[CR] แข็ง-ขาว-หนาว-ฟู - “ ญี่ปุ่น ” 6 คืน 7 วัน 2 ภูมิภาค { FollowMe : หนีเที่ยวไปกับฉัน } EP.1 : หนีเที่ยวไป "โตเกียว"

แข็ง - ขาว - หนาว - ฟู  - “ ญี่ปุ่น ” 6 คืน 7 วัน 2 ภูมิภาค
{ FollowMe FM : หนีเที่ยวไปกับฉัน }
EP.1 : หนีเที่ยวไป “โตเกียว”

การเดินทางสู่ประเทศ “ ญี่ปุ่น ”
Trip  : JAPAN - ไปทำอะไรที่ประเทศญี่ปุ่น ?
.
หากพูดถึงประเทศ “ญี่ปุ่น” สิ่งที่หลายคนนึกขึ้นในหัวเป็นสิ่งแรกก็คงหนีไม่พ้น “ภูเขาไฟฟูจิ”
เพราะฟูจิซังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศเลยก็ว่าได้
แต่สิ่งที่ผมค่อนข้างตื่นเต้นและนึกถึงก่อนกลับเป็น “รถไฟ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“ชินคันเซ็น”
...
...
การใช้บริการ “ชินคันเซ็น” จึงเปรียบเสมือนได้นั่ง “ไทม์แมชชีน”
ย้อนกลับไปดูอดีตของ “ประเทศญี่ปุ่น”
….

.
ทริปนี้ผมไปกับเพื่อนสองคน แต่...
เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตของผม ส่วนเพื่อนผมมันเคยไปประเทศอื่นมาบ้างแล้ว
เป็นการไป “ญี่ปุ่น” ครั้งแรกของเราทั้งสองคน ฉะนั้นยังสดอยู่สำหรับ ญี่ปุ่น !!! น่ะจ๊ะ
เป็นการได้ “เห็นและสัมผัสหิมะ” ครั้งแรกในชีวิตของพวกเรา จึงกระดี๊กระด๊า กันเป็นมากกก!!!

….
พวกเราจึงต้องวางแผนกันดี้ดี ชนิดที่เรียกได้ว่าเขียนรายงานส่งอาจารย์ กันเลยก็ว่าได้
โดย เมืองหลักๆที่เราจะไป คือ
....
“ Tokyo > Nikko > Fuji > Kyoto > Kyoto > Nara > Osaka ”


Sat 14 Jan 2017 | เสาร์ 14 ม.ค. 2560
Location : Bangkok → Don Mueang
….
การเดินทางในทริปนี้
“ตั๋วเครื่องบิน” : ผมจองตั๋วเครื่องบินจากสายการบิน Airasia X
จากสนามบินดอนเมืองไปลงที่สนามนาริตะ
แต่ผมจะกลับที่สนามบินโอซาก้า
เพราะมีแผนจะนั่ง shinkansen จากภูมิภาคคันโตเพื่อไปเที่ยวโซนภูมิคาคคันไซ
รวมไป-กลับ = 16,000 บาท
รู้สึกว่าตอนที่จอง จริงๆ ถ้าไป-กลับ ที่นาริตะ
จะตกอยู่ที่ 12,000 บาท


แต่พวกเรา คิดซ่ะว่าไปทั้งที
ต้องเที่ยวให้คุ้ม !!!
ฉะนั้น : เรื่องตั๋วเครื่องบิน แล้วแต่ละคนจะสะดวกดีกว่าครับ
….

“JR Pass” : ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
เพราะตลอดทั้งทริป พวกเราจะเน้นใช้ JR Pass ให้ได้มากที่สุด
ตลอด 7 วันนี้ พวกเราจึงตัดสินใจซื้อ “japan rail pass ชนิด 7 วัน”
รวม = 8,800 บาท
พวกเราซื้อในงานท่องเที่ยวญี่ปุ่น
จากตัวแทนในประเทศไทย คือ บริษัท H.I.S.
แล้วนำ Exchange Order + Passport ไปยื่นที่เคาน์เตอร์บริษัท JR ในสนามบินนาริตะ
เพื่อให้ออกเป็น Pass ที่สามารถใช้ได้จริงๆ


โดยเจ้าหน้าที่จะให้เราเลือกวันที่ต้องการใช้บัตรวันแรกและวันสิ้นสุดเอาไว้
เอาเข้าจริง พวกผมใช้กันคุ้มมากกกกกก
.
หมายเหตุ : พวกเราไม่ได้มีส่วนได้เสียเรื่องตั๋วเครื่องบินและบริษัทตัวแทนจำหน่าย JR Pass ใดๆทั้งสิ้นน่ะครับ
หากมีข้อสงสัยใดๆ สอบถามเข้ามาได้ครับ

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางกันครับ
…..
เราออกเดินทางออกจากประเทศไทย คือเที่ยวบินเวลา 23.45 น. ของคืนวันที่ 14
และจะไปถึงประเทศญี่ปุ่นตามเวลาท้องถิ่นคือ 8.00 น. ของเช้าวันที่ 15 มกราคม
ขณะที่เครื่องบินเริ่มทยานขึ้นสู้ห้วงอากาศ ก็เปรียบเสมือนว่า
“การเดินทางได้เริ่มขึ้นแล้ว”
….
Location : JAPAN
Sun 15 Jan 2017 | อาทิตย์ 15 ม.ค. 2560

Location : Narita → Tokyo

FM :  “ ดินแดนอาทิตย์อุทัย ”

หลังจากที่จัดการเรื่องส่วนตัวกันเสร็จสรรพ
สิ่งที่พวกเราต้องทำกันต่อไปก็ คือ
...
ด่านแรก : “ตรวจคนเข้าเมือง” หรือ ผ่าน ตม.
ผมว่าแค่ฟังชื่อ หลายๆคนก็มีแอบกลัว ซึ่งผมเองก็กลัว เพราะเป็นการมาครั้งแรก
และเป็นการเที่ยวต่างประเทศครั้งแรก
ไฉน...กลับกลายเป็นว่า
“พี่แก ไม่ตรวจ ไม่ถาม อะไรทั้งสิ้น”
อาจจะเป็นด้วยเหตุผลที่ว่า ไฟท์บินนี้ค่อยข้างมีคนไทยเยอะ
ประกอบกับแถวที่ต่อ มันเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ
จากที่เคาน์เตอร์ ตม. เปิดแค่ 3-4 เคาน์เตอร์
ไปๆมาๆ ด้วยจำนวนคนที่ไม่ลดลง แถมยังมีไฟท์อื่นๆเข้ามาอีก
จึงทำให้แถวยิ่งยาวขึ้นเรื่อยๆ จน ตม. ต้องเปิดครบทุกเคาน์เตอร์
เอาเข้าจริง ผมว่า “ตม. ไม่ได้น่ากลัว” อย่างที่เราคิดเลยครับ
หากเรามีวัตถุประสงค์ที่ดีในการเข้าประเทศเขา
หรือหากเขาไม่เชื่อ เราก็แค่ต้องแสดงหลักฐานให้เขาเชื่อ
ว่าเรามีเจตนาดี ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงใดๆทั้งสิ้น
เพียงเท่านี้ ผมว่าก็ผ่าน ตม. ญี่ปุ่นได้แบบสบายๆแล้วครับ
...
    ด่านที่สอง : ศุลกากร
ด่านนี้ พี่แกเอาจริงกว่า ตม. น่ะเออออ
ที่แรกผมเห็นว่าเป็น เจ้าหน้าที่ผู้หญิง ก็นึกว่าน่าจะใจดี
ที่ไหนได้
“พี่แกก็มีซักถามเล็กๆน้อยๆ”
ประมาณว่า “ มาทำอะไร , มากี่วัน มีของต้องห้ามนำเข้าไหม ,แล้วก็ขอเปิดกระเป๋า”
แต่...เอาเข้าจริงผมว่า พี่แกก็ทำตามหน้าที่นั้นและครับ ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย
ขนาดผม ภาษาอังกฤษแบบ snake fish fish ก็ยังผ่านมาได้
ฉะนั้น : สรุป “ไม่ต้องกลัวน่ะครับ ถ้าเรามีวัตถุประสงค์ดีในการเข้าประเทศเขา”
….
พอผ่านทั้ง ตม. และ ศุลกากรมาได้

ด่านที่สาม : หาสถานที่แลก japan rail pass
โดยนำเอกสารการซื้อที่ตัวแทนในประเทศไทยออกให้คือ Exchange Order + Passport
ไปแลกเป็น “ Pass หรือ ตั๋วจริงๆ ”
โดยเจ้าหน้าที่ก็จะให้เรากรอกเอกสารนิดๆหน่อยๆ
และก็ออก Pass ที่ใช้ได้จริงมาให้เราโดยตั๋วจะถูกเคลือบ
และใส่ในซองพลาสติกกันน้ำอย่างดีมาให้เรา

เหตุผลเพราะเราจะต้องถือเจ้าตั๋วนี้ยื่นให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานี
ดูตลอด 7 วัน ที่เราใช้บริการรถไฟในเครือบริษัทนี้


Location : Narita → Tokyo

FM : “ก้าวแรกเข้าสู่ มหานครโตเกียว”
การเดินทางจาก สนามบินนาริตะ-โตเกียว มีหลากหลายวิธีมากครับ
แต่ผมกับเพื่อนเลือกใช้บริการ N’EX หรือ Narita Express ครับ
ไม่ใช่อะไรเลย “เพราะมันรวมอยู่ใน JR Pass”
แถมถือว่าเป็นวิธีเดินทางที่เร็วมากอีกวิธีหนึ่ง
พวกเราใช้เวลา 47 นาทีก็ถึงจุดหมายของพวกเราคือ “สถานีโตเกียว”

Location : Tokyo Station
พอมาถึงสถานีโตเกียว พวกเราก็ไปสอย “Tokyo Metro 1 day Pass ในราคา 600 เยน” มาครับ
เพราะวันนี้ เราจะเที่ยวในเมืองโตเกียว จึงซื้อแบบเหมา 1 วัน
ตามแผนเดิมที่พวกเราวางไว้ คือ จะนำกระเป๋าไปฝากไว้ที่สถานี Asakusa ครับ เพราะใกล้ที่พักที่ได้จองเอาไว้
แต่...ผิดแผนอย่างแรง !!! เพราะพอไปถึงสถานี Asakusa ตู้ฝากกระเป๋าเต็ม !!!
พวกเราจึงตัดสินใจหน้างานว่าจะเอากลับไปฝากที่สถานีโตเกียว เพราะเป็นสถานีใหญ่ ตู้ฝากน่าจะเยอะกว่า
พวกเราจึงแบกกระเป๋ากันไป แบกกระเป๋ากันมา สนุกกันเลยทีเดียว
ชนิดเรียกได้ว่า “ข้อเข่าแทบพัง”

Location : Imperial Palace Tokyo
ทริปนี้นอกเหนือจากการใช้ JR Pass แล้ว ผมกับเพื่อน “ เน้นเดิน ” น่ะครับ

ด้วยเหตุผลที่พวกเราชอบเดินกันอยู่แล้ว และคิดว่ามาถึงบ้านเมืองเขาทั้งที
ก็อยากจะซึมซับบรรกาศบ้านเมืองเขาไปให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้
ฉะนั้น การมาพระราชวังผมจึงเดินเลือกที่จะเดินจากสถานีโตเกียว
ลัดเลาะมาเรื่อยๆจนถึง “พระราชวังอิมพีเรียล”
“ โลกมันใหญ่...หรือแค่เราตัวเล็ก ”
หลังจากนั้น : พวกเราก็เดิน เดิน และก็เดิน ไปต่อกันที่ “ศาลเจ้าฮิเอะ”


Location : Hie Shrine
หลังจากนั้น เราก็เดินลัดเลาะไปที่สถานี Akasaka
เพื่อจะไปลงสถานี Harajuku
เพราะเราจะไปต่อกันที่ “ศาลเจ้าเมจิ”


Location : Akasaka → Harajuku : Meiji Shrine

“ศาลเจ้าเมจิ” ผมถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ถูกผสมผสานและยังคงดำรงค์อยู่ได้
ท่ามกลางแหล่งความเจริญของย่าน “ฮาราจูกุ” ก็ตาม
ช่วงที่เราไปกัน โชคดีมากครับ
กำลังมีเทศกาลแข่งขัน “แกะสลักน้ำแข็ง”
ไม่ต้องสงสัยน่ะครับ ว่าจะหนาวขนาดไหนนนนนน

Location : Harajuku  → Shinjuku
เริ่มมืดแล้ว...แต่เราก็ยังไปต่ออย่างไม่หยุดยั้ง
เราจะไปตามล่า “ตึกแฝด หรือ ศาลาว่าการนครโตเกียว”

Location : Shinjuku → Shibuya
แล้วเราก็มาปิดท้ายกันที่ “ 5 แยกชิบูย่า ”
หลังจากวุ่นวายกับการเดินในสถานที่ๆแปลกสำหรับเรา
เราก็ไปจบกันที่ร้านหาอาหารแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นร้านราเมง เพราะการได้ซดน้ำซุปร้อนๆในอากาศหนาวๆแบบนี้
ต่อให้เป็นเพียงมาม่าบ้านเราก็ “อร่อยที่สุด” เท่าที่เคยกินมา
เราก็เดินเที่ยวดูย่านนี้กันสักพัก
ก่อนที่จะไปเดินตามหาถุงมือและผ้าพันคอ
เพราะทนไม่ไหวจริงๆครับ มันหนาวจนมือแข็ง!! ไปหมด
.
หลังจากนั้นก็คิดว่าควรได้เวลากลับได้แล้ว
พวกเราจึงกลับไปยังสถานีโตเกียวเพื่อแวะเอากระเป๋าที่เราฝากไว้
และมุ่งตรงสู่สถานี Asakusa เพื่อไปยังที่พักของเรา
.
Location : Shibuya  → Tokyo → Asakusa

เราเลือกเข้าพักที่ Hotel Mystays Asakusa จำนวน 2 คืน
โดยจองผ่าน Booking.com ไม่ต้องจ่ายล่วงหน้าใดๆทั้งสิ้น
แถมด้วย...ห้องที่พักสามารถมองเห็น
“Tokyo Skytree”
เรียกได้ว่าคุ้มมากกับราคาที่เสียไป
จบทริปวันแรกครับ
เดี๋ยวจะมาต่อด้วยความ แข็ง- ขาว - หนาว - ฟู กับหิมะที่ Nikko ใน EP หน้าครับ
ชื่อสินค้า:   โตเกียว
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่