องก่อนแต่งของเด็กสาวสมัยใหม่ ซึ่งพอผิดพลาดก็ต้องได้มาตกล่องปล่องชิ้นกับคนๆ นั้น ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่าเขาจะดูแลผู้หญิงคนนั้นกับลูกได้ เรื่องความผูกพันของสังคมที่พี่น้องต้องแยกไปอยู่คนละทิศคนละทางจนความห่างไกลทำให้ไม่สนิทสนมกลมเกลียวกัน เรื่องพวงหรีดมากมายที่แม้แต่คนตายเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครที่ให้มา เพราะไม่เคยได้ทำความรู้จักกัน ประกอบกับตอนที่ผมป่วย คนเหล่านั้นก็ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนแต่อย่างใด ในขณะที่แขกเหรื่อก็คงได้เห็นคนตายจากรูปถ่ายที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพเท่านั้น
พวกเขามาจุดธูปกราบผม และกล่าวคำพึมพำบนริมฝีปาก ขอให้ผมไปสู่สุคติ...อีกแล้ว
พวกเขาก็คงปฏิบัติกันอย่างนั้น มันเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน จนบางครั้งผู้ที่ปฏิบัติก็ไม่รู้ว่า สิ่งนั้นหมายความว่าอย่างไร สุคติอยู่ที่ไหน ผมรู้สึกขันเต็มที (อ้างอิงจากหน้า๑๐๕)
และเรื่องที่น่าสะเทือนใจที่สุดก็คือเรื่องราวของยายเหรียญผู้เสียสละ หลังจากอ่านจบมันทำให้ฉันรู้สึกหน้าชาเพราะนึกย้อนกลับไปว่าตนเองก็มีความผิดเช่นกัน ความผิดพลาดจากการละเลย...คนที่รัก
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของผม พวกเขาก็จะแยกย้ายกันไปตามหน้าที่และความจำเป็นของวิถีสมัยใหม่ ไม่มีใครสักคนออกปากว่า จะมาอยู่ดูแลแม่และยายเหรียญก็ไม่ปริปากร้องขอลูกสักคำ
ระหว่างที่เคลื่อนย้ายโลงศพผมจากศาลาไปตั้งบนเมรุนั้น ผมนึกถึงเหตุการณ์ของอนาคตแล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด ผมกลัวเหลือเกินว่า งานศพของเมียผมนั้น เธอจะไม่เห็นใบหน้าคนรู้จักแม้แต่คนเดียว... (อ้างอิงจากหน้า ๑๐๘)
ตลอดระยะเวลาที่อ่านเรื่องสั้นนี้ ดิฉันรู้สึกขอบคุณตนเองที่ตัดสินใจหยิบผลงานเล่มนี้ติดมือมาด้วย อีกทั้งต้องขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งกับคุณโกสุม กระจ่างรัตน์ ผู้ทำหน้าที่พิสูจน์อักษร เพราะตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีคำผิดเล็ดรอดมาแม้แต่คำเดียวให้ต้องรู้สึกขัดเคืองใจ อันนำไปสู่การเสียอรรถรสในการอ่าน แม้ไม่อาจกล่าวได้ว่างานศพของผม เป็นผลงานเรื่องสั้นที่สร้างความหฤหรรษ์บันเทิงให้แก่ผู้อ่าน แต่ดิฉันขอรับรองว่าใครที่ได้อ่านงานศพของผมจะได้รับข้อคิดเตือนใจอย่างแน่นอน เพราะบางครั้ง...คุณค่าของหนังสือก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าหนังสือเล่มนั้นสร้างรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะให้ผู้อ่านได้มากน้อยเพียงใด ทว่าสิ่งที่สลักสำคัญไม่แพ้กันก็คือคุณค่าจากหนังสือ ที่เมื่อเราอ่านเรื่องราวนั้นๆ จบลงแล้วจะได้แง่คิดใดนำกลับไปพิจารณาตนเองบ้าง
และอยากให้คนที่เป็นสุดที่รักของพ่อแม่ได้อ่าน