เราโตมาหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างทุกอย่างไว้หมดแล้ว.. ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

สวัสดีเพื่อนๆพี่ๆชาวพันทิปทุกคนนะคะ วันนี้ไม่ได้เป็นวันพิเศษอะไร แต่เราแค่รู้สึกว่าอยากบอกเล่าเรื่องราวของเด็กยุคใหม่ที่เติบโตมาไม่ทันในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงงานหนัก เราโตมาในขณะที่พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว เราโตมาโดยที่ไม่เคยทราบเลยว่า ผืนดิน น้ำ เขื่อน หรืออะไรต่างๆอีกมากมายเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เราใช้ชีวิตโดยที่ไม่เคยได้นึกถึงเลยว่าทุกสิ่งอย่างที่พระองค์ทรงทำให้ชาวไทยนั้นมีประโยชน์และคุณค่ามากมายถึงเพียงไหน.. จนกระทั่งวันที่พระองค์ทรงจากไป

          ตลอดระยะเวลาที่เราโตมา เรามักจะได้ยินคำว่า "ทรงพระเจริญ" ได้รับรู้ถึงความรักที่ใครหลายคนมีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙ ได้เห็นภาพคุณแม่หรือคุณยายคอยติดตามข่าวของพระองค์อยู่เสมอ จนกระทั่งวันที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เราเชื่อว่าคงเป็นวันที่โศกเศร้าอาลัยที่สุดในช่วงชีวิตของใครหลายคน ใน Social Network ต่างๆ โดยเฉพาะ Facebook มีภาพของพระองค์ท่านปรากฎขึ้นมากมาย พระราชกรณียกิจและคำสอนต่างๆของพระองค์ท่าน และนั่นคงเป็นครั้งแรกที่เราสนใจในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำไว้ "มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ" คำถามที่เราตั้งขึ้นในใจ ภาพผู้คนร้องไห้ ภาพที่คุณแม่บอกให้เรากราบพระองค์ท่านเริ่มผุดขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เราและเพื่อนตัดสินใจที่จะเดินทางไปที่ท้องสนามหลวง แต่แรกมีกำหนดการณ์ว่าจะมีขบวนตอนเวลา ๑๓.๐๐ น. เราและเพื่อนรีบมาก เดินทางไปโดยที่ยังไม่ได้ทานอะไร ไม่มีน้ำหรืออะไรติดตัวไปสักขวดเดียว จะมีก็เพียงแต่น้ำผลไม้ ๑ กล่อง และลูกอมเพียงไม่กี่เม็ด แต่เหตุการณ์ ณ ตอนนั้นไม่เป็นอย่างที่เราคิดเลยค่ะ เรารอนานมาก เวลาผ่านไปจนเราคิดอยากที่จะลุกออกมาจากตรงนั้นถ้าทำได้ จากบ่ายโมงเลื่อนเป็นบ่ายสองบ่ายสามจนกระทั่ง ๑๖.๐๐ น. ขบวนเสด็จเริ่มขึ้น เราอยู่บริเวณตรงข้ามท้องสนามหลวง ตั้งหน้าตั้งตาที่จะรอ จนขบวนเสด็จผ่านไปทั้งหมด "ไหนคือรถพระที่นั่งของพระองค์" นั้นคงเป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจหลายๆคน เราและเพื่อนก็เช่นกันค่ะ คันไหนหรือ? เมื่อแรกเราและเพื่อนคิดว่าอาจจะเป็นรถสีครีมที่ดูหรูหราที่สุด แต่จริงๆกลับกลายเป็นรถที่ธรรมดาที่สุด ไม่มีราคา ไม่หรูหราหรือโดดเด่น เป็นเพียงรถธรรมดาคันหนึ่งที่ข้างในมีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อยู่ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราเริ่มศึกษาพระราชประวัติของพระองค์ท่านเรื่อยมา...

          เราเชื่อว่ามีอีกมากมายหลากหลายคนที่เป็นแบบเรา หลายๆคนอาจทราบว่าพระองค์ท่านทรงทำฝนหลวง ทรงพระปรีชาสามารถมีเพลงพระราชนิพนธ์ต่างๆมากมาย ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปทุกๆที่ ทรงเสียพระเนตรขวาไปตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ทรงจดสิทธิบัตรกังหันน้ำชัยพัฒนา ทรงมีโครงการในพระราชดำริกว่า ๔๐๐๐ โครงงาน เราเองทราบเรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่จำความได้ค่ะ แต่ก็เพียงแค่ทราบไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่พระองค์กระทำแม้แต่น้อย เด็กรุ่นใหม่อย่างเรา แค่เรียนหรือทำงาน ๘ โมงเช้า ถึง ๔ โมงครึ่งวันจันทร์ ถึง วันศุกร์ ก็เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด บางคนแค่นั่งทำงานในบริษัท หรือนั่งจดตามที่อาจารย์สอน ทำโครงงานหรือวิจัยเพียงไม่กี่เรื่อง แต่พระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ท่านทรงงานในทุกๆวัน ติดต่อกันเป็นเวลา ๗๐ ปี ท่านทำโครงการมากกว่า ๔๐๐๐ โครงการ หรือที่มีคนบอกว่าเฉลี่ยท่านทำ ๑ สัปดาห์ อย่างน้อย ๖ โครงการ ท่านไม่ได้นั่งทรงงานในบริษัทที่มีแอร์หรือเพียงแค่นั่งจดบันทึกรายงาน แต่ท่านเสด็จพระราชดำเนินด้วยเท้าและพระเนตรเพียงข้างเดียวตลอดระยะเวลากว่า ๗๐ ปี เราคงพูดได้ว่า "หากหยาดเหงื่อของท่านหยดลง ณ ที่แห่งใด ที่แห่งนั้นจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นที่แห่งความอุดมสมบูรณ์" คุณลองปิดตาดูสิค่ะ แค่ปิดตา ๑ ข้างแล้วเขียนงานว่ายากแล้ว คุณลองปิดตาแล้วเดินทางราบเพียงแค่ ๑ กิโลเมตร ก็ลำบากแล้ว แต่ท่านทรงมีพระเนตรเพียงข้างเดียว เดินขึ้นเขาลงห้วย ไปทั่วทั้งประเทศไทย ไปทั่วทั้งประเทศของพระองค์นั้น เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ เคยมีคำกล่าวที่ว่าท่านทรงเป็นเทวดาที่มีลมหายใจ เราไม่เคยเข้าใจในคำคำนี้ จวบจนกระทั่งปัจจุบัน หากมีคนถามเราว่าใครสร้างประเทศไทย เราก็คงตอบได้ว่าเพราะเทวดา แต่เทวดาพระองค์นี้ไม่ได้มีปีกหรืออิทธิฤทธิ์อันแรงกล้าใดๆ ท่านมีเพียง ๒ พระหัตถ์ ๒ พระบาท และ ๑ ลมหายใจ ท่านใช้ ๒ พระหัตถ์และ ๒ พระบาทของท่าน สร้างน้ำ สร้างดิน สร้างฝนเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาประชาราษฎร์ คุณเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งจะแต่งเพลงสักเพลงว่ายากแล้ว จะคิดค้นสูตรเคมีหรือสิ่งประดิษฐ์สักชิ้นว่ายากแล้ว แต่พระองค์ท่านทรงพระราชนิพนธ์เพลงกว่า ๑๐ เพลง ทรงประดิษฐ์และคิดค้นกลวิธีเพื่อแก้ปัญหาต่างๆกว่า ๔๐๐๐ วิธี ท่านทรงทำได้ หากคุณป่วยหรือมีใครในครอบครัวเสียชีวิตคุณอาจหยุดการทำงานหรือโศกเศร้าเสียใจจนยากที่จะทำอะไร แต่ไม่ใช่กับพระองค์ท่าน หากพระองค์ไม่สามารถที่จะเสด็จฯไปที่แห่งใดได้ หากแต่มีวิทยุสื่อสารเพียงเครื่องเดียวพระองค์ท่านก็ช่วยคนได้มากกว่าหลายร้อยชีวิต ในขณะที่สมเด็จพระศรีนครินทร บรมราชชนนี สิ้นพระชนม์ ท่านกลับทรงคิดค้นโครงการแก้มลิงได้ ทุกวินาทีในช่วงชีวิตของพระองค์ท่านท่านทรงทุ่มเทพระวรกายและพระราชหฤทัยเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรชาวไทยอย่างแท้จริง จะมีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกที่กระทำเยี่ยงพระองค์ ตั้งแต่วันแรกที่ทรงขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงเสียพระเชษฐา หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่รัชกาลที่ ๘ ไป อย่างกระทันหัน ท่านต้องผ่านความอดทนต่างๆมามากมายถึงเพียงใด นับตั้งแต่วันแรกที่พระองค์ทรงขึ้นครองศิริราชสมบัติกับพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยทำเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่พระองค์ทรงผิดสัญญาที่ให้ไว้ต่อปวงชนชาวไทย ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่พระองค์ทรงทอดทิ้งพสกนิกรของพระองค์ พระองค์ทรงเปรียบเสมือนเสาหลักของบ้าน ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินอย่างแท้จริง

          หากประเทศไทยไม่มีพระองค์ท่านจะเป็นอย่างไร.. เราอยากให้ทุกๆคนได้ลองคิด เราเชื่อว่าหลายๆท่านที่ได้เติบโตมาในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙ ทรงงานหนักคงได้ตระหนักและเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว แต่คนรุ่นหลังอย่างเรา ถ้าหากไม่มีพระองค์ท่าน จะมีใครที่สนใจหมู่บ้านเล็กๆ ชาวกระเหรี่ยงบนดอยสูง หรือเข้าไปช่วยเหลือจังหวัดที่ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญ จะมีใครสร้างน้ำให้โปรยลงมาจากฟ้า ทำให้แผ่นดินที่แห้งแล้งกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง จะมีใครที่มาทำให้ดินที่ใช้การไม่ได้กลับมาใช้การได้เหมือนอย่างเคย จะมีใครที่สนใจใส่ใจประชาชนได้เยี่ยงพระองค์ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" เราไม่ได้พบเจอกับสถานการณ์เหล่านี้ด้วยตนเอง แต่เราได้ฟังได้ศึกษาได้ค้นคว้า และได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำไว้ จังหวัดบ้านเกิดของเราเป็นจังหวัดเล็กๆที่ไม่เคยมีใครให้ความสำคัญ ไม่เป็นแม้กระทั่งทางผ่านด้วยซ้ำไป แต่กลับมีพระองค์ท่านที่เข้ามาใส่ใจมาดูแลประชาชนในจังหวัดเล็กๆของเรานี้ ทุกๆครั้งที่เราเขียนบทความเรามักจะจบด้วยคำว่าเราภูมิใจที่เราได้เกิดในแผ่นดินนี้ และในวันหนึ่งข้างหน้าเราจะบอกลูกหลานว่าเราเกิดในแผ่นดินรัชกาลที่๙ เราไม่ได้จบเพื่อให้บทความดูสวยหรู ไม่ได้จบเพื่อให้ดูดี แต่เราจบด้วยประโยคนี้จากใจเราจริงๆ วันหนึ่งข้างหน้า เราจะบอกลูกหลาน บอกเด็กๆรุ่นใหม่ว่าพระองค์ทรงทำเพื่อเรามากมายถึงเพียงไหน เราจะบอกให้ทุกๆคนได้รู้ว่าประเทศไทยโชคดีเพียงใดที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงพระองค์ ณ เวลานี้ เราไม่อาจะไปเข้าเฝ้าหรือรับเสด็จพระองค์ได้อีก พระวรกายของพระองค์ได้จากไปแล้วแต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั้นคือรอยเท้าที่พระองค์ทรงเดินไว้เป็นแบบอย่างแก่พวกเรา จากนี้ไปเราอาจะเป็นแค่คนเล็กๆคนหนึ่งไม่ได้มีหน้าที่หรือบทบาทอันใหญ่โต แต่เด็กตัวเล็กๆคนนี้จะขอเดินตามรอยเท้าของพระองค์ต่อไป

ขอน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่