ตอนที่ ๒ ใช้ชีวิตนักวิจัยกลางบรรยากาศขุนเขาและชายหาด
กลับมาต่อกับตอนที่สองที่ผมจะมาเล่าถึงเรื่องการทำวิจัยของผม รวมทั้งบรรยากาศการใช้ชีวิตแบบนักเรียนไทยในอังกฤษของผมเอง อาจจะไม่ได้เหมือนคนที่อยู่ไทยมานาน แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมได้ไปสัมผัสมา ผมเชื่อว่านี่เป็นประสบการณ์ที่น่าสนุก และก็ได้สอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับตัวผมมากๆ

ผมได้กล่าวไปแล้วในโพสต์ก่อนว่าผมได้ไปเข้าร่วมโครงการ Interantional Junior Research Associations (IJRA) (
http://www.sussex.ac.uk/international/partnerships/jra) ดังนั้นผมจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่ University of Sussex ตลอดระยะเวลาทั้งหมด ผมเชื่อมหาวิทยาลัยนี้อาจจะไมไ่ด้เป็นที่คุ้นหูกับใครหลายคนมากนัก เพราะส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยในอังกฤษที่คนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักก็จะเป็นพวกมหาวิทยาลัยเก่าแก่ (โบราณ) อย่าง เคมบริดจ์ อ็อกซ์ฟอร์ด หรือกลุ่มมหาวิทยาลัยในลอนดอน เช่น University College of London (UCL) Imperial College หรือ King’s College London (KCL) หรือไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยตามหัวเมืองใหญ่ๆ (ศัพท์เทคนิคจะเรียกว่า Redbrick หรือ กลุ่มมหาวิทยาลัยอิฐแดง) เอาง่ายๆ ให้นึกถึงชื่อทีมฟุตบอลดู ตามเมืองใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ (Manchester) ลิเวอร์พูล (Liverpool) เบอร์มิงแฮม (Birmingham) แต่ว่ามหาวิทยาลัยที่ผมไปไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้เลย แต่ถูกจัดเป็นกลุ่มของมหาวิทยาลัยใหม่ที่ก่อตั้งหลังจากจบยุคสงครามโลกครั้งที่สอง คนที่นี่เลยเรียกมหาวิทยาลัยในกลุ่มนี้ว่า Glass plate (แผ่นกระจก) หรือ New Redbrick (อิฐแดงใหม่) และ University of Sussex ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดในกลุ่มนี้ ที่ว่าใหม่นี้จริงก็ไม่ได้ใหม่มาก มีอายุประมาณสี่สิบกว่าปี สาเหตุที่ทำให้มหาวิทยาลัยนี้มีชื่อเสียงก็เพราะว่า มีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล (Nobel laureate) มากถึงสามคน สมาชิกราชสมาคมแห่งลอนดอน (FRS: Fellow of Royal Society) มากถึงสิบสี่คน ติดอันดับยี่สิบอันดับแรกของมหาวิทยาลัยในสหราชอณาจักร และสองร้อยอันดับแรกของมหาวิทยาลัยในโลก ถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยใหญ่คงบอกได้ว่ามหาวิทยาลัยนี้คงเทียบได้ยาก แต่ถ้าเทียบอายุและศักยภาพแล้ว University of Sussex สามารถยืนยันว่าตัวเองเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในการทำวิจัย ในปี 2016 โพลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในสหราชอณาจักรโดยสำนักพิมพ์ The Guardians มหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ในอันดับแรกของสาขาเคมี ซึ่งนำหน้ามหาวิทยาลัยดังๆ หลายที่ ซึ่งก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างหนึ่งได้ว่า มหาวิทยาลัยนี้ให้ความสำคัญกับการทำวิจัยแม้ว่าจะก่อตั้งมาเพียงไม่นาน
University of Sussex ไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองหรือแหล่งชุมชนอย่างเช่นมหาวิทยาลัยอื่นๆ แต่อยู่ในส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเซาท์ดาวน์ (South Downs National Park) ทำให้บรรยากาศบริเวณมหาวิทยาลัยจะแวดล้อมไปด้วยป่าหญ้า และสัตว์ป่าเล็กน้อย อย่าง ม้า แกะ กระรอก และ นก แต่ใช่ว่าที่นี่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่มีผู้คนแวดล้อมเลย เพราะเพียงสิบนาทีโดยการนั่งรถเมล์ รถไฟ หรือขับรถ ก็จะทำให้เราเข้าไปสู่ตัวเมืองไบรท์ตัน (Brighton) ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของชายหาดกรวดหลากสี (Pebble Beach) หน้าผาหินขาวยาวสุดตาอย่าง Seven Sisters พระราชวังที่มีสถาปัตยกรรมผสมกลิ่นอายของศิลปะเอเชียอย่างน่าอัศจรรย์ใน Brighton Pavillion ที่แม้สถาปนิกจะไม่เคยเดินทางไปยังเอเชียเลยก็ตาม และชีวิตยามค่ำคืนที่ไม่เคยหลับไหลตลอดทั้งปี นอกจากนี้ไบรท์ตันยังเป็นเมืองหลวงของชาวรักร่วมเพศในอังกฤษ ทุกปีจะมีเทศกาล Pride ที่ถือว่าเป็นงานรวมพลชาวรักร่วมเพศใหญ่ที่สุดในอังกฤษ
การเดินทางมายัง University of Sussex นั้นง่ายและสะดวกมาก เพราะเพียงรถไฟจากลอนดอนแค่ 45 นาที ก็ทำให้ถึงเมืองไบรท์ตัน แล้วต่อรถไฟมายังสถานี Falmer อีกเพียง10 นาที ก็จะมาถึงมหาวิทยาลัยอย่างง่ายดาย โดยจำง่ายๆ ว่ามหาวิทยาลัยจะอยู่ใกล้ๆ กับสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงอย่าง IMAX Stadium ของทีม Brighton and Hove albion ทำให้ที่นี่มีนักศึกษาสนใจมาเรียนค่อนข้างเยอะ เพราะว่าบรรยากาศที่วุ่นวายน้อยกว่าเมืองหลวง และสะดวกต่อการเดินทาง แม้ว่าค่าครองชีพโดยทั่วๆไปอาจจะสูงกว่าเมืองอื่น แต่ก็ถูกกว่าลอนดอน




นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่มีหลากหลายมากๆ แต่จะเห็นได้โดยส่วนใหญ่นั้นเป็นนักเรียนจีน และสาขายอดนิยมของที่นี่และทุกๆ ที่ในอังกฤษก็คือ กฎหมาย และเศรษฐศาสตร์ โดยส่วนใหญ่แล้วคนจะมาเรียนต่อในระดับปริญญาโท เพราะว่าระบบการเรียนที่อังกฤษจะใช้เวลาเพียงปีเดียวในการเรียน คนไทยที่นี่เจอเยอะพอสมควร เผอิญว่าผมรู้จักกับรุ่นพี่อยู่คนนึงซึ่งเรียนปริญญาเอกมาได้สามปีแล้ว ทำให้ได้รู้จักคนเยอะโดยเฉพาะน้องๆ รุ่นใหม่ที่กำลังเข้ามาเรียนต่อที่นี่ โดยรวมผมว่าคนไทยที่อยู่ที่นี่จะนิสัยเป็นกันเองตามสไตล์ของคนไทย เวลามีน้องมาก็มีรุ่นพี่คอยมาดูแล ให้คำปรึกษา ยิ่งในกรณีฉุกเฉินเช่นน้องบางคนหาที่พักไม่ทันช่วงเปิดเรียน ก็อาจจะสามารถพึ่งพาน้ำใจรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ที่นี่ได้ ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ผมก็มักจะมาใช้เวลาบ้านของรุ่นพี่คนไทย เพราะอย่างแรกก็คือจะได้ทำอาหารไทยกินกันหลายๆ คน ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีมาก ได้พูดคุย สังสรรค์ ตามประสาคนไทย ซึ่งจะคิดถึงมากๆ เวลาเราไปอยู่ต่างประเทศนานๆ แล้วไม่ได้ใช้ภาษาไทย หรือพูดคุยกับคนไทยเลย
ในส่วนของสาขาวิทยาศาสตร์ก็ยังมีคนไทยมาเรียน แต่ไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น แต่ก็ยังเจอบ้าง อย่างในตึกผมก็มีผมเพียงคนเดียวที่เป็นคนไทย ทำให้โชคดีที่ต้องพึ่งพาตัวเองตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาถึงขนาดว่าอยู่ไม่ได้ เพราะผมก็ต้องพยายามสื่อสารกับทุกคนรอบกายผมให้ได้มากที่สุด ซึ่งผมว่าอันนี้เป็นอะไรที่ดีมาก ทำให้ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของผมนั้นก้าวหน้าไปมากทีเดียว
ผมมาทำวิจัยด้านชีวเคมี ถ้าเรียกให้เฉพาะหน่อยก็ Protein Crystallography พูดอย่างง่ายก็คือ ผมพยายามจะหาการทำงานของโปรตีนโดยให้โปรตีนนั้นสร้างผลึกแล้วผมก็ถ่ายรูปมันออกมา ฟังดูเหมือนง่ายแต่ถ้าเทียบกับระดับปริญญาตรีแล้วก็เป็นอะไรที่ต้องฝึกฝนกันนานพอสมควร ตอนก่อนมาผมทราบแล้วว่าจะต้องมาเจออะไรบ้าง ก็เลยได้เตรียมตัวมาบ้าง ทำให้พอมาถึงที่นี่ก็สามารถออกตัวได้เร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการฝึกเทคนิคพื้นฐาน หรือปรับตัวทำความเข้าใจมากนัก โดยผมสามารถเน้นไปที่งานที่ผมอยากจะทำ แล้วเอาเวลามานั่นคิดหาวิธีที่จะให้ได้ผลมากที่สุด กลุ่มวิจัยของผมเป็นกลุ่มที่ใหญ่พอสมควร มีศาสตราจารย์อยู่สามท่าน หนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกของราชสมาคมชีววิทยา (FRSB: Fellow of Royal Society of Biology) แต่โปรเฟสเซอร์ที่รับผมเข้ามาเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่ปี ก่อนหน้านี้ท่านเรียนฟิสิกส์แล้วก็ย้ายฟากมาทำงานในด้านชีววิทยาโมเลกุล แล็บเรามีศาสตราจารย์หนึ่งท่าน นักศึกษาปริญญาเอกหนึ่งคน นักศึกษาปริญญาโทสองคน และนักวิจัยหลังปริญญาเอก (Postdoc) สี่คน Postdoc ก็คือคนที่จบป.เอกแล้วอยากหางานวิจัยทำเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์หรือปูทางไปสู่อาชีพในอนาคต พูดง่ายๆก็ คือจ้างเขามาทำงานวิจัยและอื่นๆ ที่โปรเฟสเซอร์ต้องการ โดย Postdoc ของแล็บผมจะมีหน้าที่สอนสมาชิกตัวเล็กๆ ในแล็บให้เรียนรู้และทำวิจัยไปสู่เป้าหมายที่พวกผมต้องการได้ และตัวเขาเองก็จะมีงานที่ได้รับจากศาสตราจารย์ที่เป็นคนจ้างเขา ทำให้ภาระงานเขานั้นค่อนข้างหนักพอสมควร แต่พวกนี้คือคนที่มีประสบการณ์มานานแล้ว บางคนอาจร่วมสิบปีเลยก็มี ถ้าเทียบกับแล็บที่ไทยแล้ว เราจะไม่ค่อยเห็น Postdoc มากเท่าไหร่ โดยส่วนมากจะไม่มีเลย ถึงมีก็จะมีสัญญาจ้างไม่นานในระดับไม่กี่เดือน เพราะว่าเราไม่มีเงินมาก แต่อันที่จริง Postdoc เป็นระบบที่ช่วยให้การทำวิจัยก้าวหน้ามากในความคิดของผม เพราะว่าเป็นการช่วยให้อาจารย์ได้เอาเวลาไปพัฒนาเรื่องอื่นๆ มากกว่าจะต้องมาสอนเด็ก แล้วก็ทำให้กลุ่มวิจัยสามารถทำงานที่ซับซ้อนจากมากขึ้นด้วย เสมือนมีอาจารบย์เพิ่มอีกหลายคน โดยแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป และทำให้กลุ่มวิจัยสามารถรับผิดชอบงานชิ้นใหญ่มากขึ้น

ผมถือว่าเป็นนักศึกษาปริญญาตรีที่มาฝึกงานชั่วคราว ฉะนั้นจะต้องมีคนเป็นที่ปรึกษาคอยดูแลผมตลอดการทำวิจัย โดยปกติแล้วจะให้นศ.ปริญญาเอก หรือ Postdoc เป็นคนดูแล เพราะว่าอย่าง นศ.ป.โท ก็จะไม่ได้มีเวลามาทำแล็บตลอดเวลา เขามีเวลาเพียงแค่สั้นๆ เพื่อให้จบ แต่นศ.ปริญญาเอก กับ Postdoc แทบจะต้องมาทำวิจัยทุกวันไม่เว้นวันหยุด เพราะความก้าวหน้าของการเรียนเขาก็คือผลที่ได้จากการทำวิจัย ผมได้นศ.ป.เอกคนเดียวของกลุ่มมาดูแล เพราะว่า Postdoc ดูแลคนอื่นไปหมดแล้ว โดยคนดูแลผมเป็นคนอังกฤษแท้ๆ มีเชื้อสายไอริชด้วย ทำให้ผมต้องใช้เวลาฝึกความคุ้นเคยกับสำเนียงที่เขาพูดนิดนึง เขาค่อนข้างทำตัวกับผมเป็นเพื่อนมากกว่าจะดูแลเหมือนศิษย์ครูแบบคนไทย ด้วยความที่ว่าเขาก็ไม่เคยรับดูแลเด็กป.ตรีมาก่อนเลย แล้วก็เป็นคนค่อนข้างกันเองด้วย ตอนแรกเจออาจจะตกใจเล็กน้อยเพราะแบบว่าออกแนวฝรั่งชาวร็อก สักลายมาครึ่งตัว สูงตั้งเกือบสองเมตร แต่ว่าไปๆ มาๆ เขากับติดนิสัยขี้เล่น แล้วก็ตลกสนุกแบบเด็กๆ ผมว่านี่คือหนึ่งในสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งที่ผมเจอก็เพราะว่าเวลาไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการทำวิจัย เราต้องเข้ากับทีมให้ได้ หลายคนมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนร่วมงานมีปัญหากับเรา นั่นทำให้งานนั้นไม่ก้าวหน้า ยิ่งถ้าเทียบกับที่ไทยแล้ว ผมว่าที่นี่ปัญหาแบบนี้มีน้อยกว่ามาก ก็มีหลายเรื่องที่มีทะเลาะกันบ้าง แต่ก็จะจบลงตรงนั้นเพราะทุกคนคุยกัน แล้วก็หันมาโฟกัสเรื่องงาน พอพูดคุยเรื่องงานก็จะมีส่วนร่วม ไม่มีการปิดกั้นเพราะว่ารู้สึกเครียดแค้นเหมือนที่ผมเจอในเมืองไทย ที่นู่นเราจะเข้าหาตัวอาจารย์ได้ง่ายมาก และสามารถเสนอเมื่อไหร่ก็ได้เวลาที่เรามีอะไรไม่สบายใจ หรือว่าต้องการจะพูดอะไร ตอนแรกไปผมก็จะติดนิสัยคนไทย เขินอายไม่กล้าพูด แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมอยากจะพูดเยอะๆ เสนอเยอะๆ เพราะว่าเราทุกคนก็มีความคิดที่แตกต่างกันแล้วนี่ก็คือวิธีที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี
The Origin เดินทางตามตำรา ค้นหาต้นกำเนิด ณ อังกฤษ ตอนที่ 2
กลับมาต่อกับตอนที่สองที่ผมจะมาเล่าถึงเรื่องการทำวิจัยของผม รวมทั้งบรรยากาศการใช้ชีวิตแบบนักเรียนไทยในอังกฤษของผมเอง อาจจะไม่ได้เหมือนคนที่อยู่ไทยมานาน แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมได้ไปสัมผัสมา ผมเชื่อว่านี่เป็นประสบการณ์ที่น่าสนุก และก็ได้สอนอะไรหลายๆ อย่างให้กับตัวผมมากๆ
University of Sussex ไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองหรือแหล่งชุมชนอย่างเช่นมหาวิทยาลัยอื่นๆ แต่อยู่ในส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเซาท์ดาวน์ (South Downs National Park) ทำให้บรรยากาศบริเวณมหาวิทยาลัยจะแวดล้อมไปด้วยป่าหญ้า และสัตว์ป่าเล็กน้อย อย่าง ม้า แกะ กระรอก และ นก แต่ใช่ว่าที่นี่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่มีผู้คนแวดล้อมเลย เพราะเพียงสิบนาทีโดยการนั่งรถเมล์ รถไฟ หรือขับรถ ก็จะทำให้เราเข้าไปสู่ตัวเมืองไบรท์ตัน (Brighton) ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของชายหาดกรวดหลากสี (Pebble Beach) หน้าผาหินขาวยาวสุดตาอย่าง Seven Sisters พระราชวังที่มีสถาปัตยกรรมผสมกลิ่นอายของศิลปะเอเชียอย่างน่าอัศจรรย์ใน Brighton Pavillion ที่แม้สถาปนิกจะไม่เคยเดินทางไปยังเอเชียเลยก็ตาม และชีวิตยามค่ำคืนที่ไม่เคยหลับไหลตลอดทั้งปี นอกจากนี้ไบรท์ตันยังเป็นเมืองหลวงของชาวรักร่วมเพศในอังกฤษ ทุกปีจะมีเทศกาล Pride ที่ถือว่าเป็นงานรวมพลชาวรักร่วมเพศใหญ่ที่สุดในอังกฤษ
การเดินทางมายัง University of Sussex นั้นง่ายและสะดวกมาก เพราะเพียงรถไฟจากลอนดอนแค่ 45 นาที ก็ทำให้ถึงเมืองไบรท์ตัน แล้วต่อรถไฟมายังสถานี Falmer อีกเพียง10 นาที ก็จะมาถึงมหาวิทยาลัยอย่างง่ายดาย โดยจำง่ายๆ ว่ามหาวิทยาลัยจะอยู่ใกล้ๆ กับสนามฟุตบอลที่มีชื่อเสียงอย่าง IMAX Stadium ของทีม Brighton and Hove albion ทำให้ที่นี่มีนักศึกษาสนใจมาเรียนค่อนข้างเยอะ เพราะว่าบรรยากาศที่วุ่นวายน้อยกว่าเมืองหลวง และสะดวกต่อการเดินทาง แม้ว่าค่าครองชีพโดยทั่วๆไปอาจจะสูงกว่าเมืองอื่น แต่ก็ถูกกว่าลอนดอน
นักศึกษาที่มาเรียนที่นี่มีหลากหลายมากๆ แต่จะเห็นได้โดยส่วนใหญ่นั้นเป็นนักเรียนจีน และสาขายอดนิยมของที่นี่และทุกๆ ที่ในอังกฤษก็คือ กฎหมาย และเศรษฐศาสตร์ โดยส่วนใหญ่แล้วคนจะมาเรียนต่อในระดับปริญญาโท เพราะว่าระบบการเรียนที่อังกฤษจะใช้เวลาเพียงปีเดียวในการเรียน คนไทยที่นี่เจอเยอะพอสมควร เผอิญว่าผมรู้จักกับรุ่นพี่อยู่คนนึงซึ่งเรียนปริญญาเอกมาได้สามปีแล้ว ทำให้ได้รู้จักคนเยอะโดยเฉพาะน้องๆ รุ่นใหม่ที่กำลังเข้ามาเรียนต่อที่นี่ โดยรวมผมว่าคนไทยที่อยู่ที่นี่จะนิสัยเป็นกันเองตามสไตล์ของคนไทย เวลามีน้องมาก็มีรุ่นพี่คอยมาดูแล ให้คำปรึกษา ยิ่งในกรณีฉุกเฉินเช่นน้องบางคนหาที่พักไม่ทันช่วงเปิดเรียน ก็อาจจะสามารถพึ่งพาน้ำใจรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ที่นี่ได้ ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ผมก็มักจะมาใช้เวลาบ้านของรุ่นพี่คนไทย เพราะอย่างแรกก็คือจะได้ทำอาหารไทยกินกันหลายๆ คน ก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนที่ดีมาก ได้พูดคุย สังสรรค์ ตามประสาคนไทย ซึ่งจะคิดถึงมากๆ เวลาเราไปอยู่ต่างประเทศนานๆ แล้วไม่ได้ใช้ภาษาไทย หรือพูดคุยกับคนไทยเลย
ในส่วนของสาขาวิทยาศาสตร์ก็ยังมีคนไทยมาเรียน แต่ไม่ได้เยอะมากเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น แต่ก็ยังเจอบ้าง อย่างในตึกผมก็มีผมเพียงคนเดียวที่เป็นคนไทย ทำให้โชคดีที่ต้องพึ่งพาตัวเองตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาถึงขนาดว่าอยู่ไม่ได้ เพราะผมก็ต้องพยายามสื่อสารกับทุกคนรอบกายผมให้ได้มากที่สุด ซึ่งผมว่าอันนี้เป็นอะไรที่ดีมาก ทำให้ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษของผมนั้นก้าวหน้าไปมากทีเดียว
ผมมาทำวิจัยด้านชีวเคมี ถ้าเรียกให้เฉพาะหน่อยก็ Protein Crystallography พูดอย่างง่ายก็คือ ผมพยายามจะหาการทำงานของโปรตีนโดยให้โปรตีนนั้นสร้างผลึกแล้วผมก็ถ่ายรูปมันออกมา ฟังดูเหมือนง่ายแต่ถ้าเทียบกับระดับปริญญาตรีแล้วก็เป็นอะไรที่ต้องฝึกฝนกันนานพอสมควร ตอนก่อนมาผมทราบแล้วว่าจะต้องมาเจออะไรบ้าง ก็เลยได้เตรียมตัวมาบ้าง ทำให้พอมาถึงที่นี่ก็สามารถออกตัวได้เร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการฝึกเทคนิคพื้นฐาน หรือปรับตัวทำความเข้าใจมากนัก โดยผมสามารถเน้นไปที่งานที่ผมอยากจะทำ แล้วเอาเวลามานั่นคิดหาวิธีที่จะให้ได้ผลมากที่สุด กลุ่มวิจัยของผมเป็นกลุ่มที่ใหญ่พอสมควร มีศาสตราจารย์อยู่สามท่าน หนึ่งในนั้นเป็นสมาชิกของราชสมาคมชีววิทยา (FRSB: Fellow of Royal Society of Biology) แต่โปรเฟสเซอร์ที่รับผมเข้ามาเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่ปี ก่อนหน้านี้ท่านเรียนฟิสิกส์แล้วก็ย้ายฟากมาทำงานในด้านชีววิทยาโมเลกุล แล็บเรามีศาสตราจารย์หนึ่งท่าน นักศึกษาปริญญาเอกหนึ่งคน นักศึกษาปริญญาโทสองคน และนักวิจัยหลังปริญญาเอก (Postdoc) สี่คน Postdoc ก็คือคนที่จบป.เอกแล้วอยากหางานวิจัยทำเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์หรือปูทางไปสู่อาชีพในอนาคต พูดง่ายๆก็ คือจ้างเขามาทำงานวิจัยและอื่นๆ ที่โปรเฟสเซอร์ต้องการ โดย Postdoc ของแล็บผมจะมีหน้าที่สอนสมาชิกตัวเล็กๆ ในแล็บให้เรียนรู้และทำวิจัยไปสู่เป้าหมายที่พวกผมต้องการได้ และตัวเขาเองก็จะมีงานที่ได้รับจากศาสตราจารย์ที่เป็นคนจ้างเขา ทำให้ภาระงานเขานั้นค่อนข้างหนักพอสมควร แต่พวกนี้คือคนที่มีประสบการณ์มานานแล้ว บางคนอาจร่วมสิบปีเลยก็มี ถ้าเทียบกับแล็บที่ไทยแล้ว เราจะไม่ค่อยเห็น Postdoc มากเท่าไหร่ โดยส่วนมากจะไม่มีเลย ถึงมีก็จะมีสัญญาจ้างไม่นานในระดับไม่กี่เดือน เพราะว่าเราไม่มีเงินมาก แต่อันที่จริง Postdoc เป็นระบบที่ช่วยให้การทำวิจัยก้าวหน้ามากในความคิดของผม เพราะว่าเป็นการช่วยให้อาจารย์ได้เอาเวลาไปพัฒนาเรื่องอื่นๆ มากกว่าจะต้องมาสอนเด็ก แล้วก็ทำให้กลุ่มวิจัยสามารถทำงานที่ซับซ้อนจากมากขึ้นด้วย เสมือนมีอาจารบย์เพิ่มอีกหลายคน โดยแต่ละคนมีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป และทำให้กลุ่มวิจัยสามารถรับผิดชอบงานชิ้นใหญ่มากขึ้น
ผมถือว่าเป็นนักศึกษาปริญญาตรีที่มาฝึกงานชั่วคราว ฉะนั้นจะต้องมีคนเป็นที่ปรึกษาคอยดูแลผมตลอดการทำวิจัย โดยปกติแล้วจะให้นศ.ปริญญาเอก หรือ Postdoc เป็นคนดูแล เพราะว่าอย่าง นศ.ป.โท ก็จะไม่ได้มีเวลามาทำแล็บตลอดเวลา เขามีเวลาเพียงแค่สั้นๆ เพื่อให้จบ แต่นศ.ปริญญาเอก กับ Postdoc แทบจะต้องมาทำวิจัยทุกวันไม่เว้นวันหยุด เพราะความก้าวหน้าของการเรียนเขาก็คือผลที่ได้จากการทำวิจัย ผมได้นศ.ป.เอกคนเดียวของกลุ่มมาดูแล เพราะว่า Postdoc ดูแลคนอื่นไปหมดแล้ว โดยคนดูแลผมเป็นคนอังกฤษแท้ๆ มีเชื้อสายไอริชด้วย ทำให้ผมต้องใช้เวลาฝึกความคุ้นเคยกับสำเนียงที่เขาพูดนิดนึง เขาค่อนข้างทำตัวกับผมเป็นเพื่อนมากกว่าจะดูแลเหมือนศิษย์ครูแบบคนไทย ด้วยความที่ว่าเขาก็ไม่เคยรับดูแลเด็กป.ตรีมาก่อนเลย แล้วก็เป็นคนค่อนข้างกันเองด้วย ตอนแรกเจออาจจะตกใจเล็กน้อยเพราะแบบว่าออกแนวฝรั่งชาวร็อก สักลายมาครึ่งตัว สูงตั้งเกือบสองเมตร แต่ว่าไปๆ มาๆ เขากับติดนิสัยขี้เล่น แล้วก็ตลกสนุกแบบเด็กๆ ผมว่านี่คือหนึ่งในสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งที่ผมเจอก็เพราะว่าเวลาไปอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะการทำวิจัย เราต้องเข้ากับทีมให้ได้ หลายคนมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนร่วมงานมีปัญหากับเรา นั่นทำให้งานนั้นไม่ก้าวหน้า ยิ่งถ้าเทียบกับที่ไทยแล้ว ผมว่าที่นี่ปัญหาแบบนี้มีน้อยกว่ามาก ก็มีหลายเรื่องที่มีทะเลาะกันบ้าง แต่ก็จะจบลงตรงนั้นเพราะทุกคนคุยกัน แล้วก็หันมาโฟกัสเรื่องงาน พอพูดคุยเรื่องงานก็จะมีส่วนร่วม ไม่มีการปิดกั้นเพราะว่ารู้สึกเครียดแค้นเหมือนที่ผมเจอในเมืองไทย ที่นู่นเราจะเข้าหาตัวอาจารย์ได้ง่ายมาก และสามารถเสนอเมื่อไหร่ก็ได้เวลาที่เรามีอะไรไม่สบายใจ หรือว่าต้องการจะพูดอะไร ตอนแรกไปผมก็จะติดนิสัยคนไทย เขินอายไม่กล้าพูด แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมอยากจะพูดเยอะๆ เสนอเยอะๆ เพราะว่าเราทุกคนก็มีความคิดที่แตกต่างกันแล้วนี่ก็คือวิธีที่จะทำให้เราสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี