ไม่ต้องเรียนเมืองนอก ก็พูดภาษาอังกฤษได้ !!!

หลายๆคนคงจะเคยได้ยินนะคะว่า "ถ้าไปเรียนเมืองนอก(ต่างประเทศ) จะทำให้พูดภาษาอังกฤษได้"

และหลายๆคนเมื่อได้อ่านประโยคด้านบนก็คงรู้สึกกังวลในใจ และเกิดความคิดและคำพูดมากมายว่า
"โอ้โหหห นี่เราจะต้องเสียเงิน เพื่อไปเรียนภาษา เพื่อให้พูดได้จริงๆเหรอเนี่ยย ? "
"เราไม่มีเงิน ชาตินี้คงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แล้วล่ะ"
"ฝึกให้ตาย ก็สู้พวกที่ไปเรียนนอกหรือพวกเด็กแลกเปลี่ยนไม่ได้หรอก"
"แม่ๆๆๆ หนูขอตังไปแลกเปลี่ยนหน่อย จะได้พูดภาษาอังกฤษได้เหมือนคนอื่นเขา.."

ก่อนอื่น ต้องลบความคิดพวกนี้ออกไปจากสมองของคุณ ณ ตอนนี้เลย !!!

จริงๆแล้วเนี่ย มันก็ไม่ผิดนะคะที่จะคิดว่าไปเรียนต่างประเทศแล้ว จะทำให้พูดภาษาอังกฤษได้ แต่ในยุคสมัยนี้ 2017 แล้ว บอกเลย ว่าไม่จำเป็น

มีวิธีมากมายให้คุณได้ฝึกฝน หลายช่องทาง และเราก็เป็นคนนึงที่พิสูจน์มาแล้ว เราเป็นคนไทยแท้ที่ไม่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนหรือเรียนเมืองนอกเลยแต่ก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีระดับนึง

ตอนนี้ ขึ้นอยู่กับคุณแล้วล่ะ ว่าจะไปต่อ หรือจะนั่งจมปักอยู่กับความคิดและเรียนวิธีเดิมๆ ? คุณเลือกได้...

ถ้าคุณเลื่อนลงมาถึงตรงนี้ นั่นหมายความว่าคุณอยากจะไปต่อใช่มั้ยคะ ? มา ! เรามาเปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับภาษาอังกฤษกัน !

การที่คุณจะมาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษเนี่ย คุณต้องรู้ก่อนว่าคุณนั้น เรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ?
-เพื่อพูด/ฟัง
-เพื่อเขียน
-เพื่ออ่าน
-เพื่อสอบ (ส่วนใหญ่มักจะอันนี้นะ 555555)
บอกเลยนะคะว่าสิ่งนี้สำคัญมาก เพราะการเรียนภาษาอังกฤษนั้น แต่ละสกิลฝึกไม่เหมือนกัน ฉะนั้นคุณต้องเลือกให้ได้ก่อนว่าคุณนั้นอยากฝึกภาษาอังกฤษเพื่ออะไร ?

สำหรับคนที่ลังเลนะคะ ถ้าคุณเข้ามาในกระทู้นี้ แล้วคุณหวังว่าคุณจะได้สกิลการ เขียน อ่าน สอบกลับไปล่ะก็ บอกไว้ก่อนเลยนะคะ ว่า ไม่ได้ 5555

แต่ถ้าคุณยังยืนยันอยู่ว่าอยากพูดภาษาอังกฤษได้ มา ! ไปต่อ

กระทู้นี้จะมาแนะแนวทางเกี่ยวกับทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ที่เราได้รับมาจากแหล่งต่างๆ มาแชร์เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ให้เพื่อนๆ ซึ่งมันทำให้เราสามารถ สื่อสารกับชาวต่างชาติได้ จะเป็นออกแนวเล่าเรื่องมากกว่าว่า ตัวเรานั้นผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้แล้ว เข้าใจง่าย จากคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย สามารถ สื่อสารได้ดีระดับนึง อาจจะขัดๆกับการศึกษาไทยหน่อย แต่ก็เวิร์กนะ ยิ้ม

เราออกตัวก่อนเลยนะคะว่าเราเป็นคนไม่ถนัดแกรมม่า แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดเรียงประโยคไม่เป็นนะเออ 5555

จุดเริ่มต้นของการฝึกภาษาอังกฤษเนี่ย  มันเริ่มตอนเราอยู่ ม.1
เกริ่นก่อนว่าเราเป็นคนเรียนด้อยมาก เรียนไม่เก่งวิชาอะไรเลย ครูที่เรียนพิเศษที่เราเรียนอยู่ตอนป.6 เขาบอกกับแม่เราว่าเราเรียนสายวิทย์ไม่รอดแน่ๆ แม่เราเลยให้เราสอบเข้าโครงการ English Program ตอนม.1 แทน (อ๊ะๆๆๆ อย่าเพิ่งคิดนะคะว่า"เรียน EP ก็ต้องพูดอังกฤษได้สิ" นั่นไม่ใช่ประเด็นค่ะ สิ่งที่จะมาเล่าในกระทู้นี้คือ อาจารย์ฝรั่งน่ะ เขาสอนเราแบบไหน เขาสอนเด็กที่ไม่รู้เรื่องภาษาให้เข้าใจและพูดได้อย่างไร ขอบอกเลยว่า ง่ายๆ ชิลๆ ไม่ต้องท่อง และไม่ต้องเรียน EP ก็ฝึกได้ค่ะ)

EP ของโรงเรียนเรานั้น มีแบ่งเป็น 2 ห้องค่ะ จะมีห้องที่รวมเด็กเก่งจริงๆ คือห้องที่ 1 ห้องที่รวมเด็กกากๆ คือห้องที่ 2 (ให้ทายว่าเราอยู่ห้องไหน? -3-)
คงไม่ต้องเดานะคะ 55555 เราอยู่ EP ห้องที่ 2 ตอนที่เราสอบสัมภาษณ์ เราตอบอาจารย์ฝรั่งไม่ได้ซักประโยค แต่ก็ติด เนื่องจาก EP มันรับคนน้อย ฉะนั้นต่อให้กากแค่ไหน ก็ติดค่ะ ขอพูดตามความจริงละกัน เอาเป็นว่าเราเริ่มจาก 0 จริงๆค่ะ

วันแรกของการมาเรียน บอกเลยว่า ช็อค !!!! ไม่เคยเรียน แล้วเจอฝรั่งมาพูดฉอดๆๆๆๆใส่หน้าขนาดนี้มาก่อน เริ่มแรกบอกเลยค่ะว่าหนักใจมาก เพราะฟังไม่ออก เราพูดไม่ได้ ได้แค่ Yes, No, don't understand  ได้แค่นี้ แต่โชคดีที่ในห้องเรา มีเพื่อนบางคนที่พอฟังรู้เรื่อง ก็คอยแปลให้เวลาอาจารย์สอนหรือสั่งงาน

เริ่มต้นบทเรียน อาจารย์ฝรั่ง เขาสอนเราเรื่องการอ่านออกเสียง A-Z ใหม่หมดเลย แล้วก็พวกตัวอักษรอ่านยากๆอย่าง R H J Z เขาก็สอนให้ใหม่หมดเลย ห่อลิ้นให้ดูด้วย ซึ่งตัวอักษรเหล่านี้มันไม่มีในภาษาไทย มันยากมาก สำหรับการเริ่มต้น..

* สำหรับใครอยากฝึกการอ่านออกเสียงเบื้องต้น แนะนำให้ไปดู คุณครู Rachel ใน Youtube นะคะ มีสอนละเอียดมาก และที่สำคัญ มันฟรีค่ะ ><  เราก็ฝึกจากคุณครูคนนี้ด้วยเหมือนกัน ตามไปฝึกได้ตามลิ้งได้เลยค่ะ คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ลองฝึกดูค่ะ ฝึกไปอัดเสียงไป แล้วลองฟังเทียบดูว่าใกล้เคียงหรือยัง ถ้ายัง ลองดูว่าตัวเองทำปากเหมือนเขาหรือเปล่า เอาให้เป๊ะทุกอิริยาบถนะคะไม่ต้องอาย ด้านได้อายอดนะคะ 55555

พออาจารย์เขามั่นใจแล้วว่าเด็กๆของเขาสามารถออกเสียงได้ถูกขึ้นมาระดับนึงแล้ว เขาก็จะเริ่มสอน การแยกSubject  Verb Object ให้ออก คือให้ฝึกหาว่าอันไหนคือ ประธาน อันไหนคือกริยา อันไหนคือกรรม แล้วก็โยงมายันเรื่องที่นรกที่สุดคือ
แกรมม่า !!!!!!!!!!

พออาจารย์บอกจะสอนแกรมม่า เรานี่ใจสลายยยยยยย ... นี่เราต้องมาเรียนไอ้ประโยคที่มันซับซ้อนๆเยอะๆจริงๆหรือนี่ ไม่น้าาาาาา.....!!! TT

อาจารย์ฝรั่งแกเหมือนรู้ทันนะคะ แกบอกว่า Don't worry, I am not gonna teach you all of 12 tenses but just 4. (ใจเย็นๆเด็กๆอย่ากังวลไป ผมไม่สอนพวกคุณทั้ง 12 tenses หรอกน่า ผมจะสอนพวกคุณแค่ 4 )

แล้วอาจารย์ยังบอกอีกว่าพวกคุณรู้แค่ 4 Tenses นี้นะ พูดได้เลย

ซึ่งเฉลยเลยละกัน 4 Tenses ที่ว่า คือ
-Present simple
-Past simple
-Future simple
-Present continuous

นี่คือ Tense ที่ อาจารย์จะสอน ให้เด็กม.1 พูดได้ มีแค่4 ดูน้อยไปเลยใช่มั้ยคะจากทั้งหมด 12 -0-
เขาบอกชีวิตคนเราก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่รู้ว่า เราเป็นใคร(Present simple) ตอนนี้เรากำลังทำอะไร (Present continuous) เมื่อวานเราทำอะไร (Past simple) แล้วอนาคตจะทำอะไร (Future simple) ก็พอแล้ว แล้วเขาก็เริ่มสอน เราจะสรุปออกมาให้ง่ายๆละกันนะคะ
Present simple = S+V  (เป็นสิ่งที่เป็นอยู่โดยธรรมชาติ เช่น I am a girl. ไม่ว่าจะวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเมื่อวานนี้ เราก็ยังคงเป็นผู้หญิง ถูกมั้ยคะ555)
Past simple = S+V2 (สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต I saw you yesterday. ฉันเห็นคุณเมื่อวานนี้ วันนี้ไม่เห็น แต่เห็นเมื่อวานไง )
Future simple =S+will + V.infinitive(V.1 นั่นแหละจำง่ายๆ)  (สิ่งที่จะเกิดในอนาคต I will do homework tomorrow. ฉันจะทำการบ้านพรุ่งนี้)

ก็ประมาณนี้นะคะ เรื่อง Tense เนี่ยคนไทยหลายๆคนน่าจะช่ำชอง 5555 ยกเว้นเรา เอาเป็นว่าสำหรับใครที่ไม่ได้จริงๆ ก็ลองฝึกทำความเข้าใจทั้ง 4  Tense นี้ดูนะคะ ทั้ง 4 Tenseนี้ ใช้ง่ายสุดละ เพราะถ้าเทียบกับพวก Perfect con. บลาๆ พอดีล่ะ อาจจะกลัวการพูดไปซะก่อน งั้นเอาเท่านี้ก่อนละกัน พอถนัด 4 Tense นี้แล้ว ก็ค่อยๆฝึก tense อื่นๆ จนครบ 12 Tenses ก็ยังได้นะคะ

ถามว่าได้เรื่องมั้ยจากการเรียนแกรมม่าครั้งนี้ มันก็อาจจะไม่ได้เต็มประสิทธิภาพหรอกค่ะ แค่พอเข้าใจ แต่ก็ยังใช้แบบงั่งๆเหมือนเดิม เหมือนที่บางคอมเม้นบอกว่าเริ่มจากแกรมม่าก็ไม่ค่อยเวิร์ก แต่อย่างว่าแหละค่ะ มันก็ต้องฝึกไปเรื่อยๆ ที่มาเล่าให้ฟังเนี่ย Key มันอยู่ที่ อาจารย์แกสอนให้พูดโดยใช้แค่ 4 Tense ก็พอสื่อสารได้ สิ่งที่เราต้องทำต่อไปก็คือ พยายามฝึกใช้บ่อยๆให้คุ้นชินค่ะ

พอขึ้นม.2 อาจารย์สอนภาษาอังกฤษก็เปลี่ยนคน เป็นอาจารย์ฝรั่งหนุ่มอีกคนนึง การสอนของแกแทบไม่มีอะไรเลย ดูติสๆ เข้ามานั่ง ไม่ทำอะไรเลย เปิดเพลงให้ฟังทั้งคาบ เพลงที่แกเปิดจะเป็นเพลงสากลเก่าๆ ตอนแรกๆ เขาก็ปล่อยให้ฟังเฉยๆ เราก็ฟังบ้างคุยกับเพื่อนบ้าง พอสอนได้ประมาณครั้งที่ 2 หรือ 3นี่แหละ ทุกครั้งที่เข้าสอน เขาจะเข้ามาเปิดเพลงสากลเก่าๆให้ฟัง แล้วก็แจกกระดาษที่เต็มไปด้วยเนื้อร้องที่ถูกเว้นว่างไว้บางประโยค และแน่นอนค่ะ ... ให้นักเรียนเติมประโยคที่หายไปจากเพลงให้ถูกต้อง ซึ่งมันยากมากกกกกกกกกกกก เพราะอะไรรู้มั้ยคะ เพลงสากลสมัยเก่ามันฟังยากมากกกกก แล้วเสียงก็ขาดๆหายๆ คือจับใจความยากมาก หรือเพราะเรายังเด็กและไม่เคยฟังเพลงสไตล์นี้ก็ไม่รู้นะคะ 555555 เพลงที่อาจารย์เปิด ก็จะเป็นเพลงของพวก The Chi-Lites , Heatwave , The Carpenters หรือ The Beatles จริงๆมีมากกว่านี้นะคะ แต่จำชื่อไม่ได้ละ 55555 ทำแบบนี้เกือบทั้งเทอม แต่อาจารย์แกไม่ได้ซีเรียสนะคะ พอท้ายคาบ อาจารย์แกก็เฉลย ไม่ได้เก็บคะแนนหรืออะไร บางคนเรียนเสร็จก็ทิ้งกระดาษเลย แต่บางคนก็กลับไปฟังต่อ ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในคนที่กลับไปฟังต่อ ถึงมันจะเก่า ฟังยาก แต่ด้วยความที่มันเป็นแบบนี้ มันเลยท้าทาย ก็ฝึกฟังไปเรื่อยๆ แล้วที่น่าแปลกใจมาก คือการฟังของเราดีขึ้นทันตา เราเริ่มเข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดมากขึ้น นั่นหมายความว่าการฟังเพลง ก็มีส่วนช่วยให้เราฟังเข้าใจมากขึ้น เพราะเพลงมันยากนะคะต่อการจับคำในช่วงแรกๆ เพราะน้ำเสียงมีขึ้นๆลงๆ แต่ถ้าฝึกบ่อยๆมันจะทำให้เราฟังดีมากขึ้นค่ะ

ส่วนม.3 ก็ไม่มีอะไรเลย ชีวิตเน่าที่สุด เพราะทุกอย่างเป็นแกรมม่า เลยไม่ขอเล่าละกัน เพราะแทบไม่ได้อะไรเลย

พอจบ EP มา ถามว่าภาษาอังกฤษไปถึงไหนแล้ว?...ก็ ฟังพอได้ พูดพอเป็น พูดชัดทุกคำ แต่โทนสำเนียงไทยนะคะ55555  พูดช้ามากกก แต่พูดชัด แต่ไม่มีจังหวะขึ้นลงเหมือนชาวต่างชาติ เรียกง่ายๆว่าสำเนียงไทยนั่นเอง

ต่อมาเป็นช่วงเวลาเข้าม.4 เราเรียนสายศิลป์คำนวณปกติ และนี่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเรามากๆ ได้มาเจอเพื่อนใหม่ๆ หลายแนว และสิ่งสำคัญได้รู้จักคำว่า"สำเนียง" เรามารู้จักคำนี้ก็ตอนที่เพื่อนของเรา นำเสนองานหน้าชั้นเป็นภาษาอังกฤษ หลายๆคนมีการพูดภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน และนั่นทำให้เรารู้ว่า " เห้ย !! ภาษาอังกฤษมีสำเนียงด้วยอ่ะ ไม่เคยสังเกตมาก่อน" เพื่อนในห้องเรามีความหลากหลายของสำเนียงมาก บางคนพูดสำเนียงAmerican บางคนพูดสำเนียง British บางคนพูดสำเนียง Cockney บางคนพูดสำเนียงฝรั่งเศสก็มี(มันพูดภาษาฝรั่งเศสได้เลยติดมา -3-)5555555 มีความหลากหลายมากๆ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เราอยากเปลี่ยนตัวเองเลยก็คือ ตอนที่เพื่อนคนนึงนำเสนองานเป็นภาษาอังกฤษจบ (นางพูดสำเนียง British) อาจารย์ฝรั่งที่สอนเราในคลาสนั้นเดินเข้ามาชมเพื่อนคนนี้ว่า "คุณพูดสำเนียง British ได้เหมือนกับเจ้าของภาษาเลยนะรู้ตัวหรือเปล่า" เพื่อนเราก็ยิ้มเขินๆ ก็ แต๊งกิ้วกันไป หลังจากเหตุการณ์วันนั้นมันทำให้เราประทับใจมาก เรารู้สึกว่า "เห้ย ! มันทำยังไงวะ ให้เจ้าของภาษาชม โคตรเท่เลยอ่ะ อยากเป็นแบบนั้นบ้าง อยากมีฟิลให้เจ้าของภาษาเข้าใจแล้วเดินมาชมบ้าง" เราเลยไม่รอช้า พอมันว่างเราไปนั่งคุยกับมันเลยว่า

"เห้ยแกทำยังไงวะ ให้พูดได้แบบนี้ เคยไปแลกเปลี่ยนรึเปล่า ?"
มันตอบว่า "ไม่เคย มันฝึกเอง"
เราก็ถามมันว่า "ฝึกยังไงให้พูดสำเนียงได้"
มันเล่าเรื่องของมันมาเลยว่า "มันเป็นคนชอบดูหนังเรื่อง Harry Potter มาก แต่มันบอกถึงจะชอบดูขนาดไหน มันก็ไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่ตัวละครพูดเลย มันบอกว่ามันอยากเข้าใจว่าตัวละครพูดอะไรโดยที่ไม่ต้องดู Subtitles มันเลยโหลดไฟล์หนัง เอามาเปลี่ยนให้เป็นไฟล์เสียง MP3 แล้วฟังทุกวัน ฟัง จนว่ามันจะเข้าใจเรื่องราวนั้นหมดของหนังตอนนั้นๆ"

หลังจากฟังมันเล่า เรานี่รู้สึกตัวเล็กไปเลย นี่กูทำอะไรอยู่วะเนี่ย ??

เราถามมันว่าถ้าอยากฝึกภาษาอังกฤษควรเริ่มจากอะไร มันแนะนำให้เราไปฝึกดูซีรีย์ ดูหนังเยอะๆ อย่าดูข่าวนะ เพราะข่าวมันไม่ได้ใช้คำที่ใช้กันในชีวิตจริง เราก็ถามมันว่ามีซีรีย์ไรแนะนำบ้าง มันก็แนะนำมาพวก Glee, Gossip Girl, Teen wolf, Pretty Little Liars, Skins ไรพวกนี้ ก็พวกซีรีย์ที่คนส่วนใหญ่ดูกันนั่นแหละ เราก็ลองไปหาดูดู แรกๆก็ฝึกดู Pretty little liars แรกๆก็สนุกดี ดูแบบมี Sub ENG เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ได้รู้วิธีการใช้ Adverb จากหนัง อาจจะดูตลกนะที่เพิ่งรู้จักการใช้Adverb เพราะม.ปลายแล้ว แต่ขอพูดจริงๆว่าเพิ่งรู้จักการใช้ Actually, literally,intead etc. คือไม่เคยใช้มาก่อนเลย เพิ่งมารู้จักตอนดูหนัง แล้วหลังจากนั้นก็ฝึกใช้ทุกครั้งที่มีโอกาส ใส่เกือบทุกประโยค 55555 สุดท้ายแล้วหลังๆหนังเริ่มยืดเยื้อ เราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เลยเลิกดูไป
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่