Day1
เริ่มช้าไม่เสียหาย
ผมเริ่มการเดินทางด้วยรถไฟฟรี จากกรุงเทพ-หนองคายครับ ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ12-13 ชม. เริ่มต้นที่หัวลำโพงรถไฟจะออกเวลาประมาณ 20.45 น. ของทุกวันครับ ขึ้นรถมาผมกับเพื่อนๆมาจ้องตั๋วช้าจึงทำให้เราได้ตั๋วไม่มีเลขที่นั่ง ก็คือตั๋วยืนนั่นแหละครับ ขึ้นรถไฟมาเราได้พบกับ ลุงคนหนึ่งเพื่อนผมถามลุงว่าที่นั่งข้างลุงมีคนนั่งไหมครับ ลุงบอกนั่งเถอะรถมันไม่ลุงแกเป็นคนอุดรนั่งรถไฟกลับบ้านประจำ เรานั่งแบบหลับๆตื่นๆ พอตกประมาณ 21.30 น. กว่าๆ ผมลืมตาตื่นมาพร้อมกับเพื่อนข้างๆทักขึ้นว่า “สวัสดีครับ” ผมก็ยิ้มและบอกสวัสดี เขาก็ถามขึ้นว่า จะไปไหนกันหรอ? เราก็บอกเขาไปว่าเราจะเดินทางโดยที่เป้าหมายเราอยู่ที่ฮานอย หลังจากที่เราถามจะพูดคุยกันซักระยะ เราก็เริ่มชินและนั่งไปเรื่อยๆ เพื่อนใหม่คนนี้ชื่อ เจมส์ เขาก้เดินทางไปสุดสายเหมือนกันกับผมโดย เขาบอกว่าเขาเดินทางกลับประจำเพราะแฟนเขามาเรียนอยู่ที่หนองคาย เจมส์ เป็นคนอัธยาศัยดี เขาก็เริ่มอีกไปทักเพื่อนสาวอีกสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันเช่นเดียวกับที่ทักผม คนนึงชื่อ อ๋อม ส่วนอีกคนชื่อ ปุ๋มทั้งสองคนทำงานที่เดียว และเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ ป.3 เขาบอกว่าแม่ของเขา2คนก็สนิทกันเป็นเพื่อนกันมาก่อน ซึ่งผมตกใจอยู่เหมือนกัน คือถ้าจะนับเพื่อนในช่วงวัยเรียนที่ไม่ได้อยู่ใกล้บ้าน ผมกับไอ้เหม็นเพื่อนผมก็สนิทกันมาตั่งแต่ ป.4,ป.5 หลังจากคุยกันผก็ชวนเขาไปเที่ยวด้วย แต่เขาบอกมันนานไป ฮ่า ฮ่า
ราตรีเริ่มออกฤทธิ์
จนประมาณตี 01.30 น. ทุกๆอย่างเริ่มเงียบผู้โดยสารเริ่มอ่อนเพลียจากาการเดินทาง แต่ก็มีลุงขายกาแฟมาหยุดต่อหน้าพวกเพื่อนผมที่นั่งลงอยู่กับพื้น คุยไปคุยมาลุงก็โชว์ของดีให้ดู ผมกับเพื่อนก็ถามว่ามันช่วยได้ไหม เขาบอกก็ดีขึ้นและก็หัวเราะก่อนเดินจากไปลงที่สถานีรำนาราย เงียบ เงียบ เงียบ แล้วก็มีเสียงดังขึ้นดังป๊าด... ไอ้เจมส์ตดซะลั่นรถไฟแถมยังเป็นตอนที่รถไฟเทียบสถานีซะอีก ฮ่า ฮ่า และก็เพื่อนผมไอ้เหม็นดันทะลึ่งปวดท้องแต่ก็เข้าห้องน้ำตอนรถไฟหยุดพอดีผมกับไอ้พลฮาลั่น(มันจะขี้ยังไงวะเนี้ย) หลังจากนั้นเราเงียบอีกครั้งและเริ่มจะหลับ ผมก็ลงมานั่งหลับที่กลางทางเดินบนรถไฟแต่ก็มีผู้โดยสารคนอื่นจะไปเข้าห้องน้ำซึ่งต้องผ่านทางผมก็ทำให้หลับไม่ได้อีกเป็นอย่างนี้2-3รอบจนไม่ได้นอน
กลิ่นนี้ก็ชื่นใจ
เราเข้าห้องน้ำพร้อมกันกับเพื่อน2คนซึ่งห้องนึงมีไฟอีกห้องไม่มีไฟ เราเข้าห้องไม่มีไฟ มีกลิ่มเหมือนขี้ลอยมาผมกับเพื่อนคิดว่าไม่ใครก็ใครล่ะเหยียบขี้แน่นอนเพราะอาจมีคนมาเข้าแล้วไม่ล้าง รีบดมกันใหญ่ เสื้อ กางเกง รองเท้า เส้นผม มือ ออกจากห้องน้ำมาก็ยังไม่หายกระวนกระวายสุดท้ายแล้วกลิ่นมันมาจากข้างทาง สุดท้ายมาถึงที่ ตม. ทำเรื่องและเข้าลาว ก็มาถึงเขาจะให้กรอกใบออกจากประเทศไทย ประมาณไม่เกิน20บาทพอเสร็จเราก็นั่งรถไปอีก10นาที และทำเช่นเดียวกับที่ไทย คือกรอกและเสียค่าบริการประมาณ50-100บาท แต่หากอยากจ่ายเป็นเงินกีบ เขาก็มีให้แลกที่ ตม. 10,000 กีบประมาณ 35-40 บาท จากนั้นเดินทางเข้าเวียงจันทร์ใช้เวลาไมนานมากประมาณ 15-20 นาที
มื้อนี้พี่แค่ลอง
พอถึงเวียงจันทร์ขั้นแรกเลยหาห้องน้ำเข้า และก็ตามด้วยการกินข้าวมื้อแรกที่ถือว่าเป็นอาหารของประเทศลาวและเดินทางต่อไปที่ วังเวียงทันที ใช้เวลาประมาน3ชั่วโมงที่เรานั่งรถจากเวียงจันทร์มาวังเวียง ห้องน้ำที่นี้จะไม่มีปั๊มให้เข้าแต่เขาจะให้เราเข้าที่จุดแวะพัก ถึงวังเวียงประมาณหัวค่ำเรายังไม่มีที่พักจึงเดินหากันเราก็มาได้ที่ ดอกคูณ เป็นห้องเดียว2เตียง เรานอน3คน พี่เขาคิดคนละ 200 บาทไทย ตกแล้วประมาณ 600 บาท ไม่รอช้าเก็บข้าวของเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะตั้งแต่ที่มาถึงรู้สึกบ้านเมืองเขาคึกครื้นดี เลยกินเบียร์ลาวซะหน่อย 2ขวดเบาๆ และที่สำคัญเขาบอกมาที่ ซากุระบาร์เด็ดจริงเลยเข้าไปลอง สุดท้ายเมายับ ร้านจะปิดประมาณ5ทุ่ม ซึ่งเราออกมาจากร้านจะกลับห้องแต่เราเดินไปเจอผู้หญิงชาวฝรั่งเศส 2คน นั่งกินอยู่ที่พื้น แบบชิวๆเราก็เข้าไปทักทาย คุยไปคุยมาได้เกือบ2ชม.หมดเบียร์ไปอีกเยอะสติเริ่มเลือนราง จำได้ว่าเธอชื่อ อิด้ากับลูซี่ จากนั้นหลับยาวๆบนห้องนอน
Day2
เอ้า...โดด
เราตื่นมา เที่ยง เนื่องจากเมาและเพลียก็เดินหาของกิน สุดท้ายมาม่าของคุ้นเคย แล้วก็มีแปลนกันว่าจะเช่ามอไซค์ขับเที่ยววันนี้ จะไปที่บลูลากูนและถ้ำปูคำ ใช้เวลาเดินทางประมาณ20-30 นาที ภาพที่ได้เห็นคือ คนเยอะเหลือเกิน แทบไม่มีที่นั่ง บางส่วนก็กระโดดเล่นน้ำกันอย่างเมามันส์ ไอ้เราก็เอาซะหน่อยมาทั้งที จัดไปคนละรอบ2รอบ บอความรู้สึกได้เลยว่าน้ำเย็นมาก สีน้ำอาจจะไม่ใสเท่าที่เห็นรูปที่เราค้นหา แต่บอกได้เลยการกระโดดนั้นตอนปืนขึ้นมีเสียวบ้างเล็กน้อย เพราะมันเปียกน้ำกลัวจะลื่นและก็สูงพอที่จะทำให้กลัวได้ ตอนที่ผมขึ้นไปกะจะลงแล้วแต่เจ้ากรรมดันหันมาเห็น เด็กต่างชาติตัวเล็กคนนึงขึ้นตามหลังมา ผมคิดในใจ เอาดิ เด็กยังกล้าแล้วกูจะกลัวอะไร แต่หลังจากนั้นทำไมมันถึงคิวกูไวจังวะ เอ้า! โดดสิครับรออะไร ตอนที่โดลงมาก็ตะโกนโว้ยๆ ออกมา โดยรวมผมชอบอากาศกำลังดี น้ำเย็นเล่นสนุก
มนุษย์ถ้ำ
หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปถ้ำปูคำ ก็อยู่ที่เดียวกับบลูลากูนแหละ ทางขึ้นลำบากนิดหน่อยค่อยชั้นเดินมาซัก10นาทีก็ถึงทางเข้าถ้ำ ความรู้สึกแรก คือมันเย็นมากแต่ก็เป็นธรรมดาเพราะอากาศในถ้ำค่อนข้างเย็นอยู่แล้วเนืองจากไม่มีแสงแดดมากมาย แต่ภาพที่เห็นคือมีแสงส่องมาในถ้ำสวยจริงแถมส่องลงไปที่องค์พระพุทธรูปแต่ไม่ทราบว่าพระอะไรครับไม่ได้หาข้อมูลไว้ เราก็คิดว่าขึ้นมาแล้วแค่นี้หรอแล้วก็ต้องลงมันไม่มีอะไรเลยหรอ ที่ไหนได้มีทางไปต่อผมกับเพื่อนก็ปีนป่ายเข้าไป ผมถือกล้อง1ตัว เพื่อนถือน้ำ1ขวดและแบกเป้เดินไปเรื่อยๆแสงก็น้อยลงเรื่อยๆเช่นกัน เห้ยยิ่งเดินยิ่งลำบากคือในถ้ำจะมีน้ำหยดแล้วทางมันก็ลื่นเดินยากแถมยังมืด ทางออกอยู่ไหนก็ไม่รู้ถ้าไม่วนทางเดิมคงออกไม่ได้ แต่ดวงดีมีไกด์พานักท่องเที่ยวมา
คนดีกลางขุนเขา
เดินไปไกด์ก็พูดแนะนำนี่เป็นหินปูน เอาไว้ทำแก้ว บลา บลา บลา แต่ส่องดูแล้วมันสวยมากจริงๆ พอเราออกมาจากถ้ำพวกกรุ๊ปทัวร์เขาชอบใจพวกเราเลยได้ร่วมถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกแต่เป็นกล้องเขาลืมใช้ของเราถ่าย ขากลับก็ขับรถมอเตอร์ไซค์กลับ บอกได้เลยข้างทางมันคือ ”กุยหลิน”ชัดๆ เราเห็นผู้หญิงต่างชาติรถเสียอยู่ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอพวกเรามาแวะถ่ายภาพก็ดันเจอเขาเข็นรถมาซึ่งฟ้าเริ่มจะมืด ระยะทางที่เขาเข็นมาก็ไกลมากด้วย เพื่อนผมก็เลยถามเขาว่ามีไรให้ช่วยไหม เขาบอกรถเขาเสียพวกเราก็ช่วยดูว่าเสียตรงไหน สรุปน้ำมันหมด แต่ระหว่างที่ขับมาเพื่อนผมมันมองหาร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์เพราะมันกลัวเผื่อมีอะไรผิดพลาดจะได้หาร้านซ่อมได้ เราจึงได้นึกออกมาควรจะไปหาซื้อน้ำมันจากแถวๆนั้นมาให้เขา หลังจากเติมน้ำมันให้เขาแล้ว 2สาวบอกดีใจมากๆ และพวกเราก็ถ่ายภาพอีกเช่นเคย เรากลับมาถึงยังบริเวณเซ๊นเตอร์ของเมือง กะจะเอารถไปคืนและมานั่งหาข้าวกินแต่ไฟที่วังเวียงดันดับทั้งเมืองซะงั้น เราเลยไปหาข่าวกินก่อนจะเอารถไปคืนในทีหลัง
กินข้าวใต้แสงเทียน
มันดูค่อยข้างโรแมนติคเพราะเรากินข้าวใต้แสงเทียน หลังจากนั้น ต่อกันอีกที่ซากุระบาร์ แล้วต่อกันที่ 101 เป็นผับเล็กๆ นั่นแหละเป็นรื่อง พวกเราก็นั่งคุยนั่งแลกเปลี่ยนความคิดกันอยู่กับสาวลาวและก็ฝรั่ง แต่มีผู้หญิงคนนึงมีคุยกับพวกผม ผมก็แค่คุยกลับไป แฟนเขาเห็ยแบบนั้นก็หึงเขาดูค่อยข้างจะเมาๆด้วยแหละ ทำท่าจะเอาเรื่องพวกผมที่ไปคุยกับแฟนเขา เราบอกเห้ยไม่มีอะไรเลยขอโทษเขาไป เรื่องนี้ให้ชื่อว่า “เกือบโดนตีนฟรีที่ลาว” หลังจากนั้นเราก็คุยกับใครไปเรื่อย แต่มีอยู่ 2 คน เพื่อนผมไปสอนให้เขาพูดว่า พ่อ ตาย ฝรั่งคนนั้นก็หันกลับมาด่าผมเฉยๆ ต่างคนต่างเมา โว้ยวายกันลั่นบ้าน ฝรั่งก็พูดขึ้นอีกไม่เคยกลัวอะไรเลยเว้ย แล้วเขาเดินตากฝนเล่น เดินวนไปวนมา จะบ้าไปไหนนิ สุดท้ายเกือบเช้าแยกย้ายนอนหลับ แทบจะบ้าตาย
Day3
อ่อนแอก็แพ้ไป
ตื่นนอนตามเคยเที่ยงกว่าเกือบบ่ายต้องบอกเลยว่าเพลียมาก ทั้งกินทั้งดื่ม ตื่นมาก็ซดมาม่า คนละถ้วยตกลงกันว่าจะไปไหน ยังไง เราก็ลองเดินเล่นรอบๆดูว่าจะทำอะไรดี สุดท้ายเราสรุปว่าทูบ จัดแจงถามราคาแต่ช่วงเวลาที่ผมจะเช่าเล่นมันกระชั้นชิดมาก ราคาเล่นทูบบิ้งประมาณคนละ 200 เราเริ่มเล่นประ 16.30น แต่ต้องเล่นให้เสร็จก่อนเวลา 18.00น. เพราะเราจะได้เงินมัดจำคืน ตอนแรกเลยน้ำมันเชี่ยวมากกว่าจะนั่งบนห่วงได้เสียเวลาอยู่นิดนึง พอขึ้นได้ก็ปล่อยไหลกะจะไปพร้อมๆกันแต่ก็ดันไม่พร้อมอีก มั่วสิตัวใครตัวมันละทีนี้ ปล่อยไหลไปชิวๆ บรรยากาศแบบสุดๆ ร่องแม่น้ำท่ามกลางขุนเขา ขนาดเคยเห็นคนเล่นแต่นี่บอกได้เลยว่ามากกว่าที่เราดูจาก โทรทัศน์จริงๆ เสียดายที่สุดคือไม่มีใครพกกล้องหรือโทรศัพท์มาซักคนเดียว เลยทำให้ไม่มีภาพการเล่นกิจกรรมนี้ ไหลไปเรื่อยๆเหลือบมองนาฬิกา โอ้โห

ละครับ เหลือครึ่งชั่วโมงผมเลยตะโกนบอกเพื่อน ไปว่า เห้ยจะไม่ทันนะเร่งหน่อยๆ เท่านี้แหละแต่ละคนงัดท่าว่ายมาใช้กันสุดฤทธิ์ เหนื่อยไป ขำไป ปวดร้าวกันไปทั้งร่างกาย สุดท้ายเราก็ทำได้เสร็จก่อน 18.00น. แค่ 10นาที
ส่งท้ายวังเวียง
เราเล่นเสร็จปุ๊บก็มากินข้าวร้านเดิมเลยแต่วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่วังเวียงแล้วเลยเปลี่ยนเมนูอาหารซะหน่อย จัดไป ส้มตำ ลาบหมู ไข่เจียว แบบลาวเวอร์ชั่น กินเสร็จอ้วกแตกกินเยอะเกิน ฮ่า ฮ่า หลังจากนั้นอาบน้ำและไปยังที่เดิมซากุระบาร์ แต่วันนี้ค่อยข้างเงียบต่างจากวันก่อนๆ สงสัยไม่ใช่เสาร์-อาทิตย์ คนเลยหายหมด วันนี้พิเศษหน่อยเราสังเกตุเห็นคนเขาเล่นลูกโปร่งกันเราเลยซื้อมาเล่นบ้างเพื่อนผมบอกว่ามันสูดเข้า สูดออกและจะมึน เขาเรียกมันว่าแก๊สหัวเราะ ผมขอลองสูดเข้าไปๆ พอหมดเท่านั้นแหละมันชาทั้งหน้าอยู่ๆก็หัวเราะ แต่มันแค่ประมาณ10 วิเท่านั้นก็หายไปเสียดายจริงๆหลังจากซากุระปิด เราโยกไปที่ วิวาบาร์ VIVA BAR เต้นกันยับมองดูเวลาก็ประมาณตี 3ครึ่งแต่เราก็ดันไปคุยกับเพื่อนชาว เกาหลีอีก เราคุยกันยันตี 5 เช้าอีกแล้วสินะ เราก็แยกย้ายกันนอน ผมลืมบอกไปผมต้องไปหลวงพระบางตอน 08.30 น.

รถไฟขบวนแรกเริ่มของเรา

ลุงที่ชวนเรานั่งบนรถไฟ

ความแน่นของคนบนรถไฟ

เพื่อนผมก็อดทนไม่ไหวเช่นเดียวกัน

ลุงขายกาแฟ

ของขลังจากลุงกาแฟ

อาหารมื้อแรกที่ฝั่งลาว

สถานีปลายทาง "หนองคาย"

ปรึกษากันเรื่องการเดินทาง

จุดพักที่เดินทางจากเวียงจันทร์-วังเวียง

รถตู้เวียงจันทร์ไปวังเวียง

ห้องพักที่ไม่ได้หูหรา แต่เน้นเข้าออกง่าย

วิวจากระเบียงที่พัก

วิวจากระเบียงที่พัก

พายคายัค
[CR] ลาว-เวียดนา สองข้างทางยังต้องลุย
ผมเริ่มการเดินทางด้วยรถไฟฟรี จากกรุงเทพ-หนองคายครับ ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ12-13 ชม. เริ่มต้นที่หัวลำโพงรถไฟจะออกเวลาประมาณ 20.45 น. ของทุกวันครับ ขึ้นรถมาผมกับเพื่อนๆมาจ้องตั๋วช้าจึงทำให้เราได้ตั๋วไม่มีเลขที่นั่ง ก็คือตั๋วยืนนั่นแหละครับ ขึ้นรถไฟมาเราได้พบกับ ลุงคนหนึ่งเพื่อนผมถามลุงว่าที่นั่งข้างลุงมีคนนั่งไหมครับ ลุงบอกนั่งเถอะรถมันไม่ลุงแกเป็นคนอุดรนั่งรถไฟกลับบ้านประจำ เรานั่งแบบหลับๆตื่นๆ พอตกประมาณ 21.30 น. กว่าๆ ผมลืมตาตื่นมาพร้อมกับเพื่อนข้างๆทักขึ้นว่า “สวัสดีครับ” ผมก็ยิ้มและบอกสวัสดี เขาก็ถามขึ้นว่า จะไปไหนกันหรอ? เราก็บอกเขาไปว่าเราจะเดินทางโดยที่เป้าหมายเราอยู่ที่ฮานอย หลังจากที่เราถามจะพูดคุยกันซักระยะ เราก็เริ่มชินและนั่งไปเรื่อยๆ เพื่อนใหม่คนนี้ชื่อ เจมส์ เขาก้เดินทางไปสุดสายเหมือนกันกับผมโดย เขาบอกว่าเขาเดินทางกลับประจำเพราะแฟนเขามาเรียนอยู่ที่หนองคาย เจมส์ เป็นคนอัธยาศัยดี เขาก็เริ่มอีกไปทักเพื่อนสาวอีกสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันเช่นเดียวกับที่ทักผม คนนึงชื่อ อ๋อม ส่วนอีกคนชื่อ ปุ๋มทั้งสองคนทำงานที่เดียว และเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ ป.3 เขาบอกว่าแม่ของเขา2คนก็สนิทกันเป็นเพื่อนกันมาก่อน ซึ่งผมตกใจอยู่เหมือนกัน คือถ้าจะนับเพื่อนในช่วงวัยเรียนที่ไม่ได้อยู่ใกล้บ้าน ผมกับไอ้เหม็นเพื่อนผมก็สนิทกันมาตั่งแต่ ป.4,ป.5 หลังจากคุยกันผก็ชวนเขาไปเที่ยวด้วย แต่เขาบอกมันนานไป ฮ่า ฮ่า
จนประมาณตี 01.30 น. ทุกๆอย่างเริ่มเงียบผู้โดยสารเริ่มอ่อนเพลียจากาการเดินทาง แต่ก็มีลุงขายกาแฟมาหยุดต่อหน้าพวกเพื่อนผมที่นั่งลงอยู่กับพื้น คุยไปคุยมาลุงก็โชว์ของดีให้ดู ผมกับเพื่อนก็ถามว่ามันช่วยได้ไหม เขาบอกก็ดีขึ้นและก็หัวเราะก่อนเดินจากไปลงที่สถานีรำนาราย เงียบ เงียบ เงียบ แล้วก็มีเสียงดังขึ้นดังป๊าด... ไอ้เจมส์ตดซะลั่นรถไฟแถมยังเป็นตอนที่รถไฟเทียบสถานีซะอีก ฮ่า ฮ่า และก็เพื่อนผมไอ้เหม็นดันทะลึ่งปวดท้องแต่ก็เข้าห้องน้ำตอนรถไฟหยุดพอดีผมกับไอ้พลฮาลั่น(มันจะขี้ยังไงวะเนี้ย) หลังจากนั้นเราเงียบอีกครั้งและเริ่มจะหลับ ผมก็ลงมานั่งหลับที่กลางทางเดินบนรถไฟแต่ก็มีผู้โดยสารคนอื่นจะไปเข้าห้องน้ำซึ่งต้องผ่านทางผมก็ทำให้หลับไม่ได้อีกเป็นอย่างนี้2-3รอบจนไม่ได้นอน
เราเข้าห้องน้ำพร้อมกันกับเพื่อน2คนซึ่งห้องนึงมีไฟอีกห้องไม่มีไฟ เราเข้าห้องไม่มีไฟ มีกลิ่มเหมือนขี้ลอยมาผมกับเพื่อนคิดว่าไม่ใครก็ใครล่ะเหยียบขี้แน่นอนเพราะอาจมีคนมาเข้าแล้วไม่ล้าง รีบดมกันใหญ่ เสื้อ กางเกง รองเท้า เส้นผม มือ ออกจากห้องน้ำมาก็ยังไม่หายกระวนกระวายสุดท้ายแล้วกลิ่นมันมาจากข้างทาง สุดท้ายมาถึงที่ ตม. ทำเรื่องและเข้าลาว ก็มาถึงเขาจะให้กรอกใบออกจากประเทศไทย ประมาณไม่เกิน20บาทพอเสร็จเราก็นั่งรถไปอีก10นาที และทำเช่นเดียวกับที่ไทย คือกรอกและเสียค่าบริการประมาณ50-100บาท แต่หากอยากจ่ายเป็นเงินกีบ เขาก็มีให้แลกที่ ตม. 10,000 กีบประมาณ 35-40 บาท จากนั้นเดินทางเข้าเวียงจันทร์ใช้เวลาไมนานมากประมาณ 15-20 นาที
พอถึงเวียงจันทร์ขั้นแรกเลยหาห้องน้ำเข้า และก็ตามด้วยการกินข้าวมื้อแรกที่ถือว่าเป็นอาหารของประเทศลาวและเดินทางต่อไปที่ วังเวียงทันที ใช้เวลาประมาน3ชั่วโมงที่เรานั่งรถจากเวียงจันทร์มาวังเวียง ห้องน้ำที่นี้จะไม่มีปั๊มให้เข้าแต่เขาจะให้เราเข้าที่จุดแวะพัก ถึงวังเวียงประมาณหัวค่ำเรายังไม่มีที่พักจึงเดินหากันเราก็มาได้ที่ ดอกคูณ เป็นห้องเดียว2เตียง เรานอน3คน พี่เขาคิดคนละ 200 บาทไทย ตกแล้วประมาณ 600 บาท ไม่รอช้าเก็บข้าวของเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะตั้งแต่ที่มาถึงรู้สึกบ้านเมืองเขาคึกครื้นดี เลยกินเบียร์ลาวซะหน่อย 2ขวดเบาๆ และที่สำคัญเขาบอกมาที่ ซากุระบาร์เด็ดจริงเลยเข้าไปลอง สุดท้ายเมายับ ร้านจะปิดประมาณ5ทุ่ม ซึ่งเราออกมาจากร้านจะกลับห้องแต่เราเดินไปเจอผู้หญิงชาวฝรั่งเศส 2คน นั่งกินอยู่ที่พื้น แบบชิวๆเราก็เข้าไปทักทาย คุยไปคุยมาได้เกือบ2ชม.หมดเบียร์ไปอีกเยอะสติเริ่มเลือนราง จำได้ว่าเธอชื่อ อิด้ากับลูซี่ จากนั้นหลับยาวๆบนห้องนอน
Day2
เราตื่นมา เที่ยง เนื่องจากเมาและเพลียก็เดินหาของกิน สุดท้ายมาม่าของคุ้นเคย แล้วก็มีแปลนกันว่าจะเช่ามอไซค์ขับเที่ยววันนี้ จะไปที่บลูลากูนและถ้ำปูคำ ใช้เวลาเดินทางประมาณ20-30 นาที ภาพที่ได้เห็นคือ คนเยอะเหลือเกิน แทบไม่มีที่นั่ง บางส่วนก็กระโดดเล่นน้ำกันอย่างเมามันส์ ไอ้เราก็เอาซะหน่อยมาทั้งที จัดไปคนละรอบ2รอบ บอความรู้สึกได้เลยว่าน้ำเย็นมาก สีน้ำอาจจะไม่ใสเท่าที่เห็นรูปที่เราค้นหา แต่บอกได้เลยการกระโดดนั้นตอนปืนขึ้นมีเสียวบ้างเล็กน้อย เพราะมันเปียกน้ำกลัวจะลื่นและก็สูงพอที่จะทำให้กลัวได้ ตอนที่ผมขึ้นไปกะจะลงแล้วแต่เจ้ากรรมดันหันมาเห็น เด็กต่างชาติตัวเล็กคนนึงขึ้นตามหลังมา ผมคิดในใจ เอาดิ เด็กยังกล้าแล้วกูจะกลัวอะไร แต่หลังจากนั้นทำไมมันถึงคิวกูไวจังวะ เอ้า! โดดสิครับรออะไร ตอนที่โดลงมาก็ตะโกนโว้ยๆ ออกมา โดยรวมผมชอบอากาศกำลังดี น้ำเย็นเล่นสนุก
หลังจากนั้นเราก็เดินขึ้นไปถ้ำปูคำ ก็อยู่ที่เดียวกับบลูลากูนแหละ ทางขึ้นลำบากนิดหน่อยค่อยชั้นเดินมาซัก10นาทีก็ถึงทางเข้าถ้ำ ความรู้สึกแรก คือมันเย็นมากแต่ก็เป็นธรรมดาเพราะอากาศในถ้ำค่อนข้างเย็นอยู่แล้วเนืองจากไม่มีแสงแดดมากมาย แต่ภาพที่เห็นคือมีแสงส่องมาในถ้ำสวยจริงแถมส่องลงไปที่องค์พระพุทธรูปแต่ไม่ทราบว่าพระอะไรครับไม่ได้หาข้อมูลไว้ เราก็คิดว่าขึ้นมาแล้วแค่นี้หรอแล้วก็ต้องลงมันไม่มีอะไรเลยหรอ ที่ไหนได้มีทางไปต่อผมกับเพื่อนก็ปีนป่ายเข้าไป ผมถือกล้อง1ตัว เพื่อนถือน้ำ1ขวดและแบกเป้เดินไปเรื่อยๆแสงก็น้อยลงเรื่อยๆเช่นกัน เห้ยยิ่งเดินยิ่งลำบากคือในถ้ำจะมีน้ำหยดแล้วทางมันก็ลื่นเดินยากแถมยังมืด ทางออกอยู่ไหนก็ไม่รู้ถ้าไม่วนทางเดิมคงออกไม่ได้ แต่ดวงดีมีไกด์พานักท่องเที่ยวมา
เดินไปไกด์ก็พูดแนะนำนี่เป็นหินปูน เอาไว้ทำแก้ว บลา บลา บลา แต่ส่องดูแล้วมันสวยมากจริงๆ พอเราออกมาจากถ้ำพวกกรุ๊ปทัวร์เขาชอบใจพวกเราเลยได้ร่วมถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกแต่เป็นกล้องเขาลืมใช้ของเราถ่าย ขากลับก็ขับรถมอเตอร์ไซค์กลับ บอกได้เลยข้างทางมันคือ ”กุยหลิน”ชัดๆ เราเห็นผู้หญิงต่างชาติรถเสียอยู่ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอพวกเรามาแวะถ่ายภาพก็ดันเจอเขาเข็นรถมาซึ่งฟ้าเริ่มจะมืด ระยะทางที่เขาเข็นมาก็ไกลมากด้วย เพื่อนผมก็เลยถามเขาว่ามีไรให้ช่วยไหม เขาบอกรถเขาเสียพวกเราก็ช่วยดูว่าเสียตรงไหน สรุปน้ำมันหมด แต่ระหว่างที่ขับมาเพื่อนผมมันมองหาร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์เพราะมันกลัวเผื่อมีอะไรผิดพลาดจะได้หาร้านซ่อมได้ เราจึงได้นึกออกมาควรจะไปหาซื้อน้ำมันจากแถวๆนั้นมาให้เขา หลังจากเติมน้ำมันให้เขาแล้ว 2สาวบอกดีใจมากๆ และพวกเราก็ถ่ายภาพอีกเช่นเคย เรากลับมาถึงยังบริเวณเซ๊นเตอร์ของเมือง กะจะเอารถไปคืนและมานั่งหาข้าวกินแต่ไฟที่วังเวียงดันดับทั้งเมืองซะงั้น เราเลยไปหาข่าวกินก่อนจะเอารถไปคืนในทีหลัง
กินข้าวใต้แสงเทียน
มันดูค่อยข้างโรแมนติคเพราะเรากินข้าวใต้แสงเทียน หลังจากนั้น ต่อกันอีกที่ซากุระบาร์ แล้วต่อกันที่ 101 เป็นผับเล็กๆ นั่นแหละเป็นรื่อง พวกเราก็นั่งคุยนั่งแลกเปลี่ยนความคิดกันอยู่กับสาวลาวและก็ฝรั่ง แต่มีผู้หญิงคนนึงมีคุยกับพวกผม ผมก็แค่คุยกลับไป แฟนเขาเห็ยแบบนั้นก็หึงเขาดูค่อยข้างจะเมาๆด้วยแหละ ทำท่าจะเอาเรื่องพวกผมที่ไปคุยกับแฟนเขา เราบอกเห้ยไม่มีอะไรเลยขอโทษเขาไป เรื่องนี้ให้ชื่อว่า “เกือบโดนตีนฟรีที่ลาว” หลังจากนั้นเราก็คุยกับใครไปเรื่อย แต่มีอยู่ 2 คน เพื่อนผมไปสอนให้เขาพูดว่า พ่อ ตาย ฝรั่งคนนั้นก็หันกลับมาด่าผมเฉยๆ ต่างคนต่างเมา โว้ยวายกันลั่นบ้าน ฝรั่งก็พูดขึ้นอีกไม่เคยกลัวอะไรเลยเว้ย แล้วเขาเดินตากฝนเล่น เดินวนไปวนมา จะบ้าไปไหนนิ สุดท้ายเกือบเช้าแยกย้ายนอนหลับ แทบจะบ้าตาย
Day3
ตื่นนอนตามเคยเที่ยงกว่าเกือบบ่ายต้องบอกเลยว่าเพลียมาก ทั้งกินทั้งดื่ม ตื่นมาก็ซดมาม่า คนละถ้วยตกลงกันว่าจะไปไหน ยังไง เราก็ลองเดินเล่นรอบๆดูว่าจะทำอะไรดี สุดท้ายเราสรุปว่าทูบ จัดแจงถามราคาแต่ช่วงเวลาที่ผมจะเช่าเล่นมันกระชั้นชิดมาก ราคาเล่นทูบบิ้งประมาณคนละ 200 เราเริ่มเล่นประ 16.30น แต่ต้องเล่นให้เสร็จก่อนเวลา 18.00น. เพราะเราจะได้เงินมัดจำคืน ตอนแรกเลยน้ำมันเชี่ยวมากกว่าจะนั่งบนห่วงได้เสียเวลาอยู่นิดนึง พอขึ้นได้ก็ปล่อยไหลกะจะไปพร้อมๆกันแต่ก็ดันไม่พร้อมอีก มั่วสิตัวใครตัวมันละทีนี้ ปล่อยไหลไปชิวๆ บรรยากาศแบบสุดๆ ร่องแม่น้ำท่ามกลางขุนเขา ขนาดเคยเห็นคนเล่นแต่นี่บอกได้เลยว่ามากกว่าที่เราดูจาก โทรทัศน์จริงๆ เสียดายที่สุดคือไม่มีใครพกกล้องหรือโทรศัพท์มาซักคนเดียว เลยทำให้ไม่มีภาพการเล่นกิจกรรมนี้ ไหลไปเรื่อยๆเหลือบมองนาฬิกา โอ้โห
เราเล่นเสร็จปุ๊บก็มากินข้าวร้านเดิมเลยแต่วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่วังเวียงแล้วเลยเปลี่ยนเมนูอาหารซะหน่อย จัดไป ส้มตำ ลาบหมู ไข่เจียว แบบลาวเวอร์ชั่น กินเสร็จอ้วกแตกกินเยอะเกิน ฮ่า ฮ่า หลังจากนั้นอาบน้ำและไปยังที่เดิมซากุระบาร์ แต่วันนี้ค่อยข้างเงียบต่างจากวันก่อนๆ สงสัยไม่ใช่เสาร์-อาทิตย์ คนเลยหายหมด วันนี้พิเศษหน่อยเราสังเกตุเห็นคนเขาเล่นลูกโปร่งกันเราเลยซื้อมาเล่นบ้างเพื่อนผมบอกว่ามันสูดเข้า สูดออกและจะมึน เขาเรียกมันว่าแก๊สหัวเราะ ผมขอลองสูดเข้าไปๆ พอหมดเท่านั้นแหละมันชาทั้งหน้าอยู่ๆก็หัวเราะ แต่มันแค่ประมาณ10 วิเท่านั้นก็หายไปเสียดายจริงๆหลังจากซากุระปิด เราโยกไปที่ วิวาบาร์ VIVA BAR เต้นกันยับมองดูเวลาก็ประมาณตี 3ครึ่งแต่เราก็ดันไปคุยกับเพื่อนชาว เกาหลีอีก เราคุยกันยันตี 5 เช้าอีกแล้วสินะ เราก็แยกย้ายกันนอน ผมลืมบอกไปผมต้องไปหลวงพระบางตอน 08.30 น.