
+++ เอาแล้ว!!!! ราชกิจจาฯบังคับใช้แล้ว!! พ.ร.บ.กองทุนกู้ยืมการศึกษา (กยศ.) นายจ้างหักเงินเดือนคืนกองทุนได้ +++
.
แบบย่อสรุปสาระสำคัญ
ผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่
(1) ให้ความยินยอมในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน เพื่อให้ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1)
แห่งประมวลรัษฎากร หักเงินได้พึงประเมินของตนตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบเพื่อชำระเงินกู้ยืม
เพื่อการศึกษาคืนกองทุน
(2) แจ้งสถานะการเป็นผู้กู้ยืมเงินต่อหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชนที่ตนทำงานด้วยภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่เริ่มปฏิบัติงาน และยินยอมให้หักเงินได้พึงประเมินของตนเพื่อดำเนินการตามมาตรา 51
(3) ยินยอมให้กองทุนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่อยู่ในครอบครองของบุคคลอื่น รวมทั้งยินยอม
ให้กองทุนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุน
นายจ้าง ทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่
หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว
เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ โดยให้นำส่งกรมสรรพากรภายในกำหนดระยะ
เวลานำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ฉบับเต็ม
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ได้มีผล
บังคับใช้แล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา สาระสำคัญระบุให้ยกเลิกพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อ
การศึกษา พ.ศ.2541 นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเข้มงวดในการชำระคืนเงินกู้เพื่อการศึกษา หลังจากที่ผ่านมา
ประสบปัญหาผู้กู้ไม่ยอมใช้คืนคิดเป็นวงเงินมหาศาล
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ในหมวด 4 การให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา
มาตรา 42 ผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญากู้ยืมเงินโดยเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ในการบริหารกองทุนและ
การติดตามการชำระเงินคืนกองทุน ผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่ ดังนี้ (1) ให้ความยินยอมในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน เพื่อให้
ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร หักเงินได้พึงประเมินของตนตามจำนวน
ที่กองทุนแจ้งให้ทราบเพื่อชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาคืนกองทุน (2) แจ้งสถานะการเป็นผู้กู้ยืมเงินต่อหัวหน้า
หน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชนที่ตนทำงานด้วยภายใน 30 วันนับแต่วันที่เริ่มปฏิบัติงาน และยินยอมให้หักเงินได้
พึงประเมินของตนเพื่อดำเนินการตามมาตรา 51 (3) ยินยอมให้กองทุนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่อยู่ใน
ครอบครองของบุคคลอื่น รวมทั้งยินยอมให้กองทุนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุน
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ในหมวด 5 มาตรา 44 เมื่อผู้กู้ยืมเงินสำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว
มีหน้าที่ต้องชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ได้รับไปตามสัญญากู้ยืมเงินคืนให้กองทุน ตามจำนวน ระยะเวลา
และวิธีการที่กองทุนแจ้งให้ทราบ ฯลฯ ผู้จัดการอาจผ่อนผันให้ผู้กู้ยืมเงินชำระเงินคืนกองทุนแตกต่างไปจาก
จำนวนระยะเวลา หรือวิธีการที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง หรือลดหย่อนหนี้ หรือระงับการชำระเงินคืนกองทุน
ตามที่ผู้กู้ยืมเงินร้องขอเป็นรายบุคคล หรือเป็นการทั่วไปก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่
คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา 19 (11) ในกรณีที่ผู้กู้ยืมเงินผู้ใดผิดนัดการชำระเงินคืนกองทุน และไม่ได้รับ
อนุญาตให้ผ่อนผันตามวรรคสาม คณะกรรมการจะกำหนดให้ผู้กู้ยืมเงินต้องเสียเงินเพิ่มอีกไม่เกินร้อยละ 1.5
ต่อเดือนก็ได้
.
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ทั้งนี้ ในมาตรา 45 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการบริหารกองทุนและการติดตามการชำระ
เงินคืนกองทุนให้กองทุนมีอำนาจดำเนินการ ดังนี้ (1) ขอข้อมูลส่วนบุคคลของผู้กู้ยืมเงินจากหน่วยงาน หรือ
องค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชน หรือบุคคลใดซึ่งเป็นผู้ครอบครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว (2) เปิดเผยข้อมูล
เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุนของผู้กู้ยืมเงินให้แก่หน่วยงาน หรือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
หรือบุคคลใดตามที่ร้องขอ (3) ดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ที่คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา 19 (14)
การดำเนินการตาม (1) และ (2) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 46 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการของกองทุนตามมาตรา 45 (1) ให้หน่วยงาน หรือองค์กรทั้งภาครัฐ
และเอกชน หรือบุคคลใดซึ่งเป็นผู้ครอบครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้กู้ยืมเงิน จัดส่งข้อมูล ให้กองทุนตามที่
กองทุนร้องขอภายในเวลาอันสมควร นอกจากนี้ มาตรา 50 ระบุว่า หนี้ที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.นี้ ให้กองทุนมี
บุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของผู้กู้ยืมเงินในลำดับแรกถัดจากค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นประจำวัน
ตามมาตรา 253 (4) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในมาตรา 51 ระบุด้วยว่า ให้บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลทั้งภาครัฐและเอกชน
ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงิน
ซึ่งเป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนตามจำนวนที่กองทุน
แจ้งให้ทราบ โดยให้นำส่งกรมสรรพากรภายในกำหนดระยะเวลานำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดการหักเงินตามวรรคหนึ่ง ต้องหักให้กองทุนเป็น
ลำดับแรกถัดจากการหักภาษี ณ ที่จ่าย และการหักเงินเข้ากองทุนที่ผู้กู้ยืมเงินต้องถูกหักตามกฎหมายว่าด้วย
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
และกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม เมื่อกรมสรรพากรได้รับเงินจากผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้นำส่งกองทุนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวง
การคลัง
.
“ถ้าผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวรรคหนึ่งไม่ได้หักเงินได้พึงประเมิน หัก และไม่ได้นำส่ง หรือนำส่งแต่ไม่ครบ
ตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ หรือหัก และนำส่งเกินกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้จ่ายเงินได้พึง
ประเมินรับผิดชดใช้เงินที่ต้องนำส่งในส่วนของผู้กู้ยืมเงินตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ และต้องจ่ายเงิน
เพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินยังไม่ได้นำส่ง หรือตามจำนวนที่ยัง
ขาดไป แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ นับแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดต้องนำส่งตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ผู้จ่ายเงินได้พึง
ประเมินได้หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินไว้แล้ว ให้ถือว่าผู้กู้ยืมเงินได้ชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาตาม
จำนวนที่ได้หักไว้แล้ว”
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับ พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2541
ฉบับเดิมได้กำหนดในหมวด 5 การนำส่งเงินกองทุน มาตรา 53 เมื่อผู้กู้สำเร็จการศึกษา หรือเข้าทำงาน
ต้องแจ้งที่อยู่ หรือสถานที่ทำงาน พร้อมทั้งเงินเดือนและค่าจ้างที่ได้รับให้กับผู้บริหารและจัดการเงินให้
กู้ยืมภายใน 30 วันนับจากวันที่เข้าทำงาน ให้เป็นหน้าที่ผู้บริหารและจัดการเงินกองทุนติดตาม และประสาน
กับผู้กู้ยืมเงินเพื่อการชำระเงินที่กู้คืน ในการนี้ จะขอความร่วมมือจากนายจ้างให้ช่วยหักเงินเดือนและค่าจ้าง
นำส่งผู้จัดการเงินให้กู้ยืมด้วยก็ได้ ซึ่งในส่วนนี้เป็นเพียงการขอความร่วมมือจากนายจ้างให้หักเงินเดือนผู้กู้ยืม
เงินได้ แต่ตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่ กำหนดให้เป็นกฎหมายที่นายจ้างต้องหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้กองทุน
กยศ. ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 มกราคม
ที่ผ่านมา เรื่อง พ.ร.บ.กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้ว่า ยังไม่ขอให้รายละเอียด
ในเรื่องดังกล่าวได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับทราบรายละเอียดของเนื้อหา พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่จะพิจารณาเรื่องนี้
ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ และพร้อมชี้แจงหลักการและเหตุผลในประเด็นต่างๆ ในวันที่ 30 มกราคม
cr.ข่าว - มติชนออนไลน์ @
http://www.matichon.co.th/news/445689
+++ เอาแล้ว !!! ราชกิจจาฯบังคับใช้แล้ว!! พ.ร.บ.กองทุนกู้ยืมการศึกษา (กยศ.) นายจ้างหักเงินเดือนคืนกองทุนได้ +++
+++ เอาแล้ว!!!! ราชกิจจาฯบังคับใช้แล้ว!! พ.ร.บ.กองทุนกู้ยืมการศึกษา (กยศ.) นายจ้างหักเงินเดือนคืนกองทุนได้ +++
.
แบบย่อสรุปสาระสำคัญ
ผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่
(1) ให้ความยินยอมในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน เพื่อให้ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1)
แห่งประมวลรัษฎากร หักเงินได้พึงประเมินของตนตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบเพื่อชำระเงินกู้ยืม
เพื่อการศึกษาคืนกองทุน
(2) แจ้งสถานะการเป็นผู้กู้ยืมเงินต่อหัวหน้าหน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชนที่ตนทำงานด้วยภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่เริ่มปฏิบัติงาน และยินยอมให้หักเงินได้พึงประเมินของตนเพื่อดำเนินการตามมาตรา 51
(3) ยินยอมให้กองทุนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่อยู่ในครอบครองของบุคคลอื่น รวมทั้งยินยอม
ให้กองทุนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุน
นายจ้าง ทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่
หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินซึ่งเป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว
เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ โดยให้นำส่งกรมสรรพากรภายในกำหนดระยะ
เวลานำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
----------------------------------------------------------------------------------------------------
ฉบับเต็ม
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ได้มีผล
บังคับใช้แล้ว เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา สาระสำคัญระบุให้ยกเลิกพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อ
การศึกษา พ.ศ.2541 นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเข้มงวดในการชำระคืนเงินกู้เพื่อการศึกษา หลังจากที่ผ่านมา
ประสบปัญหาผู้กู้ไม่ยอมใช้คืนคิดเป็นวงเงินมหาศาล
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 ในหมวด 4 การให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา
มาตรา 42 ผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญากู้ยืมเงินโดยเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ในการบริหารกองทุนและ
การติดตามการชำระเงินคืนกองทุน ผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่ ดังนี้ (1) ให้ความยินยอมในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน เพื่อให้
ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร หักเงินได้พึงประเมินของตนตามจำนวน
ที่กองทุนแจ้งให้ทราบเพื่อชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาคืนกองทุน (2) แจ้งสถานะการเป็นผู้กู้ยืมเงินต่อหัวหน้า
หน่วยงานภาครัฐ หรือเอกชนที่ตนทำงานด้วยภายใน 30 วันนับแต่วันที่เริ่มปฏิบัติงาน และยินยอมให้หักเงินได้
พึงประเมินของตนเพื่อดำเนินการตามมาตรา 51 (3) ยินยอมให้กองทุนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนที่อยู่ใน
ครอบครองของบุคคลอื่น รวมทั้งยินยอมให้กองทุนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุน
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้ ในหมวด 5 มาตรา 44 เมื่อผู้กู้ยืมเงินสำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว
มีหน้าที่ต้องชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ได้รับไปตามสัญญากู้ยืมเงินคืนให้กองทุน ตามจำนวน ระยะเวลา
และวิธีการที่กองทุนแจ้งให้ทราบ ฯลฯ ผู้จัดการอาจผ่อนผันให้ผู้กู้ยืมเงินชำระเงินคืนกองทุนแตกต่างไปจาก
จำนวนระยะเวลา หรือวิธีการที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง หรือลดหย่อนหนี้ หรือระงับการชำระเงินคืนกองทุน
ตามที่ผู้กู้ยืมเงินร้องขอเป็นรายบุคคล หรือเป็นการทั่วไปก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่
คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา 19 (11) ในกรณีที่ผู้กู้ยืมเงินผู้ใดผิดนัดการชำระเงินคืนกองทุน และไม่ได้รับ
อนุญาตให้ผ่อนผันตามวรรคสาม คณะกรรมการจะกำหนดให้ผู้กู้ยืมเงินต้องเสียเงินเพิ่มอีกไม่เกินร้อยละ 1.5
ต่อเดือนก็ได้
.
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ทั้งนี้ ในมาตรา 45 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ในการบริหารกองทุนและการติดตามการชำระ
เงินคืนกองทุนให้กองทุนมีอำนาจดำเนินการ ดังนี้ (1) ขอข้อมูลส่วนบุคคลของผู้กู้ยืมเงินจากหน่วยงาน หรือ
องค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชน หรือบุคคลใดซึ่งเป็นผู้ครอบครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว (2) เปิดเผยข้อมูล
เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน และการชำระเงินคืนกองทุนของผู้กู้ยืมเงินให้แก่หน่วยงาน หรือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน
หรือบุคคลใดตามที่ร้องขอ (3) ดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ที่คณะกรรมการกำหนดตามมาตรา 19 (14)
การดำเนินการตาม (1) และ (2) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง
มาตรา 46 เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการของกองทุนตามมาตรา 45 (1) ให้หน่วยงาน หรือองค์กรทั้งภาครัฐ
และเอกชน หรือบุคคลใดซึ่งเป็นผู้ครอบครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้กู้ยืมเงิน จัดส่งข้อมูล ให้กองทุนตามที่
กองทุนร้องขอภายในเวลาอันสมควร นอกจากนี้ มาตรา 50 ระบุว่า หนี้ที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.นี้ ให้กองทุนมี
บุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของผู้กู้ยืมเงินในลำดับแรกถัดจากค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นประจำวัน
ตามมาตรา 253 (4) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในมาตรา 51 ระบุด้วยว่า ให้บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลทั้งภาครัฐและเอกชน
ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงิน
ซึ่งเป็นพนักงาน หรือลูกจ้างของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าว เพื่อชำระเงินกู้ยืมคืนตามจำนวนที่กองทุน
แจ้งให้ทราบ โดยให้นำส่งกรมสรรพากรภายในกำหนดระยะเวลานำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนดการหักเงินตามวรรคหนึ่ง ต้องหักให้กองทุนเป็น
ลำดับแรกถัดจากการหักภาษี ณ ที่จ่าย และการหักเงินเข้ากองทุนที่ผู้กู้ยืมเงินต้องถูกหักตามกฎหมายว่าด้วย
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน
และกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม เมื่อกรมสรรพากรได้รับเงินจากผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้นำส่งกองทุนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวง
การคลัง
.
“ถ้าผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวรรคหนึ่งไม่ได้หักเงินได้พึงประเมิน หัก และไม่ได้นำส่ง หรือนำส่งแต่ไม่ครบ
ตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ หรือหัก และนำส่งเกินกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้จ่ายเงินได้พึง
ประเมินรับผิดชดใช้เงินที่ต้องนำส่งในส่วนของผู้กู้ยืมเงินตามจำนวนที่กองทุนแจ้งให้ทราบ และต้องจ่ายเงิน
เพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินที่ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินยังไม่ได้นำส่ง หรือตามจำนวนที่ยัง
ขาดไป แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ นับแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดต้องนำส่งตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ผู้จ่ายเงินได้พึง
ประเมินได้หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินไว้แล้ว ให้ถือว่าผู้กู้ยืมเงินได้ชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาตาม
จำนวนที่ได้หักไว้แล้ว”
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับ พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2541
ฉบับเดิมได้กำหนดในหมวด 5 การนำส่งเงินกองทุน มาตรา 53 เมื่อผู้กู้สำเร็จการศึกษา หรือเข้าทำงาน
ต้องแจ้งที่อยู่ หรือสถานที่ทำงาน พร้อมทั้งเงินเดือนและค่าจ้างที่ได้รับให้กับผู้บริหารและจัดการเงินให้
กู้ยืมภายใน 30 วันนับจากวันที่เข้าทำงาน ให้เป็นหน้าที่ผู้บริหารและจัดการเงินกองทุนติดตาม และประสาน
กับผู้กู้ยืมเงินเพื่อการชำระเงินที่กู้คืน ในการนี้ จะขอความร่วมมือจากนายจ้างให้ช่วยหักเงินเดือนและค่าจ้าง
นำส่งผู้จัดการเงินให้กู้ยืมด้วยก็ได้ ซึ่งในส่วนนี้เป็นเพียงการขอความร่วมมือจากนายจ้างให้หักเงินเดือนผู้กู้ยืม
เงินได้ แต่ตาม พ.ร.บ.ฉบับใหม่ กำหนดให้เป็นกฎหมายที่นายจ้างต้องหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้กองทุน
กยศ. ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวถึงประกาศราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 มกราคม
ที่ผ่านมา เรื่อง พ.ร.บ.กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้ว่า ยังไม่ขอให้รายละเอียด
ในเรื่องดังกล่าวได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับทราบรายละเอียดของเนื้อหา พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่จะพิจารณาเรื่องนี้
ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ และพร้อมชี้แจงหลักการและเหตุผลในประเด็นต่างๆ ในวันที่ 30 มกราคม
cr.ข่าว - มติชนออนไลน์ @ http://www.matichon.co.th/news/445689