สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงพิเศษ 5 แบงก์ใหญ่พุ่งไม่หยุด กรุงไทยอ่วมเพิ่ม 35% สะท้อนคุณภาพหนี้อ่อนแอ จับตางัดมาตรการเข้มติดตาม-ขายหนี้เน่า หวังสกัดเอ็นพีแอลใหม่และไหลย้อนกลับ “กสิกรไทย” ห่วงเอสเอ็มอีกลุ่มค้าขาย โรงแรม อพาร์ตเมนต์และสินเชื่อบุคคลเสี่ยงสูง
ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบแบกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ในปี 2559 จำนวน 3.56 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 กว่า 2.48 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.5% ขณะที่สินเชื่อจัดชั้นที่ถูกกล่าวถึงเป็นพิเศษของ 5 ธนาคารใหญ่ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญสะท้อนว่าคุณภาพลูกหนี้ยังอ่อนแอ
ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)(KTB) มีอัตราการเพิ่มของหนี้ที่กล่าวถึงพิเศษในปี 2559 ถึง 35% หรือเพิ่มจาก 5.18 หมื่นล้านบาท ในปี 2558 มาที่ 7 หมื่นล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(SCB) เพิ่ม 33% จาก 3.34 หมื่นล้านบาท มาที่ 4.46 หมื่นล้านบาท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)(BAY) เพิ่ม 19% หรือจาก 4.85 หมื่นล้านบาทในปี 2558 เป็น 5.79 หมื่นล้านบาทในปี 2559 และธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) (KBANK) มีหนี้จัดชั้นที่กล่าวถึงเป็นพิเศษในปี 2559 จำนวน 4.32 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% ส่วนธนาคารกรุงเทพ เพิ่มขึ้นน้อยสุด 5.8% มาที่ 4.60 หมื่นล้านบาท
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ปีนี้จะยังคงเห็นธนาคารพาณิชย์ในระบบเน้นจัดการหนี้เอ็นพีแอลในเชิงรุกต่อเนื่องและเข้มข้นกว่าช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
มาตรการที่จะนำมาใช้มีทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะเห็นความเข้มข้นขึ้น การตัดขายหนี้ออกจากพอร์ต รวมทั้งแคมเปญจูงใจให้ลูกค้าที่ชำระดีมีวินัยได้ลดดอกเบี้ยในอัตราพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดเอ็นพีแอลใหม่ โดยมีเป้าหมายลดหนี้เสียและลดการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง
“ปีนี้จะยังคงเห็นการตั้งสำรองและการตัดขายหนี้เป็นระยะๆโดยเฉพาะเซ็กเตอร์ที่สามารถตัดขายได้ทันที”
แนวโน้มเอ็นพีแอลปีนี้ยังเป็นทิศทางที่ธนาคารพาณิชย์มอนิเตอร์อยู่ แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่สิ้นปี 2558 อยู่ที่ 2.55% และไตรมาสที่ 1 เพิ่มมาที่2.64% ส่วนไตรมาสที่ 2 และ 3 ปรับขึ้นอยู่ที่ 2.72% และ 2.89% ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเอ็นพีแอลจะแตะระดับสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และไตรมาสที่ 4 จะเริ่มเห็นเอ็นพีแอลลดลงโดยสิ้นปีจะอยู่ในกรอบ 2.9-2.95% จากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 2.8%
กลุ่มธุรกิจที่น่าเป็นห่วงยังเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่อยู่ในกลุ่มค้าขายในประเทศ โรงแรมให้เช่า อพาร์ตเมนต์ ส่วนสินเชื่อรายย่อย จะเห็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ยังคงมีปัญหาเรื่องการชำระหนี้
ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อเริ่มปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งมาจากปลดล็อกมาตรการรถคันแรก และเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น
อย่างไรก็ตามกลุ่มที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วอาจจะไหลกลับมาเป็นเอ็นพีแอล (Re Entry) ได้อีก เนื่องจากยังคงเผชิญปัจจัย 3 ด้าน คือ ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะการแข่งขันเฉพาะธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และต้นทุนที่มีแนวโน้มปรับขึ้น
นายพูลพัฒน์ ศรีเปล่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารความเสี่ยง ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การติดตามลูกค้าแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าใหม่ที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว ธนาคารจะติดตามใกล้ชิดและเพิ่มความถี่มากขึ้นโดยให้ทีมงานลูกค้าสัมพันธ์มอนิเตอร์ใกล้ชิดและเพิ่มความถี่มากขึ้นหากลูกค้าเริ่มมีปัญหาจะรีบเข้าไปช่วยแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดหนี้เอ็นพีแอล
สำหรับกลุ่มที่ปรับโครงสร้างแล้ว หรือเป็นเอ็นพีแอล ธนาคารจะเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ตามกระบวนการปกติ โดยพิจารณาจากธุรกิจหรือกิจการของลูกค้าว่ายังคงสามารถทำธุรกิจหรือสามารถสร้างรายได้มากน้อยระดับใด รวมไปถึงการตัดขายหนี้ทิ้ง ซึ่งเป็นช่องทางตัวเลือกในการบริหารจัดการหนี้ของธนาคาร
“การตัดขายหนี้จะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของราคาและมูลค่าต้นทุนว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ถือว่าเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งของธนาคารที่จะทำในปีนี้”
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)(TMB) กล่าวในภาวะที่เศรษฐกิจยังเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยในและต่างประเทศ จะมีทีมงาน RM ตรวจจับสัญญาณผิดปกติให้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีระบบ Relationship Management ให้ทีมงาน RM ดูข้อมูลลูกค้าได้เป็นรายบุคคล
แหล่งข่าวจากธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าการบริหารหนี้เอ็นพีแอล หากเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ธนาคารจะใช้วิธีการตัดขายหนี้ทิ้ง ส่วนหนี้ที่มีหลักประกัน จะเน้นใช้วิธีการแก้ไขหนี้เรียกหลักประกันชดเชยความเสียหาย ส่วนลูกค้าตั้งใจหลบหนีหรือไม่ตั้งใจชดใช้หนี้ใช้วิธีฟ้องร้องตามกฎหมาย
JJNY : เศรษฐกิจดี๊ดี...หนี้จับตาพิเศษ 5 บิ๊กแบงก์พุ่ง คุณภาพสินเชื่อย่ำแย่ กรุงไทยทะยาน35%
ธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบแบกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ในปี 2559 จำนวน 3.56 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2558 กว่า 2.48 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.5% ขณะที่สินเชื่อจัดชั้นที่ถูกกล่าวถึงเป็นพิเศษของ 5 ธนาคารใหญ่ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญสะท้อนว่าคุณภาพลูกหนี้ยังอ่อนแอ
ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)(KTB) มีอัตราการเพิ่มของหนี้ที่กล่าวถึงพิเศษในปี 2559 ถึง 35% หรือเพิ่มจาก 5.18 หมื่นล้านบาท ในปี 2558 มาที่ 7 หมื่นล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(SCB) เพิ่ม 33% จาก 3.34 หมื่นล้านบาท มาที่ 4.46 หมื่นล้านบาท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)(BAY) เพิ่ม 19% หรือจาก 4.85 หมื่นล้านบาทในปี 2558 เป็น 5.79 หมื่นล้านบาทในปี 2559 และธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) (KBANK) มีหนี้จัดชั้นที่กล่าวถึงเป็นพิเศษในปี 2559 จำนวน 4.32 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17% ส่วนธนาคารกรุงเทพ เพิ่มขึ้นน้อยสุด 5.8% มาที่ 4.60 หมื่นล้านบาท
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล ผู้ช่วยกรรมผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ปีนี้จะยังคงเห็นธนาคารพาณิชย์ในระบบเน้นจัดการหนี้เอ็นพีแอลในเชิงรุกต่อเนื่องและเข้มข้นกว่าช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
มาตรการที่จะนำมาใช้มีทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะเห็นความเข้มข้นขึ้น การตัดขายหนี้ออกจากพอร์ต รวมทั้งแคมเปญจูงใจให้ลูกค้าที่ชำระดีมีวินัยได้ลดดอกเบี้ยในอัตราพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดเอ็นพีแอลใหม่ โดยมีเป้าหมายลดหนี้เสียและลดการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง
“ปีนี้จะยังคงเห็นการตั้งสำรองและการตัดขายหนี้เป็นระยะๆโดยเฉพาะเซ็กเตอร์ที่สามารถตัดขายได้ทันที”
แนวโน้มเอ็นพีแอลปีนี้ยังเป็นทิศทางที่ธนาคารพาณิชย์มอนิเตอร์อยู่ แนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่สิ้นปี 2558 อยู่ที่ 2.55% และไตรมาสที่ 1 เพิ่มมาที่2.64% ส่วนไตรมาสที่ 2 และ 3 ปรับขึ้นอยู่ที่ 2.72% และ 2.89% ตามลำดับ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าเอ็นพีแอลจะแตะระดับสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ และไตรมาสที่ 4 จะเริ่มเห็นเอ็นพีแอลลดลงโดยสิ้นปีจะอยู่ในกรอบ 2.9-2.95% จากสิ้นปี 2559 อยู่ที่ 2.8%
กลุ่มธุรกิจที่น่าเป็นห่วงยังเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่อยู่ในกลุ่มค้าขายในประเทศ โรงแรมให้เช่า อพาร์ตเมนต์ ส่วนสินเชื่อรายย่อย จะเห็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย บัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ยังคงมีปัญหาเรื่องการชำระหนี้
ส่วนสินเชื่อเช่าซื้อเริ่มปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งมาจากปลดล็อกมาตรการรถคันแรก และเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น
อย่างไรก็ตามกลุ่มที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วอาจจะไหลกลับมาเป็นเอ็นพีแอล (Re Entry) ได้อีก เนื่องจากยังคงเผชิญปัจจัย 3 ด้าน คือ ภาวะเศรษฐกิจ ภาวะการแข่งขันเฉพาะธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และต้นทุนที่มีแนวโน้มปรับขึ้น
นายพูลพัฒน์ ศรีเปล่ง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน สายงานบริหารความเสี่ยง ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การติดตามลูกค้าแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าใหม่ที่ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว ธนาคารจะติดตามใกล้ชิดและเพิ่มความถี่มากขึ้นโดยให้ทีมงานลูกค้าสัมพันธ์มอนิเตอร์ใกล้ชิดและเพิ่มความถี่มากขึ้นหากลูกค้าเริ่มมีปัญหาจะรีบเข้าไปช่วยแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดหนี้เอ็นพีแอล
สำหรับกลุ่มที่ปรับโครงสร้างแล้ว หรือเป็นเอ็นพีแอล ธนาคารจะเข้าไปปรับโครงสร้างหนี้ตามกระบวนการปกติ โดยพิจารณาจากธุรกิจหรือกิจการของลูกค้าว่ายังคงสามารถทำธุรกิจหรือสามารถสร้างรายได้มากน้อยระดับใด รวมไปถึงการตัดขายหนี้ทิ้ง ซึ่งเป็นช่องทางตัวเลือกในการบริหารจัดการหนี้ของธนาคาร
“การตัดขายหนี้จะต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของราคาและมูลค่าต้นทุนว่ามีความเสียหายมากน้อยแค่ไหน แต่ถือว่าเป็นทางเลือกอย่างหนึ่งของธนาคารที่จะทำในปีนี้”
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)(TMB) กล่าวในภาวะที่เศรษฐกิจยังเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยในและต่างประเทศ จะมีทีมงาน RM ตรวจจับสัญญาณผิดปกติให้มีประสิทธิภาพ และรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีระบบ Relationship Management ให้ทีมงาน RM ดูข้อมูลลูกค้าได้เป็นรายบุคคล
แหล่งข่าวจากธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่าการบริหารหนี้เอ็นพีแอล หากเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ธนาคารจะใช้วิธีการตัดขายหนี้ทิ้ง ส่วนหนี้ที่มีหลักประกัน จะเน้นใช้วิธีการแก้ไขหนี้เรียกหลักประกันชดเชยความเสียหาย ส่วนลูกค้าตั้งใจหลบหนีหรือไม่ตั้งใจชดใช้หนี้ใช้วิธีฟ้องร้องตามกฎหมาย