คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า หรือไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เค้าคิดอะไรของเค้า!!!

กระทู้คำถาม
คือข้อมูลทุกศาสนามีครบ มีทุกแง่มุม ตื้นลึกหนาบาง เปรียบเทียบได้ เลือกได้ ประเมินวิเคราะห์ได้ว่า อะไรคือแก่นแท้ของชีวิต
ในเมื่อสิ่งอื่นๆนวัตกรรมเทคโนโลยีไฮเทคในยุคดิจิตอลที่ดูยากๆ แต่มนุษย์ยังสามารถวิจัยวิเคราะห์ทำให้สำเร็จจงได้ แต่ทำไม
คนบางคนนักวิทย์วิศวกรนักคิดที่รู้เก่งในตรรกศาสตร์บางคน ไม่เชื่อในศาสนา ไม่เชื่อการมีอยู่ของพระเจ้า เคยเจอในแบบกรอกใบสมัครงาน บางคนทิคในช่อง non-religion หรือ พวก atheist ทั้งหลาย  ท่านทำงานอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร โดยไม่มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เวลามีมรสุมชีวิตเข้ามา ท่านนึกอะไรเป็นสิ่งแรก และมันคือคำตอบที่แท้จริงรึยัง??
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
ด้วยความเคารพ
ผมเป็นคนนึงที่ไม่มีศาสนา
ผมขอบอกก่อนเลยว่า ผมนั้นไม่เชื่อในศาสนาใดๆครับ แต่ผมก็ไม่ได้ดูถูกหรือตราหน้าคนอื่นว่า พระเจ้าไม่มีจริง พวกคุณเข้าใจผิดหรืออะไร
ความเชื่อมันเป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ คุณเชื่อได้ คุณเคารพ คุณศรัทธราได้ แต่คุณไม่มีสิทธิ์เอาความเชื่อของคุณไปครอบคนอื่นหรือตัดสินคนอื่น

เช่นกัน ผมเองก็เชื่อว่า ศาสนานั้นเป็นแค่เครื่องมือในการปกครองคนหมู่มาก ผมเชื่อว่ามนุษย์และสังคมเรานั้นเกิดมาก่อนจะมีศาสนาครับ สมัยก่อนที่ยังไม่มีศาสนา สังคมมนุษย์เองก็อยู่ด้วยกันได้ ผมเชื่อส่วนตัวว่า ความเชื่อและศาสนานั้นถูกสร้างขึ้นมาภายหลังเพื่อให้คำตอบกับสิ่งที่ไม่รู้ เพื่อเป็นที่ยึดเหนื่ยวให้คนไม่หวาดกลัว เพื่อให้สังคมดำเนินไปอย่างสงบสุข และให้การปกครองคนหมู่มากมันดำเนินไปในทางเดียวกัน

มาถึงตรงนี้จากความเชื่อของผม ผมไม่ได้มีความคิดแง่ลบกับศาสนาครับ ผมชอบ ผมชื่นชมว่ามันเป็นเครื่องมือที่แยบคาย ใช้งานง่าย และทรงพลัง
ผมคิดว่าคนหมู่มากอยู่ร่วมกัน ระดับปัญหา ความรับผิดชอบ ความเห็นแก่ตัวและความเกรงใจต่อสังคมนั้นไม่เท่ากัน
สังคมถูกปกครองให้สงบด้วยกฏหมาย แต่กฏหมายนั้นมันไม่สามารถควบคุมสังคมได้ 100% มันยังมีช่องโหว่ มีคนที่ไม่เชื่อหรือชอบฝ่าฝืน
การใส่ศาสนาลงไปในสังคมทำให้คนกลัวการทำผิด ทำให้คนมีแรงจูงใจในการทำความดีกับสังคมนั้นๆ มันเหมือนกับเป็นกรอบครอบลงไปอีกทีเพื่ออุดรูรั่วของสังคมนั้นๆ ผมจึงคิดว่า ศาสนาเป็นเครื่องมือที่เจ๋งจริงๆและจำเป็นต้องมีอยู่ครับ เพื่อความสงบสุขในการปกครองคนหมู่มาก

ทีนี้สาเหตุที่ผมไม่เชื่อในศาสนาใดๆ เพราะผมมองว่ามันเป็นเครื่องมือ มันถูกบิดเบือนได้ อยู่ที่ว่าผู้ที่มีอำนาจของศาสนานั้นๆบิดเบือนไปเพื่ออะไร
บางพื้นที่มีสงคราม ศาสนาถูกบิดเบือนเพื่อเกณไพร่พลมาเป็นกองกำลังกำจัดศัตรู บางที่มีเรื่องการเมือง ศาสนาถูกบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์และอำนาจทางการเมือง บางที่ก็ใช้ศาสนาเป็นอุปกรณ์หาเงิน

ผมศึกษาศาสนานะครับ เพราะก่อนที่จะปฏิเศธมันผมก็อยากที่จะรู้จักมันก่อน แม้ผมจะไม่ได้ศึกษาถึงแก่นแท้อะไร แต่ผมพอจะได้ความว่า แกนของศาสนานั้นดีมากๆ แต่ปัจจุบันเราห่างจากแกนของมันไปมากแล้ว ผมชอบแกนของพุทธนะครับ มันสอนให้เราปล่อยวาง ลดอัตตา ถอยออกมามองโลกในมุมมองที่เราไม่ใช่ศูนย์กลางของทุกสิ่ง แต่พุทธในปัจจุบันนั้นห่างไกลจากแกนมากครับ ทั้งมีการใส่ปาฏิหารย์ ใส่การบูชาวัตถุ ฯลฯ

ตอบคำถามเจ้าของกระทู้
1. ท่านทำงานอย่างไร
  ทำงานโคตรปกติครับ ผมมองที่เหตุและผล การไม่เบียดเบียนผู้อื่น ผมยึดหลักพวกนี้ตามมารยาทสังคม ไม่เกี่ยวกับศาสนาครับ
  แต่ผมไม่ปฏิเศธ พิธีกรรมทางศาสนา ผมมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นวัฒนธรรมที่สวยงาม ผมตักบาตรได้ ผมไหว้พระได้ ไม่ขวางโลก ผมทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้คนรอบข้างสบายใจและผมไม่เดือดร้อนครับ
2. ใช้ชีวิตอย่างไร โดยไม่มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ
  ก็ใช้ชีวิตตามที่ผมมีความสุข อยากกินก็กิน อยากเที่ยวก็เที่ยว ดูแลลูกเมีย มีความสุขกับสิ่งเล็กๆรอบตัว วันนึงๆแค่ได้กลับบ้านไปกอดลูกเมียผมก็มีควมสุขละ ผมรับได้กับการแก่ รับได้กับร่างกายที่ค่อยๆเสื่อมลง ผมไม่ฝืนกับความเป็นจริงพวกนี้ ผมวางแผนการเงิน วางแผนการอยู่ตอนแก่ โดยไม่ลำบากลูกเมีย วางแผนหากิจกรรมที่จะอยู่ตอนแก่โดยไม่เหงาไม่เบื่อ และผมก็พร้อมที่จะตายอยู่ตลอดเวลา เพราะผมคิดว่าทุกคนหนีมันไม่พ้นครับ สำหรับผมผมพึ่งตัวเองครับ ไม่ต้องมีอะไรให้ยึดเหนื่อย อะไรที่ตัวเองแก้ไม่ได้จริงๆผมก็ปล่อยมันผ่านไป ไม่มองกลับหลังครับ ผมมองไปที่ปัจจุบันและอนาคต ย้ำอีกครั้งว่าผมอยู่บนความเชื่อพื้นฐานว่า ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนครับ
3. เวลามีมรสุมชีวิตเข้ามา ท่านนึกอะไรเป็นสิ่งแรก และมันคือคำตอบที่แท้จริงรึยัง??
  จัดลำดับความสำคัญครับ มรสุมนั้นเดือดร้อนคนอื่นไหม ต้องรีบแก้แค่ไหน แก้ได้ไหม แก้ไขได้ก็ค่อยๆแก้ไป แก้ไม่ได้ก็ปล่อยมันไป มองหาทางรอดเพื่อเริ่มออกเดินใหม่ ไม่ไปงอแงกับอดีต โทษโชคชะตา ราศรีอะไรทำนองนั้น เป็นคำตอบที่แท้จริงไหม ผมไม่รู้ครับ ผมรู้ว่าผมมีความสุขกับมัน

4. เพิ่มให้กับคำถามยอดฮิต ไม่มีศาสนา ตายไปทำไง
   ก็ไม่ทำไงครับ แล้วแต่ญาติจะสบายใจ สำหรับผม ตายก็จบแล้ว ไม่มีบาปบุญ เวียนว่ายตายเกิด ตายแล้วก็ไม่ต้องเบื่อ ไม่ต้องทรมาณ เพราะตายแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว ผมไม่กลัวโลกหลังความตาย ผมเป็นห่วงคนที่อยู่มากกว่าว่าถ้าผมตายคนอื่นจะเดือดร้อนอะไรบ้าง


ปล. คุณอาจไม่เข้าใจคนที่มีความเชื่อต่างกับคุณ แต่ผมอยากบอกว่า ความเชื่อแม้จะต่างกันแต่เราอยู่ร่วมกันได้ครับ เพียงแค่เราไม่เอาความเชื่อของเราเองไปครอบคนอื่น อย่างผม ไม่เชื่อในศาสนา แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่า คนที่ยึดติดกับศาสนานั้นโง่ หรือมันไม่จริงอะไร
แม้ว่าผมจะไม่เชื่อแต่ผมก็เคารพในความเชื่อของทุกคนครับ ตราบใดที่ความเชื่อนั้นไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร

อาเมน อามิตตาพุทธ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่