10 ปี กับความรักคล้ายนิยาย น้ำเน่า ที่ยังไม่ออกหัวออกก้อย

ที่ตั้งกระทู้เพราะมันอัดอั้นตันใจ. พ่อเราไม่เห็นดีเห็นงามกับ ความรักของเราค่ะ
    ก่อนหน้านี้คือเข้าขั้น ขัดขวาง.  ล่าสุดคุยกับพ่อเมื่อปีใหม่ อย่างจริงจัง พ่อบอกให้แฟนเราเอาหลักฐานมา จะรักกันจริงๆ. ถามพ่อว่าหลักฐานคืออะไร  พ่อตอบว่าก็ไม่รู้. หลักฐานที่จะแสดงว่าจะรัก จะอยู่กับเราจริง ไม่ทิ้งไม่ขวางกัน
    ยิ่งคุย ยิ่งงง ยิ่งสับสน เลยไม่คุยละ พอละ ไม่ตงไม่แต่งมันละ อยู่อย่างนี้แหละ
   มันก็สาเหตุที่พ่อเค้าไม่โอเคกับคนนี้ แต่10ปีผ่านมามันยังพิสูจน์อะไรไม่ได้เหรอ

   ถ้าจะพูดว่า ก็แต่งกันสิ เดี๋ยวพ่อก็ดี.  จะแต่งได้ยังไง หน้าแฟนเราพ่อยังไม่มอง. แค่พูดถึงก็ฟึดฟัดแล้ว ไม่ให้เข้าบ้านด้วย

    ไม่รู้จะทำยังไง เจร้า

     อันนี้จะเล่าต้นสายปลายเหตุและเหตุการทั้งโม้ดดดด เลย  เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ. มันก็เกือบๆจะเป็นนิยายได้ แต่บรรยายไม่เป็น

*** ใครเอาไปทำพ็อตนิยายก็ส่งมาอ่านให้บ้างนะคะ***
**ขอไม่ใช้ชื่อจริงของบุคคลในเหตุการณ์ นะคะ เพราะบ้างคนก็มีครอบมีครัว ไปกันหมดแล้ว

ย้อนไปปี ๒๕๔๗ ตอนนั้นเข้า ม.๑ ใหม่ๆ
     เช้าวันนั้น สดใสจริงไรจริง (มานึกย้อนหลังแล้วมันรู้สึกแบบนั้นอ่ะค่ะ) กำลังกวาดพื้นอยู่ (รร.บ้านนอกค่ะ มีเขตรับผิดชอบ)
นางบี (เพื่อนในกลุ่มค่ะ) "ไปหา เจ เป็นเพื่อนหน่อย"  ทำไมเราต้องไปด้วย แต่ก็ไปค่ะเป็นคนแคร์เพื่อน  เมื่อไปถึงจุดที่ นายเจ อยู่ก็ โอ้ววว รูดซิปปากด้วยความเขินอาย ค่ะ เดอะแก๊งของ นายเจ ใหญ่มาก เด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่เลยนะคะ ตรงนั้น ไปถึง นางบีและนายเจก็ มุ้งมิ้งๆ กันไปเลยได้รู้พวกเค้าเป็นแฟนกันค๊าา แล้วเอาเรามาทำ แมว อะไร

     แต่ตอนนั้นไม่ได้ใส่ใจสองคนนั้นหรอกค่ะ เพราะสะดุดตากับ เด็กชายคนนึง สูงมากกกก สูงที่สุดในกลุ่มเลย ไม่ได้หล่อมาก แต่หน้าตาดีค่ะ ผิวเหลืองๆคล้ำตามประสาเด็กเล่นกลางแจ้งแหละค่ะ  เหตุตอนนั้นเกิดอะไร ใครคุยเรื่องไหนกันไม่รับรู้ค่ะ เราสนใจแค่เด็กชายคนนั้น สังเกตุทุกการกระทำค่ะ ขยับนิ้ว ขยับปาก ขยับตัว คิ้ว ตา  แต่แอบมองเนียนๆ ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจ้อง  ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกตกหลุมรักได้ไหม จำได้ตอนนั้นสนแค่ว่า เค้ากินอะไร ทำไมตัวสูงจัง อยากรู้ๆ (เราเตี๊ยไงตอนนั้น ๑๕๓ ได้มั้ง)
     สรุปแล้ววันนั้นก็ไปแบล็คกราวให้นางบีเฉยๆค่ะ นางบีก็ไม่ได้แนะนำใครให้เรารู้จัก ทุกคนรู้จักเราค่ะ พ่อทำงานใน รร. แต่เราไม่ได้รู้จักทุกคนนี่สิ เลยมาแย๊บๆถาม นางบี ค่ะ ว่าเด็กชายตัวสูงคนนั้นชื่อเสียงเรียงนามอันใด ก็ถามมันทุกคนในแก๊งนั้นแหละค่ะ เดี๋ยวมันหาว่าเราชอบใครในแก๊งนั้น รู้ชื่อละ (เรียก พี่สี ละกันเน๊าะ) แถมทั้งแก๊งนั้นหน่ะเป็นรุ่นพี่ ม.๓ จ้าาา ก็มี ม.๑ ปนๆอยู่

      หลังจากนั้นก็ได้เจ๊อะเจอ พี่สี แว๊บๆผ่าน หรือตอนนางบีลากไปนาย นายเจ บางครั้งบางคา เดินผ่านกันตอนเปลี่ยนคาบเรียนบ้าง ชะแง้คอข้ามหัวเพื่อนเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ตอนเช้าบ้าง ก็จะแอบมองพี่เค้า หลังๆกลายเป็นจ้องไปซะงั้น แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำค่ะ กลุ่มเพื่อนเรากับ แก๊งพี่เค้าก็รู้จักมักคุ้นกันมากขึ้นค่ะ   ๑ เทอมผ่านไปค่ะ กับการแอบจ้องพี่เค้า พร้อมสิ่งที่คาใจในหัว เค้ากินอะไร ทำไมตัวสูงจัง อยากรู้ๆ หลังๆมาเพื่อนก็รู้ค่ะว่าเราแอบ "จ้อง" พี่สี ก็มีแซวบ้าง แต่เราไม่ได้คิดอะไร เลยปล่อยเพื่อนมันล้อไปค่ะ


เทอม ๒ ค่ะ
     วันวาเลนไทน์ของปีนั้นค่ะ  อากาศเย็นๆ (ทำไมวันที่มีเรือง อากาศจะดีตลอดๆ ///><///)  ดอกกุหลาบที่เราประคบประหงมมาตลอดปี ก็แย้มกลีบค่ะ ก็มีเพื่อนๆพี่ๆ มาขอบ้าง มาซื้อบ้าง อาจจะเพราะหน้า รร.ขายแพง หรือซื้อไม่ทัน หรือไม่อยากซื้อมั้ง ก็เลยให้ๆเค้าไป เค้าเอาไปให้แฟนเค้า คิดว่าถ้าเรามีความรักเราจะได้สมหวังบ้าง อีกอย่างกุหลาบต้องตั้ดดอกค่ะ ถ้าปล่อยมันโรยมันจะไม่แตกตาใหม่ (บ้านอยู่ใน รร.ค่ะ เค้าเลยเห็นกุหลาบที่เราดูแล มีเกือบทุกสีค่ะ ยกเว้นสีดำ กับเขียวสมัยนั้นหายากค่ะ)

     มันมีอยู่ดอกนึก สวยมากกก สีขาวไม่บานดีแย้มกลีบกำลังงามค่ะ ตัดใจให้ใครไม่ได้จริงๆ เพื่อนๆก็แซวๆ เก็บไว้ให้ใคร แอบไปปิ้งปั้งกับใครอีก จำเป็นไหมต้องให้ใคร ก็มันสวยชั้นเสียดายอ่ะ แต่ไม่วายมีเรื่องค่ะ นางสุ เพื่อนในกลุ่มแหละค่ะ คนนี้ค่อนข้างสนิททีเดียว นางสุยุค่ะ "เอาไปให้พี่สีสิ พี่เค้ายังไม่มีใครให้ดอกไม้เลย เดี๋ยวเค้าอายเพื่อน"  เออจริง พี่เค้ายิ่งขี้เก๊กอยู่ เพื่อนๆถือดอกไม้กันหมด พี่เค้าไม่มีถือจะเสียเซลฟ์ไหมหน่ะ

"ไม่เอาอ่ะเดี๋ยวพ่อว่า" ไม่กล้าค่ะ เดี๋ยวพ่อหาว่ามีแฟน พ่อขี้ขางค่ะ (เราก็ไม่ได้สวยนะ อ้วน เตี๊ย ดำด้วย)
"เค้าเอาไปให้เอง" นางสุอาสาค่ะ ไอ้เราก็เชื่อเพื่อนค่ะ ให้ก็ให้ มันเหลือดอกเดียวแล้วค่ะ  ดอกอื่นๆ โดนแอบดึงไปก็เยอะค่ะ มีร่องรอย
"ถามพี่เค้าก่อนนะ ว่ามีใครให้รึยัง ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องให้พี่เค้านะ" ไอ้เราก็สั่งนางไปค่ะ แล้วยืนดูห่างๆ อย่างหวั่นๆค่ะ  

     นางสุเอาไปให้พี่สี  พี่เค้าก็หันมองมาทางเราด้วยเครื่องหมายคำถามเต็มหน้าค่ะ แล้วยิ้มแบบมีซัมติง พอนางกลับมาเราก็เลยถามว่า บอกพี่เค้าว่าไง
"บอกว่าเอ็งแอบชอบ" สตั้นค่ะ ตูไม่ได้สั่งอย่างนั้นนะ อายสิค่ะ พี่เค้ามองมาตลอดเลย ตั้งแต่ได้ดอกไม้ แทบแทรกแผ่นดินหนีค่ะ

     ตอนบ่ายของวันนั้นก็เป็นกิจกรรมวันภาษาอังกฤษของโรงเรียน พี่เค้าขึ้นไปเล่นดนตรี ก็ตั้งหน้าตั้งตาดูทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนที่เค้าแสดงแหละ ตามประสาคนมีมารยาทค่ะ แต่ก็โดนแซวว่า ตั้งหน้าตั้งตาดูเลยนะ งั้นงี้ไป แต่พี่เค้ามองมาทางเราตลอดเลย ทีแรกก็ว่าคิดไปเองค่ะ มาถามทีหลังก็เลยรู้ว่าพี่เค้ามองจริงๆ  

   จากนั้นเรื่องราวก็เล่าลือกันไปทั่ว ว่าพี่เค้าใจกล้ามาจีบเรา เอ๊ะ แต่ชั้นเป็นคนฝากดอกไม้ไปให้เค้านะ งง เราไม่ได้สวยนะ แต่พ่อเราดุ หน้าตาไม่เป็นมิตร ๕๕๕๕๕๕ เลยกลายเป็นว่าพี่เค้าคือ ผู้กล้า ไป

     หลังจากวันนั้นเพื่อนเรา เพื่อนพี่เค้าก็ขยันสร้างโอกาสให้เราได้พบได้เจอ ได้ใก้ลชิดกัน แต่ว่างไม่ค่อยตรงกันหรอกค่ะ ตอนพักเที่ยงก็ต้องช่วยแม่ขายของ (นอกจากพ่อจะทำงานใน รร.แล้ว แม่ก็ขายขนมใน รร.ค่ะ ทุกคนรู้จักเรา แต่ไม่ค่อยรู้หรอกว่าคนที่ทักเราหน่ะชื่ออะไร หึหึหึ เนียนๆคุยไปงั้นแหละ) กว่าจะว่าง ก็เหลือเวลาแป๊บเดียวค่ะ มีตอนเย็นๆ ก่อนเลิกเรียนที่จะได้เจอกัน เจอกันเฉยๆค่ะ ยังไม่ได้คุยกันเลย เจอกัน มองกันมามองกันไปค่ะ

      จนวันนึงเรามีคาบว่าง พี่เค้าก็เหมือนจะโดดเรียนมั้ง เป็นวันแรกที่ได้คุยกันครั้งแรก ก็มีเสียงแซวจาก แบล็คกราวๆรอบๆค่ะ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก เอาแต่เขินค่ะ  พี่สี เป็นคนตาเจ้าชู้ค่ะ ไม่กล้าสบตาเค้าเท่าไหร่ ตาเค้าวิ๊บวับตลอดเวลา เขินค่ะ

    มีครั้งแรกครั้งที่สอง สามมันก็ไม่ใช่เรื่องยากละ ก็ได้คุยกันนู้นนี่ ถามเรื่องธรรมดาทั่วไป มีพี่มีน้อง กี่คน บ้านอยู่ไหน เกิดวันไร ชอบอะไร เรียนอะไรบ้างวันๆนึง และได้ถามคำถามคาใจค่ะ คำตอบคือพี่สีเค้าสูงเองตามธรรมชาติค่ะ กรรมพันธุ์บ้านพี่เค้าสูง

     และแล้วก็ถึงเวลาขอเบอร์โทรฯ  พี่เค้าขอหลายรอบแล้วแต่ยังไม่ได้ให้เพราะที่บ้านมีมือถือเครื่องเดียว โทรมายังไงพ่อก็เป็นคนรับ กลัวพ่อตีค่ะ  ได้เบอร์ไปละ แต่ยังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกันนะ เพื่อนเราเพื่อนพี่เค้าเข้าใจไปไหนต่อไหนกันแล้ว เกือบเดือนนึงกว่าจะตกลงเป็นแฟนกัน

     เห็นพี่เค้าเล่นกีต้า เราก็อยากเล่นเป็นบ้าง ให้พี่เค้าสอนให้ตอนเช้า เราจะต้องทำความสะอาดห้องพักครูอยู่แล้ว (เทอมแรกทำเขตรับผิดชอบแถวๆสนามบอล เทอมสองเลยต้องมาทำห้องพักครู) ก็เลยถือโอกาสนั้นแหละค่ะ สอนได้สักสองอาทิตย์มั้ง พี่เค้าก็ซื้อกีต้าร์ตัวเล็กให้ตัวนึง

    โอ้ว เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ พี่เค้าทุ่มทุนดีอ่ะ หลักพันเลยนะ คือของราคาหลักพันสมัยนั้นไม่ใช่จะได้มาง่ายๆเลยนะค่ะ เราก็เรียนกับพี่เค้าตอนเช้า ตอนกลางคืนก็หัดเล่นเอง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเล่นไม่เป็นค่ะ ๕๕๕๕๕๕

     กีต้าร์ที่ได้มาพ่อก็ถามตามระเบียบค่ะ "อ้อ พี่ออฟฝาก พี่เค้าขี้เกรียจแบกมาแบกไป" (พี่ออฟคือรุ่นพี่ในแก๊งพี่สีค่ะ เป็นรุ่นพี่ พี่สีปีนึงค่ะ แล้วก็ขึ้นรถพ่อเรา พ่อเราขับรถรับส่งนักเรียนด้วยค่ะ) จากนั้นก็ป๊อปปี้เลิฟแหละค่ะ รักใสๆในวัยเรียน แบบแอบๆ เดี๋ยวพ่อรู้ มีง้องแง่งกันบ้าง

    แต่แล้วก็โคนครูเรียกไปเตือนค่ะ ประมาณว่าอย่าเพิ่งมีแฟน นู้นนี่ โดนสวดอยู่ประมาณ ครึ่ง ชม.ค่ะ ก็เลยเกิดกลัวพ่อรู้ เลยบอกพี่เค้าว่าเราเป็นแค่พี่น้องกันเถอะ พี่เค้าก็ตกลงนะ แต่ซึมเศร้าเหงาหงอยมาก ข้าวปลาไม่กิน(เพื่อนที่เค้าบอกนะ) ผอมลงเยอะค่ะ ปกติพี่เค้าผอมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วค่ะ เลิกกันครั้งที่ ๑

     อาทิตย์เดียวค่ะที่เลิกกัน เพื่อนพี่เค้าเพื่อนเราก็ช่วยกันยุช่วยกันเชียร์จนสุดท้ายเราก็โทรไปง้อพี่เค้าค่ะ เพิ่งรู้สึกว่าชอบพี่เค้าจริงๆก็ตอนที่เลิกกันนี่แหละค่ะจากนั้นก็คบกันดี แต่ก็มีแอบหึงเพื่อนตัวเองกับพี่เค้าค่ะ นางสุ นางสวย นางเก่ง นางร่าเริง เฮฮา แต่ก็ไม่มีไร จนผ่านไปอีกหนึ่งเทอมค่ะ (ตอนนั้นที่โทรไปง้อพี่เค้า สัญญิงสัญญากับพี่เค้าว่า พี่เค้าเรียนที่ไหนก็จะตามไปเรียนที่นั่นด้วย ถ้าไปได้ พี่เค้ากำลังจะจบม.๓) ปิดเทอม็ไม่ได้เจอกันเลย พี่เค้าไปทำงานกรุงเทพ เราก็ไปช่วยย่าทำขนมขายค่ะ

     ม.๒ แล้วค่ะ พี่เค้าก็ต่อม.๔ ที่เดิม (ทีแรกนึกว่าเค้าจะไปต่ออาชีวะแล้ววว ใจบ่ดีๆ) เปิดเทอมใหม่ก็มีเด็กม.๑ เข้าใหม่สดใสน่ารัก สวยๆเยอะเลย พี่เค้าก็มองก็แซวตามระเบียบค่ะ  เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะเราก็ชอบคนสวยค่ะ ทุกวันนี้ยังไม่เลิกมองค่ะ ชอบมองสาวๆสวยๆ น่ารักๆ ขาวๆ

     จากนั้นก็มีประเด็น เพื่อนในห้องเรามาบอกว่า ตอนกลางวันเวลาเราช่วยแม่ขายของ พี่สีเค้าไปจีบเด็ก ม.๑ที่ห้องสมุด พอเราช่วยแม่เสร็จพี่เค้าก็ค่อยมาหาเรา เฮ้ย  ใช่ๆ พักหลังมานี่พี่เค้าชอบไปขลุกอยู่ห้องสมุด แถมมาหาเราช้า เมื่อก่อนจะมารอจนเราชายของเสร็จ เราก็ถามคนนู้นคนนี้จนได้ความว่านังเด็กคนนั้นชื่อ ไหม สวยค่ะ หน้าตาดี ขาวววว เรียนเก่งด้วย มือที่สามมา เราจะเฉยไหมคะ โน้วววววว ถามให้เคลีย์ค่ะ
    
"พี่สี มีคนบอกว่าพี่ไปจีบเด็กม.๑ จริงเหรอ"    เราถามด้วยสีหน้าจริงจังฝุดๆค่ะ
"ใครบอก พี่ไม่ได้จีบ"     พี่เค้าตอบแต่ ตากลอกไปกลอกมา อ่านเจอในเน็ต พวกอาการคนนอกใจนู้นนี่นั้น มันตรงอ่ะๆๆๆๆๆๆ
"ไหม  ใช่ไหม"    เราจะเอาคำสารภาพค่ะ     "พี่ได้คุยกับเค้าป่ะหล่ะ"
"คุย"       ตอบมาน้ำเสียงจริงจังมาก นั่นไง นั่นไง ถ้าไม่จีบจะคุยด้วยทำไม
"แล้วพี่ไปทำอะไรห้องสมุดบ่อยๆ"      นังไหมเป็นศิษย์ในความปกครองของครูบรรณารักษ์ค่ะ
"ก็ไปอ่านหนังสือรอ ภัสไง"      ภัสคือเราเอง พี่เค้าจะเรียกชื่อเรา แทนตัวเองว่าพี่ เราก็จะเรียกตัวเองด้วยชื่อ แล้วเรียกเค้าว่าพี่
"รอที่อื่นก็ได้ ทำไมต้องที่ห้องสมุด"       ยังค่ะยังไม่เลิกคาดคั้น ผู้หญิงนี่มันจริงๆเล้ย
"ก็จะให้พี่ไปอยู่ไหน โรงอาหารก็เต็ม  เพื่อนพี่อยู่ห้องสมุด พี่ไปนั่งรอ ภัส ที่อื่นก็ได้"      ก็จริงของพี่เค้านะ เพื่อนอยู่ไหน พี่เค้าก็อยู่นั่นเป็กปกติ แต่หลังจากที่คุยกัน พี่เค้าก็ไปนั่งรอเราที่อื่นจริงๆนะ  แต่พี่เค้าแลดูเงียบเหงามาก เราก็เลยอ่ะไว้ใจ เชื่อใจ บอกพี่เค้าให้ไปอยู่กับเพื่อนเถอะ น่าฉงฉาน เด็กชายตัวคนเดียวไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย คงจะเซ็งน่าดู ไม่มีไร ไม่มีใครคุยด้วย น่าฉงฉาน  

     แต่แล้วมันก็มีอุปสรรคอีกค่ะ พี่เค้าอยู่ม.ปลายแล้ว คาบเรียนก็อยู่คนละตึกกันแล้ว ไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว แถมครูที่สอนยังชอบให้ ห้องพี่เค้าไปสิงสถิตอยู่ห้องสมุดบ่อยๆด้วย ไอ้เพื่อนในห้องมันก็ขยันมาฟ้องเราจัง ว่าเห็นพี่สี คุยกับนัง ไหม สนิทกันมากกว่าเดิมอีก โอ้ยเครียดค่ะ แต่ยังไม่ถล่ำลึก ตัดสินใจคำถามเดิมข้างบน คำตอบเดิมเช่นกัน แต่เราไม่มั่นใจแล้วไง นังไหมก็สวยด้วย ก็เลยบอกเลิกพี่เค้าซะเลย

     กลัวอกหัก ชิ่งหักอกพี่เค้าก่อนซะเลย คราวนี้โทรไปนะคะ ไม่ได้นั่งคุยกัน ตอนกลางวันก็ว่างไม่ตรงกัน กระทรวงศึกษาฯ ปรับหลักสูตรใหม่มีกิจกรรมเสริมหลังเรียนอีก  ตอนเย็นก็ต้องแอบต้องอ้าง ที่บ้านมาหยอดตู้โทรศัพท์สาธราณะคุยค่ะ ยุงก็กัด คลื่นที่บ้านพี่เค้าก็ไม่ค่อยมี พ่อก็ระแวง โอ้ยลำบาก เลิกคบไปเลย ไม่ต้องมีมันละ แฟนเฟิน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่