แชร์ประสบการณ์ซิ่วหมอ เด็ก 60

***บทความนี้เขียนขึ้นโดยความปรารถนาดีมีจุดประสงค์มอบให้เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่น้องๆที่กำลังจะสอบ และคนที่ซิ่ว หรือว่ากำลังคิดจะซิ่วหมอ และทันตะ มิได้ทำขึ้นเพื่อการค้าหรือว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคลใดๆทั้งสิ้น  หากว่ากระทบกระทั่ง หรือว่าได้ล่วงเกินสถาบันใด หรือว่าบุคคลใดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หากมีข้อผิดพลาดประการใดยินดีรับฟังคำติชมนะคะ
1) วินาทีแรกที่ตัดสินจะซิ่วหมอ
    หลายคนอาจจะแปลกใจที่ทำไมเราถึงตัดสินใจซิ่วหมอตั้งแต่วินาทีที่เดินออกจากห้องสอบ วันที่ 27 ธันวาคม 2558  ไม่ใช่วันที่จะประกาศคะแนนในอีก 1 เดือนข้างหน้า...คะแนนมันออกตั้งแต่วันที่เราเดินออกจากห้องสอบแล้วล่ะที่จริง แต่มันแค่ยังไม่ประกาศออกมาก็แค่นั้น เราทุกคนต่างก็รู้ตัวเองดีว่าทำได้หรือไม่ได้ ว่าเราจะติดหมอหรือไม่ติด  ยิ่งไปกว่านั้นบังเอิญว่าเราเป็นพวกไม่ศรัทธาในดวงหรือโชคชะตาใดๆเสียด้วย ดังนั้น เราจึงมั่นใจมากกกกกก ว่าเราเอนท์ไม่ติดแน่ๆ   พอเดินออกจากห้องสอบเราได้ยินเพื่อนพูดว่า “เฮ้อ โล่งจัง พอสอบรอบ 9 วิชาสามัญรอบสุดท้ายก็หมดแล้ว” แต่เรากลับรู้สึกตรงกันข้ามสุดๆไปเลย เรารู้สึกว่า “ยังหนักอยู่ ภาระเรายังไม่จบนะ เราจะต้องเอนท์ใหม่ “ ...ซึ่งหมายถึง    ซิ่วหมออย่างแน่นอน

2) ปีใหม่ 2559    
    หลังจากนั้นอีกสามวันก็เป็นวันปีใหม่ เราตัดสินใจแน่ๆแล้ว ว่าเราอยากเป็นหมอจริงๆ โอเควะ ซิ่วก็ซิ่ว เราเลยปีนขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าบ้านของเที่ยงคืนวันที่ 31 ธันวาคม แล้วตะโกนว่า “ปี 2559 จะเป็นปีของมอสโว้ยยยยยย”  (เราชอบเรียกตัวเองว่า “มอส” อธิบายเหตุผลไม่ได้กรุณาอย่าถาม) เราไม่ได้นึกบ้าขึ้นมานะที่ออกไปตะโกนแบบนี้ เราแค่รู้สึกว่าเรื่องของปีที่แล้วก็ให้มันเป็นปีที่แล้วไปเถอะ เราจะเริ่มใหม่ เราจะทำให้ปีนี้เป็นปีของเรา เราจะไม่มีวันเสียใจหรือเสียดายเลยที่ชีวิตนี้คิดอยากเป็นหมอ เราตะโกนดังมากจนบ้านข้างๆที่กำลังก๊งเหล้ากันอยู่ถึงกับหยุดทั้งวง แล้วก็หันมามองเราเป็นตาเดียว พอเราก้มลงไปมองพวกนั้นข้างล่างก็ขำ ฮะฮ่า ปอดใหญ่ใช้ได้เลยนะเราเนี่ย
3)  เริ่มถามคำถามตัวเอง
    หลังจากพ้นปีใหม่มาสักพัก ผลคะแนนและโควตาต่างๆก็เริ่มทยอยประกาศออกมา คะแนนโควตามม.ภูมิภาค(ขออภัยไม่เอ่ยชื่อม)เราถึงเภสัช แพทย์กายภาพ รังสีเทคนิค ทันตะ วิศวะ บลาๆๆๆ ทุกคณะเลยยกเว้นหมอ นี่เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งนึงในชีวิตของเราเลยว่า “จะเรียนไปก่อนดีไหม หรือว่าจะหยุดไปเลยปีนึงเพื่ออ่านหนังสือ”    และตอนนั้นแหละ เป็นตอนที่เราเริ่มถามคำถามกับตัวเอง
    “อยากเป็นหมอจริงๆไหม”
: อยากเป็นสิอยากเป็นมากถึงมากที่สุด ชอบอาชีพนี้มากๆเลย
    “แล้วทำไมที่มีโอกาสเอนท์หมอครั้งนี้ เราถึงเอนท์ไม่ติด” (ตอนนั้นผลออกแค่รอบโควตาเอนท์ตรง แต่ถึงรอบกสพท.ยังไม่ออกก็รู้ว่าไม่ติด)
1.    :  เพราะรู้ตัวช้าไปจริงๆว่าอยากเป็นหมอ แต่ก่อนไม่อยากเป็นหมอวิชาที่เกลียดจำพวกวิชาคำนวณ (คณิต กับฟิสิกส์ตัวดี)  เลยไม่สนใจมันสักนิด สอบแค่เอาผ่านๆไป พอตอนนี้ถึงได้รู้ตัวว่าเราคิดผิดแล้วนะ  
2.    เราไม่ได้พยายามเต็มที่ เรามีสิ่งรบกวนจิตใจที่ทำให้เราฟุ้งซ่านมากเกินไปจนอ่านหนังสือแทบไม่ได้
3.    เราไม่รักษาสุขภาพเอง ไม่สนใจตัวเองให้ดี สุดท้ายก็ป่วยในวันสอบจนได้ (แต่ถึงไม่ป่วยก็ทำได้ไม่ดีหรอก ไม่ใช่ข้ออ้างแต่อย่างใด)
สรุป เรายังพยายามไม่เต็มที่ที ซึ่งมันเจ็บใจมาก
    
“ยังจำความรู้สึกตอนที่รู้ว่าตัวเองเอนท์ไม่ติดวินาทีที่เดินออกจากห้องสอบได้ไหม”
: จำได้ชัดเจนยิ่งรอยตาปลาบนมือตัวเองเสียอีก มันไม่ใช่ความรู้สึก “เสียใจที่ทำไม่ได้” แต่ ”เสียดายที่ไม่ได้ทำอย่างเต็มที่ต่างหาก” และที่สำคัญ คือ มัน “เจ็บใจที่สุด” เจ็บใจที่เราไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เจ็บใจที่ถอดใจว่า “เราเริ่มช้าไป ตามคนอื่นไม่ทันหรอก” เจ็บใจที่ปล่อยให้เรื่องไร้สาระฟุ้งซ่านมาบั่นทอนจิตใจ เจ็บใจที่เราขาดศรัทธาในตัวเอง
...เคยมีคนถามว่าตอนนั้นเราเจ็บใจขนาดไหน เราเลยตอบเขาไปว่า “เจ็บมากขนาดนี้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่ยิ้มและหัวเราะอย่างสมเพชตัวเองเลยล่ะ”
    หากว่าเราเป็นคนที่ขาดความศรัทธาในตัวเองแล้ว ต่อให้เราเป็นคนที่เกิดมามีดวงมากที่สุดในโลก เราก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้หรอก  เพราะสวรรค์ไม่เคยเห็นใจคนที่ดูถูกตัวเอง
“แล้วไม่ลองไปเรียนคณะอื่นดูบ้างเหรอ บางทีอาจจะเจออันที่เข้ากับเราก็ได้”
    สำหรับคำถามข้อนี้เราถามตัวเองกลับว่า “แล้วจะเสียดายไหมที่ชีวิตนี้เคยมีความฝันอยากเป็นหมอ เคยมีโอกาสที่จะได้ทำแต่ไม่ทำ”
    ...ใช่แล้ว เราจะเสียดายและก็เสียใจตลอดชีวิตเลย เพราะเราเป็นคนประเภทที่ว่า พอทำอะไรไม่สำเร็จแล้วมันตัดใจไม่ค่อยลง ปล่อยวางยาก โดยเฉพาะอันที่ทำไว้ครึ่งๆกลางๆจะยิ่งหงุดหงิดมากกกกกกก มันจะเสียดาย และค้างคาใจมากเลย

    ถ้าเราอยากเป็นหมอจริงๆเราก็ไม่อยากมานั่งเสียดายว่า “เฮ้อ สาเหตุที่เอนท์ไม่ได้เป็นครั้งที่สองเพราะเวลาอ่านหนังสือไม่พอ เพราะต้องเข้าเรียนมหาลัยคณะอื่น กิจกรรมคณะปีหนึ่งเยอะ ไหนจะรับน้อง ไหนจะค่าย บลาๆๆๆ”

เพราะ มันไม่ใช่เหตุผลหรอก มันเป็นแค่ “ข้ออ้าง” ของคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะมุ่งมั่นกับเส้นทางที่อยากจะก้าวเดินในชีวิตของตัวเอง

“แล้วเราจะปล่อยให้เหตุผลที่เกิดข้อหนึ่งถึงสามของคำถามแรกเกิดกับตัวเองอีกไหม”
: ไม่มีวัน เกิดเป็นคนเจ็บใจเรื่องแบบนี้ครั้งเดียวก็เกินพอแล้วล่ะ

    หลังจากที่เราถามคำถามทั้งหมดกับตัวเองและได้รับคำตอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็จัดการเดินไปสละสิทธิ์ทุกอย่างที่ติด และไม่ยื่นคะแนนแกทแพทของเราให้คณะไหน หรือมหาวิทยาลัยไหนเลยทั้งสิ้น

เพราะเราได้เลือกแล้ว และไม่ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ผิดหรือถูก อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักเลือกทางเดินของชีวิตเราเอง


3.1 คุยกับครอบครัว
    สาเหตุที่เอาเรื่องนี้มาเขียนไว้ในบทความ เพราะมีน้องๆหลายคนถามว่า “จะซิ่วแบบไม่เลือกเรียนอะไรหนึ่งปีแล้วคุยกับพ่อแม่ยังไง”
    ก่อนจะตอบคำถามนี้ เราอยากเล่าเรื่องๆนึงให้น้องๆฟังก่อน
    เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เรากำลังเรียนอยู่ม.6พอดี ตอนนั้นมันเที่ยงคืนแล้ว และเรากำลังทำโจทย์คณิตอยู่ เราทำโจทย์ไม่ได้ และก็ทำอยู่นานมากจนกระทั่งร้องไห้ออกมา ตอนที่กำลังร้องไห้อยู่นั้น พ่อเราก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง แล้วถามเราว่า “ลูกร้องไห้ทำไม”
    เราเป็นคนสตรองมาก ถึงจะขี้ร้องแต่ก็แค่น้ำตา ไหลออกมาแล้วก็หยุด แต่เราดูจากหน้าพ่อแล้วพ่อคงตกใจ พ่อไม่เคยเห็นเราร้องไห้แบบนี้มาก่อน
    เราก็บอกไปว่า
    “มอสทำโจทย์โง่ๆข้อนี้มาครึ่งชม.แล้ว ทำยังไงก็ทำไมได้ นี่มอสโง่ขนาดนี้เลยใช่ไหม”
    พอพ่อเห็นอย่างนั้น พ่อก็เดินเข้ามากอดเราแล้วพ่อว่า
    “พ่อรู้ว่ามอสกำลังพยายามอยู่ อย่าร้องไห้ออกมาแบบนี้ พ่อไม่ชอบ ถ้ามันจะติดไม่ติดมันก็สุดความสามารถของเราแล้ว”
    พอเราได้ยินพ่อพูดแบบนั้น เราเลยถามพ่อกลับไปว่า “ถ้ามอสไม่ติดหมอปีนี้มอสขอซิ่วได้ไหม”
    “ได้สิ พ่อยอมให้มอสซิ่วดีกว่ามาเห็นลูกกดดันตัวเองจนร้องไห้ออกมาแบบนี้ พ่อรู้ว่า มอสกำลังพยายามอยู่”

    พอเราเดินออกมาจากห้องสอบปั๊บเราก็เดินไปบอกพ่อเลยว่า ขอซิ่วนะ และพอเราบอกพ่อว่า “จะไม่เรียนคณะอะไรนะ” พ่อก็ตกลง
    เราคิดว่า สาเหตุที่พ่อของเรายอมตกลงง่ายๆแบบนี้มี :
1.    พ่อของเรารู้จักเราดีว่า เราเป็นคนที่ทำอะไรต้องทำให้ดีสุดความสามารถ เป็นจริงจัง และมุ่งมั่นกับเป้าหมายของตัวเอง ถ้าเราอยู่โดยไม่เรียนหนึ่งปี เราจะไม่ลอยไปมาแน่นอน แต่จะอ่านหนังสือเตรียมซิ่วจริงๆตามที่บอกไว้
2.    พ่อของเราเชื่อมั่นในตัวเรา “ว่าเราเป็นคนพยายาม” เหมือนกับที่เราเชื่อมั่นในตัวเองเสมอว่า  “เราไม่เคยยอมแพ้”
3.    พ่อของเราเชื่อมั่นในตัวเราว่า “เราต้องทำได้” เหมือนที่เราเชื่อมั่นในตัวเองเสมอมา
4.    พ่อของเราเคารพในสิ่งที่เราตัดสินใจ เพราะท่านเชื่อว่าท่านเลี้ยงลูกๆมาไม่ให้เป็นคนที่เลือกทางที่ทำร้ายตัวเอง
5.    พ่อเรามีความเข้าใจในชีวิตว่า คนทุกคนมันพลาดกันได้ ต่อให้เป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกก็ตาม ที่สำคัญ คือ พ่อเรารู้จักเราดี รู้ว่าเราเป็นคนธรรมดาๆที่มีความพยายาม อาจจะพลาดบ้างก็ไม่เป็นไร พ่อเราพร้อมจะให้โอกาสเราเสมอ

คุณพ่อของเราเชื่อมั่นว่าเมื่อเราล้ม เราต้องสามารถลุกขึ้นมายืนหยัดด้วยขาของตัวเองได้ ไม่ว่าสภาพที่ล้มมันจะน่าทุเรศขนาดไหนก็ตาม
คุณพ่อของเราศรัทธาในตัวเรา แม้กระทั่งในวันที่เราไม่ศรัทธาในตัวเอง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้เราเชื่อในตัวเองเสมอมาว่า
    “เราทำได้ เราเก่งได้ เราดีได้”    

    หากว่าน้องๆไม่มีความเข้าใจแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างตัวของน้องๆเองกับผู้ปกครอง เราขอแนะนำให้คุยกันให้เข้าใจ และถ้าผู้ปกครองน้องๆไม่ยอมรับ ก็ต้องพยายามทำให้พวกเขายอมรับนะคะ อย่าโกรธ อย่าโวยวาย อย่าเที่ยวโพสสเตตัสด่าถ้าพวกเขาไม่ยอม คนเป็นพ่อแม่ย่อมพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวของลูกอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็เป็นตัวน้องต่างหากที่ต้องเชื่อมั่นในเส้นทางที่ตัวเองเลือกเดิน อธิบายให้พ่อกับแม่เข้าใจ และเห็นความตั้งใจในตัวของน้องนะคะ จากนั้น...ก็ทำให้พวกท่านเห็นจริงๆ
    ทำให้วันที่ประกาศผลเป็นวันที่น้องได้เห็นรอยยิ้มของคนที่รักน้องที่สุดในชีวิตนะคะอมยิ้ม01อมยิ้ม01

4) พูดจากาเลเหมือนเทน้ำ
    พอเราตั้งใจจะซิ่วปุ๊บ สิ่งที่ตามคือ คำพูดต่างๆนานามากมายที่มีทั้งหวังดี และบั่นทอน
    คำพูดที่หวังดีส่วนใหญ่ก็จะมาในทำนอง : เป็นห่วง(กลัวเสียเวลาหนึ่งปีเปล่าๆ) บอกว่าให้ลองคิดใหม่ ลองเข้าคณะอื่นดู (คิดว่าหนึ่งปีที่ซิ่วมันเสียเวลา) เราจะว่างอยู่ตลอดปีนึงเลยนะ คิดดีแล้วจริงเหรอ  
    เราน้อมรับเมตตาจิตทั้งหมดจากคำพูดเหล่านี้ของคนทุกคนเลยนะ ขอบคุณจากใจจริงที่เป็นห่วงเรา ที่รักเรา และเมตตาเรามาก แต่เมื่อเรามั่นใจในการตัดสินใจของเรา และเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว เดินต่อไปเลย น้อมรับแค่ความเมตตาของพวกเขามาก็เพียงพอแล้ว
    เราเชื่อว่าคนเหล่านี้คือคนที่จะยิ้มไปกับเราด้วยเมื่อเราติดหมอ อมยิ้ม01
    คำพูดที่บั่นทอนจิตใจส่วนมากจะเป็น : คำปรามาส (อันนี้เราไม่ค่อยเจอเพราะเป็นคนเรียนดีในหมู่เพื่อน) คำอุทานด้วยความตกใจในลิมิตที่เว่อร์มาก (โอ้วววว เหลือเชื่อว่าคนเก่งแบบเธอจะเอนท์ไม่ติดหมอ ซึ่งค่อนข้างกระทบหัวใจเราในช่วงแรกๆเหมือนกัน) และบลาๆๆๆ มากมาย
    ถ้าเจอแบบนี้เราจะคิดไว้ในใจเลยว่า “คนเหล่านี้เขาไม่ได้รักเราจริงๆหรอก และก็ไม่ได้มีความเมตตาต่อเราด้วย หรือบางทีเขาอาจจะไม่ทันได้คิดถึงเราก็ได้ตอนที่พูด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาพูดแล้วก็จากไป ถ้าเราเก็บคำพูดเขามาคิดก็มีแต่จะเสียใจ” จากนั้นก็อโหสิกรรมให้ และบ้ายบาย หวังว่าจะไม่เจอกันอีกนะ

5) ประกาศให้เหล่าชาวโลกรู้ว่า “ตูจะซิ่วนะ”
    เหตุผลสำหรับข้อนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่พอเราประกาศไปแบบนี้ปุ๊บก็เป็นอันรู้กันหมดคำถาม ตอนแรกที่ซิ่วยอมรับเลยว่ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก เพื่อนๆที่รู้จักกันหรือที่สนิทกันก็ได้เป็นหมอสมใจ บางคนก็เป็นเด็กค่ายโอร่วมกันมาด้วยซ้ำ(ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็หมอทั้งค่าย) ทุกคนได้เรียนคณะที่หวังแต่เราล้าหลังเพื่อน มันแอบอายนิดๆด้วย บางทีเจอพวกมนุษย์ป้าถามมาก (เอนท์ไม่ติดเหรอ หลานป้าคนแรกติดทันตะ คนที่สองติดหมอ คนที่สามได้วิศวะ บลาๆ คะแนนท็อปเลยนะลูก) ก็ต้องกัดฟันตอบ
6) รีบคว้านาทีทองในตลาดเปิดท้าย
    ความรู้สึกของคนที่เพิ่งสอบเสร็จไปร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าคือ “ชาตินี้ตูจะไม่แตะหนังสืออีกแล้วโว้ยยยยยยยยย” ซึ่งเราก็จะอาศัยช่วงนั้นเดินไปขอชีต ขอเอกสารเสริม หนังสือที่เรียนพิเศษ หรือหนังสือแบบฝึกหัดที่เพื่อนยังทำไม่หมดมาทำ และแน่นอนว่าทุกคนยินดีบริจาค บ้างก็แบกมาให้ที่โรงเรียน บ้างก็เป็นหน้าที่เราต้องไปเอาที่บ้านเขาเอง
    มาได้จนถึงวันนี้ ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่คอยแนะนำหนังสือดีๆให้อ่าน ชีตดีๆที่ให้มาหรือถ่ายเอกสารมากๆจริงๆ ถ้าไม่มีพวกคุณ รับรองว่าเราไม่มาถึงตรงนี้หรอก ขอบคุณมากนะคะ จะไม่ลืมเลย
    หลังจากนั้นก็ไปเยือนห้องสมุดที่ค่อนข้างเงียบเหงา(เพราะหมดช่วงสอบไปแล้ว) ขอยืมแบบเรียน หรือหนังสือจากคุณครูมาถ่ายเอกสารเก็บไว้ ฮะฮ่า ไม่ต้องซื้อใหม่ อันไหนที่อยากทำซ้ำก็ถ่ายไว้สองชุดเลย ประหยัดเงินกับเวลาไปครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยตอนที่เราหัวยุ่งอ่านหนังสืออยู่ก็จะได้เที่ยววิ่งหา
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่