คนเราจะไปเที่ยวคนเดียวได้ยังไง
การไปต่างประเทศครั้งแรกของแต่ละคนจะรู้สึกอย่างไรกัน
เราจะใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ไหม
จะอยู่ในที่ที่ผู้คนไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเราได้หรือไม่
….
ตัวเราเท่านั้นที่จะให้คำอธิบายกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีที่สุด

การไปเที่ยวอาจไม่ตอบโจทย์ชีวิตของใครหลายคน แม้ลึกๆเขาอาจจะอยากไปเที่ยว แต่ด้วยภาระหน้าที่ หรืออะไรต่างๆในชีวิตทำให้ความรู้สึกนี้มันยังคงอยู่ลึกเหมือนเดิม และอาจจะลึกลงไปเรื่อยๆจนหายไปเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเวลาได้คิดถึงมัน สิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องออกไปเที่ยว ไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ มันอยู่ที่ว่าเรามีความสุขกับชีวิตตอนนี้แค่ไหน ตอนที่เราอยู่ที่บ้าน เราเข้าใจตัวเองแค่ไหน ทุกอย่างที่เราเจอทุกวัน เพื่อน ครอบครัว งานที่เราทำ สิ่งเหล่านี้เรารับมือกับมันได้แค่ไหน เรามีความสุขกับมันหรือไม่ ถ้าเราเข้าใจมัน มีความสุขกับมัน การออกไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ออกไปหาประสบการณ์ต่างๆ มันก็เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีก็ไม่ตาย หายไปก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นก็ได้ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตที่ถ้าได้ทำก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นทุกข์เสมอไป เราว่ามันเป็นเหมือนฝันดีที่เรายังจำได้เท่านั้นเอง
มีเหตุการณ์ที่สถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่งในโตเกียว ตอนนั้นพึ่งกลับมาจากฟาร์มที่ไปช่วยงาน แล้วลุงเจ้าของฟาร์ม แชทมาถามไถ่ว่าเราถึงไหนแล้ว เดินทางปลอดภัยดีไหม ตอนนั้นน้ำตาไหลเลย คิดถึงลุง คิดถึงฟาร์ม คิดไปถึงว่าเรามาทำอะไรที่นี่ ตอนนั้นความเหงาที่ไม่ได้สัมผัสมานานก็อัดเข้ามากลางใจเต็มๆ ก่อนหน้านี้แถบจะจำความรู้สึกนั้นไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ มันอธิบายไม่ถูก ทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพรูเข้ามาในใจเต็มไปหมด ตั้งแต่วันแรกในญี่ปุ่นจนถึงตอนนั้น ภาพต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรามันวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนดูหนังแล้วภาพที่ฉายมันวนย้อนไปมาเรื่อยๆ แม้ว่าน้ำตาจะไหลออกมามากมาย กับความรู้สึกเหงาที่แทบจะล้นออกมาจากใจ แต่การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก เราได้รู้อะไรหลายๆอย่าง ได้เรียนรู้วัฒนธรรม แต่ที่สำคัญที่สุดเราได้เรียนรู้ตัวเอง ที่ว่ากันว่าไม่มีอะไรลึกล้ำไปกว่าจิตใจคนเรานั้น มันใช่เลย เข้าใจง่ายแต่ก็ยากในบางที มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และลึกล้ำมาก มากเกินกว่าห้วงอวกาศที่มนุษย์เราศึกษาเสียอีก ไม่ว่าจะเราไปได้ไกลแค่ไหนในอวกาศ แต่ระยะทางในจิตใจคนเรานั้นลึกซึ้งกว่า กว้างไกลกว่า และยาวนานกว่าที่จะเข้าใจแน่ๆ แม้ว่ามันจะดูไม่ยากนะ แต่มันอยากที่สุดเลยแหละ เพราะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการบังคับใจไม่ให้คิดถึงเรื่องอื่น (โดยเฉพาะเรื่องคนอื่น) ซึ่งมันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา^^ แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็ได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับใจตัวเอง ไม่คิดถึงเรื่องอื่น ที่เขาว่ากันว่าการเดินทางทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นนั้นคงจะจริง และคงต้องศึกษามันให้มากขึ้นแล้วหล่ะ
ไปดูเรื่องราวแบบเต็มๆกันเลยดีกว่า บอกไว้ก่อนว่า กระทู้นี้ไม่มีรีวิวขั้นตอนแบบละเอียด(เพราะหลายๆท่านได้รีวิวไว้อย่างดีแล้ว) ไม่มีภาพสวยๆ (เพราะเราถ่ายภาพไม่เก่ง และก็ลืมเอาที่ชาจต์แบตกล้องไป) แต่กระทู้นี้จะเต็มไปด้วยความรู้สึก และความคิดเห็นต่อสิ่งๆต่างๆที่ได้เจอแบบจัดเต็ม
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
เวลาสายการบินต่างๆปล่อยโปรท่องเที่ยวถูกๆออกมา หลายคนคงเคยมีโมเมนต์ที่อยากจอง อยากไป แต่ทำไม่ได้ เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆมากมาย ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน ลางานไม่ได้ และอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้เราพลาดเที่ยวบินที่น่าสนใจเหล่านี้ไป
เราเลือกไปกับ air asia และแน่นอนว่าต้องจองตอนโปรถูกๆเท่านั้น 555
วันนี้เราตัดสินใจโยนเหตุผลต่างๆเหล่านี้ทิ้งไป ปล่อยให้ปลายนิ้วได้ทำงานของมัน และทันทีที่กดจองและจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว ปลายนิ้วน้อยๆของเราก็หยุดชะงักลง ปล่อยให้สมองรับภาระอันหนักอึ้งนี้ไปเต็มๆ รู้ตัวอีกที เฮ้ย ! เราจองไปแล้ว จ่ายเงินแล้ว ต้องไปจริงๆใช่ไหม ญี่ปุ่นหรอ ไปกับใคร ไปยังไง ไปคนเดียวได้หรอ ทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพรูเข้ามาในหัวเต็มไปหมด เอาไงดี เอาไงดี คิดวนไปวนมาซ้ำๆ บอกกับตัวเองนิ่งไว้ เย็นไว้ เรียกสติกลับมา ค่อยๆกลับเข้ามาถามตัวเองว่าเราทำอะไรลงไป เราจะไปญี่ปุ่น ครั้งแรกคนเดียว อืม… คิดไปคิดมาก็แค่ไปญี่ปุ่น ครั้งแรกคนเดียว เอาวะ ไปก็ไป ไม่น่ายากเย็นอะไร (ใครๆเขาก็ไปกัน ตามรีวิวในพันทิป) ไหนดูสิจองไปกี่วัน อืม สิบวัน โห! สิบวัน ไปนานจัง ไปทำอะไรตั้งสิบวัน เริ่มเข้าสู่โหมดความคิดอีกครั้ง แบบจริงจัง
ถามตัวเองว่า ตอนนี้สิ่งที่อยากทำจริงๆคืออะไร ไปเที่ยวก็เป็นสิ่งที่อยากทำนะ แต่ถ้าการไปเที่ยวมันเป็นแค่การไปเที่ยวแล้วมันจะได้อะไรมากกว่าการไปเที่ยวหล่ะ จริงๆแล้วเราอยากได้อะไรกันแน่ คำถามนี้เป็นคำถามที่ให้เวลาตัวเองในการหาคำตอบแบบไม่มีกำหนดวันส่งคำตอบ ช่วงนั้นหาคำตอบตัวเองไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา ตอนกินข้าว ตอนพักจากการทำงาน ตอนอยู่เวร หลังจากนั้นไม่นานก็ได้คำตอบ ว่าที่นิ้วน้อยๆของเราทำไปมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันจุดประกายให้เรากล้าออกไปเผชิญโลก
หาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว ว่าเราไม่ได้อยากไปเที่ยว จริงๆแล้วเราอยากไปศึกษาเรียนรู้ ทำไมมีแต่คนไปเที่ยวญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร ต่างจากบ้านเราแค่ไหน ส่วนการได้ไปเที่ยวถือว่าเป็นของแถม ถือว่าเป็นรางวัลให้กับตัวเองละกัน วันนั้นตัดสินแล้วว่าจะไปญี่ปุ่นเพื่อศึกษาวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของเขา ไปดูว่าเขาอยู่ยังไง คิดยังไง ต่างจากคนบ้านเรายังไง ทำไมคนไทยชอบไปญี่ปุ่น
หลังจากได้คำตอบชัดเจนแล้วว่าจะไปญี่ปุ่นเพื่ออะไร เราก็ตัดสินใจไปอยู่กับชาวญี่ปุ่น เริ่มจากสมัครเข้าร่วมโครงการ WWOOF JAPAN โครงการนี้เป็นโครงการที่ให้เราไปช่วยงานเขา ซึ่งมีหลายประเภทให้เลือก เช่น ช่วยเลี้ยงเด็ก ช่วยสอนภาษา ช่วยทำฟาร์ม ช่วยงาน hostel แลกกับการที่เราได้อยู่ฟรี กินฟรี (ตอนนั้นคิดว่าอาจจะคุ้มนะ ได้เรียนรู้ ไม่เสียเงินด้วย ไม่เสียเงิน ไม่เสียเงิน…แล้วมันก็คุ้มจริงๆ สิ่งที่ได้รับกลับมามันมากมายเกินกว่าจะมาคิดต้นทุนที่เสียไปเลยหละ) เราเลือกติดต่อ host ที่เป็นครอบครัวเล็กๆที่ให้เราอาศัยอยู่กับเขา ทำกิจกรรมร่วมกับเขาในบ้าน โดยเลือก host ที่อยู่แถวๆโตเกียว เราเลือกจังหวัด Chiba เดินทางไม่ไกลมาก จากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนแรกยอมรับว่ายากเหมือนกันเพราะ host ส่วนใหญ่ต้องการ wwoofer ที่อยู่เป็นสัปดาห์ขึ้นไป บางที่ต้องอยู่เป็นเดือน และมีข้อจำกัดด้านภาษา อาหาร และอื่นๆอีกมากมาย เราต้องเข้าไปดูรายระเอียดดีๆ เลือก host ที่เหมาะกับตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องให้เวลา host ตอบกลับเราด้วยเพราะ host บางคนเขาไม่ได้อ่านเมลล์ทุกวัน บางคนอาจจะตอบช้าหน่อย เราก็รอไปเรื่อยๆ และหลังจากที่ได้ host แล้วก็ดีใจ ชิวๆไปอีกซักเดือนนึง (จองตั๋วก่อนไปประมาณ 5 เดือนยังมีเวลาวางแผน) อย่างน้อยก็จัดการตัวเองมาได้ครึ่งทางแล้ว ค่อยเป็นค่อยไปละกัน
ก่อนที่จะไปเราก็ลางานก่อน ประมาณสิบวัน (ที่จริงเรามีวันลาแค่หกวันต่อปี แต่อยากไปสิบวันก็เลยตัดสินใจอยู่เวรฟรี แบบไม่คิดค่าเวร เพื่อที่จะเก็บเป็นวันหยุดแทน พี่ๆที่ทำงานเขาก็ใจดีนะ ช่วยจัดตารางเวรให้) ทุกคนค่อนข้างตกใจที่รู้ว่าเราไปคนเดียวทั้งๆที่ไม่เคยไป (แต่ที่บ้านไม่รู้) เพื่อนๆก็เอาใจช่วยนะ ได้อยู่แล้ว ไม่อยากหรอก ค่อยๆไป แต่บางคนก็บอกว่ายากนะ หลงแน่ เหงาแน่ ไปคนเดียวบ้ารึเปล่า ต่างๆนาๆ แต่เราเตรียมใจไว้ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะไปคนเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ต้องเจอ การเดินทางที่บางทีอาจผิดแผนบ้าง หลงบ้าง ก็ไม่เป็นไร เรายอมรับกับสิ่งเหล่านี้ได้ ทุกสิ่งที่แปลกใหม่ถือว่าได้เรียนรู้ และทุกๆการเปลี่ยนแปลงนั้นมันเป็นเรื่องปกติโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เราเข้าใจและยอมรับในตรงนี้ เลยทำให้อุปสรรคในการเดินทางลดลงไปได้มาก แทบจะเป็นศูนย์เลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็จัดการอุปสรรคในการตัดสินใจไปต่างประเทศคนเดียวได้
ก่อนถึงวันเดินทางเรายังทำงานทุกวัน พอรู้ตัวอีกทีก็ถึงวันเดินทางแล้ว ด้วยการที่ต้องเดินทางจากเชียงใหม่เพื่อไปต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมืองนั้น ทำให้เราต้องนอนสนามบินหนึ่งคืน เพราะกลัวว่าจะไม่ทัน คืนแรกดูที่พักที่สนามบินไว้ แต่พอไปถึงจริงๆก็ตัดสินใจไม่พัก เพราะค่าที่พักแพงเกินกว่าจะพักผ่อนอย่างสงบได้ (เสียดายเงินอันน้อยนิดในกระเป๋า) เดินเตร็ดเตร่ไปมาซักพัก เริ่มเห็นคนนอนตามเก้าอี้บ้าง กางที่นอนกับพื้นกันเลยก็มี ดูไปดูมาก็ไม่เลวร้าย แผนสองที่ไม่ได้คิดมาก่อน ก็ผุดขึ้นมาในสมองทันที เฮ้ย! รอดแล้ว มองหาเก้าอี้ซักแถวนึง วางของไกล้ๆตัว แล้วล้มตัวลงนอนทันที คิดว่าเป็นการนอนที่แปลกใหม่ แต่ก็สนุกดี
เช้าวันต่อมาหลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จก็ขึ้นเครื่อง บินตรงสู่ประเทศญี่ปุ่นทันที ประมาณห้าชั่วโมงบนเครื่องบิน หลับๆตื่นๆเป็นสิบรอบได้ แค่หนุ่มๆญี่ปุ่นที่นั้งข้างๆสองคนนั้น ก็ทำให้ได้บรรยากาศของความเป็นญี่ปุ่นละ (พยายามสร้างความคุ้ยเคยให้ตัวเอง) หลังจากนอนหัวโขกกันไปมาหลายรอบกับหนุ่มยุ่นบนเครื่อง ก็ถึงสนามบินนานาชาตินาริตะซักที เป็นเวลาประมานหนึ่งทุ่ม ตามเวลาญี่ปุ่น
[CR] มองชีวิต ผ่านญี่ปุ่น
การไปต่างประเทศครั้งแรกของแต่ละคนจะรู้สึกอย่างไรกัน
เราจะใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้ไหม
จะอยู่ในที่ที่ผู้คนไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเราได้หรือไม่
….
ตัวเราเท่านั้นที่จะให้คำอธิบายกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีที่สุด
การไปเที่ยวอาจไม่ตอบโจทย์ชีวิตของใครหลายคน แม้ลึกๆเขาอาจจะอยากไปเที่ยว แต่ด้วยภาระหน้าที่ หรืออะไรต่างๆในชีวิตทำให้ความรู้สึกนี้มันยังคงอยู่ลึกเหมือนเดิม และอาจจะลึกลงไปเรื่อยๆจนหายไปเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีเวลาได้คิดถึงมัน สิ่งที่พวกเขาทำมันไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องออกไปเที่ยว ไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ มันอยู่ที่ว่าเรามีความสุขกับชีวิตตอนนี้แค่ไหน ตอนที่เราอยู่ที่บ้าน เราเข้าใจตัวเองแค่ไหน ทุกอย่างที่เราเจอทุกวัน เพื่อน ครอบครัว งานที่เราทำ สิ่งเหล่านี้เรารับมือกับมันได้แค่ไหน เรามีความสุขกับมันหรือไม่ ถ้าเราเข้าใจมัน มีความสุขกับมัน การออกไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ออกไปหาประสบการณ์ต่างๆ มันก็เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่ไม่มีก็ไม่ตาย หายไปก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นก็ได้ มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตที่ถ้าได้ทำก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าไม่ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นทุกข์เสมอไป เราว่ามันเป็นเหมือนฝันดีที่เรายังจำได้เท่านั้นเอง
มีเหตุการณ์ที่สถานีรถไฟใต้ดินแห่งหนึ่งในโตเกียว ตอนนั้นพึ่งกลับมาจากฟาร์มที่ไปช่วยงาน แล้วลุงเจ้าของฟาร์ม แชทมาถามไถ่ว่าเราถึงไหนแล้ว เดินทางปลอดภัยดีไหม ตอนนั้นน้ำตาไหลเลย คิดถึงลุง คิดถึงฟาร์ม คิดไปถึงว่าเรามาทำอะไรที่นี่ ตอนนั้นความเหงาที่ไม่ได้สัมผัสมานานก็อัดเข้ามากลางใจเต็มๆ ก่อนหน้านี้แถบจะจำความรู้สึกนั้นไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ มันอธิบายไม่ถูก ทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพรูเข้ามาในใจเต็มไปหมด ตั้งแต่วันแรกในญี่ปุ่นจนถึงตอนนั้น ภาพต่างๆที่เกิดขึ้นกับเรามันวนเวียนเข้ามาเรื่อยๆซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนดูหนังแล้วภาพที่ฉายมันวนย้อนไปมาเรื่อยๆ แม้ว่าน้ำตาจะไหลออกมามากมาย กับความรู้สึกเหงาที่แทบจะล้นออกมาจากใจ แต่การมาญี่ปุ่นครั้งนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก เราได้รู้อะไรหลายๆอย่าง ได้เรียนรู้วัฒนธรรม แต่ที่สำคัญที่สุดเราได้เรียนรู้ตัวเอง ที่ว่ากันว่าไม่มีอะไรลึกล้ำไปกว่าจิตใจคนเรานั้น มันใช่เลย เข้าใจง่ายแต่ก็ยากในบางที มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และลึกล้ำมาก มากเกินกว่าห้วงอวกาศที่มนุษย์เราศึกษาเสียอีก ไม่ว่าจะเราไปได้ไกลแค่ไหนในอวกาศ แต่ระยะทางในจิตใจคนเรานั้นลึกซึ้งกว่า กว้างไกลกว่า และยาวนานกว่าที่จะเข้าใจแน่ๆ แม้ว่ามันจะดูไม่ยากนะ แต่มันอยากที่สุดเลยแหละ เพราะอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการบังคับใจไม่ให้คิดถึงเรื่องอื่น (โดยเฉพาะเรื่องคนอื่น) ซึ่งมันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา^^ แต่อย่างน้อยวันนี้เราก็ได้อยู่กับตัวเอง อยู่กับใจตัวเอง ไม่คิดถึงเรื่องอื่น ที่เขาว่ากันว่าการเดินทางทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นนั้นคงจะจริง และคงต้องศึกษามันให้มากขึ้นแล้วหล่ะ
ไปดูเรื่องราวแบบเต็มๆกันเลยดีกว่า บอกไว้ก่อนว่า กระทู้นี้ไม่มีรีวิวขั้นตอนแบบละเอียด(เพราะหลายๆท่านได้รีวิวไว้อย่างดีแล้ว) ไม่มีภาพสวยๆ (เพราะเราถ่ายภาพไม่เก่ง และก็ลืมเอาที่ชาจต์แบตกล้องไป) แต่กระทู้นี้จะเต็มไปด้วยความรู้สึก และความคิดเห็นต่อสิ่งๆต่างๆที่ได้เจอแบบจัดเต็ม
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
เวลาสายการบินต่างๆปล่อยโปรท่องเที่ยวถูกๆออกมา หลายคนคงเคยมีโมเมนต์ที่อยากจอง อยากไป แต่ทำไม่ได้ เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆมากมาย ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน ลางานไม่ได้ และอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้เราพลาดเที่ยวบินที่น่าสนใจเหล่านี้ไป
วันนี้เราตัดสินใจโยนเหตุผลต่างๆเหล่านี้ทิ้งไป ปล่อยให้ปลายนิ้วได้ทำงานของมัน และทันทีที่กดจองและจ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว ปลายนิ้วน้อยๆของเราก็หยุดชะงักลง ปล่อยให้สมองรับภาระอันหนักอึ้งนี้ไปเต็มๆ รู้ตัวอีกที เฮ้ย ! เราจองไปแล้ว จ่ายเงินแล้ว ต้องไปจริงๆใช่ไหม ญี่ปุ่นหรอ ไปกับใคร ไปยังไง ไปคนเดียวได้หรอ ทุกสิ่งทุกอย่างพรั่งพรูเข้ามาในหัวเต็มไปหมด เอาไงดี เอาไงดี คิดวนไปวนมาซ้ำๆ บอกกับตัวเองนิ่งไว้ เย็นไว้ เรียกสติกลับมา ค่อยๆกลับเข้ามาถามตัวเองว่าเราทำอะไรลงไป เราจะไปญี่ปุ่น ครั้งแรกคนเดียว อืม… คิดไปคิดมาก็แค่ไปญี่ปุ่น ครั้งแรกคนเดียว เอาวะ ไปก็ไป ไม่น่ายากเย็นอะไร (ใครๆเขาก็ไปกัน ตามรีวิวในพันทิป) ไหนดูสิจองไปกี่วัน อืม สิบวัน โห! สิบวัน ไปนานจัง ไปทำอะไรตั้งสิบวัน เริ่มเข้าสู่โหมดความคิดอีกครั้ง แบบจริงจัง
ถามตัวเองว่า ตอนนี้สิ่งที่อยากทำจริงๆคืออะไร ไปเที่ยวก็เป็นสิ่งที่อยากทำนะ แต่ถ้าการไปเที่ยวมันเป็นแค่การไปเที่ยวแล้วมันจะได้อะไรมากกว่าการไปเที่ยวหล่ะ จริงๆแล้วเราอยากได้อะไรกันแน่ คำถามนี้เป็นคำถามที่ให้เวลาตัวเองในการหาคำตอบแบบไม่มีกำหนดวันส่งคำตอบ ช่วงนั้นหาคำตอบตัวเองไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา ตอนกินข้าว ตอนพักจากการทำงาน ตอนอยู่เวร หลังจากนั้นไม่นานก็ได้คำตอบ ว่าที่นิ้วน้อยๆของเราทำไปมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย มันจุดประกายให้เรากล้าออกไปเผชิญโลก
หาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว ว่าเราไม่ได้อยากไปเที่ยว จริงๆแล้วเราอยากไปศึกษาเรียนรู้ ทำไมมีแต่คนไปเที่ยวญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร ต่างจากบ้านเราแค่ไหน ส่วนการได้ไปเที่ยวถือว่าเป็นของแถม ถือว่าเป็นรางวัลให้กับตัวเองละกัน วันนั้นตัดสินแล้วว่าจะไปญี่ปุ่นเพื่อศึกษาวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของเขา ไปดูว่าเขาอยู่ยังไง คิดยังไง ต่างจากคนบ้านเรายังไง ทำไมคนไทยชอบไปญี่ปุ่น
หลังจากได้คำตอบชัดเจนแล้วว่าจะไปญี่ปุ่นเพื่ออะไร เราก็ตัดสินใจไปอยู่กับชาวญี่ปุ่น เริ่มจากสมัครเข้าร่วมโครงการ WWOOF JAPAN โครงการนี้เป็นโครงการที่ให้เราไปช่วยงานเขา ซึ่งมีหลายประเภทให้เลือก เช่น ช่วยเลี้ยงเด็ก ช่วยสอนภาษา ช่วยทำฟาร์ม ช่วยงาน hostel แลกกับการที่เราได้อยู่ฟรี กินฟรี (ตอนนั้นคิดว่าอาจจะคุ้มนะ ได้เรียนรู้ ไม่เสียเงินด้วย ไม่เสียเงิน ไม่เสียเงิน…แล้วมันก็คุ้มจริงๆ สิ่งที่ได้รับกลับมามันมากมายเกินกว่าจะมาคิดต้นทุนที่เสียไปเลยหละ) เราเลือกติดต่อ host ที่เป็นครอบครัวเล็กๆที่ให้เราอาศัยอยู่กับเขา ทำกิจกรรมร่วมกับเขาในบ้าน โดยเลือก host ที่อยู่แถวๆโตเกียว เราเลือกจังหวัด Chiba เดินทางไม่ไกลมาก จากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนแรกยอมรับว่ายากเหมือนกันเพราะ host ส่วนใหญ่ต้องการ wwoofer ที่อยู่เป็นสัปดาห์ขึ้นไป บางที่ต้องอยู่เป็นเดือน และมีข้อจำกัดด้านภาษา อาหาร และอื่นๆอีกมากมาย เราต้องเข้าไปดูรายระเอียดดีๆ เลือก host ที่เหมาะกับตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องให้เวลา host ตอบกลับเราด้วยเพราะ host บางคนเขาไม่ได้อ่านเมลล์ทุกวัน บางคนอาจจะตอบช้าหน่อย เราก็รอไปเรื่อยๆ และหลังจากที่ได้ host แล้วก็ดีใจ ชิวๆไปอีกซักเดือนนึง (จองตั๋วก่อนไปประมาณ 5 เดือนยังมีเวลาวางแผน) อย่างน้อยก็จัดการตัวเองมาได้ครึ่งทางแล้ว ค่อยเป็นค่อยไปละกัน
ก่อนที่จะไปเราก็ลางานก่อน ประมาณสิบวัน (ที่จริงเรามีวันลาแค่หกวันต่อปี แต่อยากไปสิบวันก็เลยตัดสินใจอยู่เวรฟรี แบบไม่คิดค่าเวร เพื่อที่จะเก็บเป็นวันหยุดแทน พี่ๆที่ทำงานเขาก็ใจดีนะ ช่วยจัดตารางเวรให้) ทุกคนค่อนข้างตกใจที่รู้ว่าเราไปคนเดียวทั้งๆที่ไม่เคยไป (แต่ที่บ้านไม่รู้) เพื่อนๆก็เอาใจช่วยนะ ได้อยู่แล้ว ไม่อยากหรอก ค่อยๆไป แต่บางคนก็บอกว่ายากนะ หลงแน่ เหงาแน่ ไปคนเดียวบ้ารึเปล่า ต่างๆนาๆ แต่เราเตรียมใจไว้ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะไปคนเดียวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ต้องเจอ การเดินทางที่บางทีอาจผิดแผนบ้าง หลงบ้าง ก็ไม่เป็นไร เรายอมรับกับสิ่งเหล่านี้ได้ ทุกสิ่งที่แปลกใหม่ถือว่าได้เรียนรู้ และทุกๆการเปลี่ยนแปลงนั้นมันเป็นเรื่องปกติโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เราเข้าใจและยอมรับในตรงนี้ เลยทำให้อุปสรรคในการเดินทางลดลงไปได้มาก แทบจะเป็นศูนย์เลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็จัดการอุปสรรคในการตัดสินใจไปต่างประเทศคนเดียวได้
ก่อนถึงวันเดินทางเรายังทำงานทุกวัน พอรู้ตัวอีกทีก็ถึงวันเดินทางแล้ว ด้วยการที่ต้องเดินทางจากเชียงใหม่เพื่อไปต่อเครื่องที่สนามบินดอนเมืองนั้น ทำให้เราต้องนอนสนามบินหนึ่งคืน เพราะกลัวว่าจะไม่ทัน คืนแรกดูที่พักที่สนามบินไว้ แต่พอไปถึงจริงๆก็ตัดสินใจไม่พัก เพราะค่าที่พักแพงเกินกว่าจะพักผ่อนอย่างสงบได้ (เสียดายเงินอันน้อยนิดในกระเป๋า) เดินเตร็ดเตร่ไปมาซักพัก เริ่มเห็นคนนอนตามเก้าอี้บ้าง กางที่นอนกับพื้นกันเลยก็มี ดูไปดูมาก็ไม่เลวร้าย แผนสองที่ไม่ได้คิดมาก่อน ก็ผุดขึ้นมาในสมองทันที เฮ้ย! รอดแล้ว มองหาเก้าอี้ซักแถวนึง วางของไกล้ๆตัว แล้วล้มตัวลงนอนทันที คิดว่าเป็นการนอนที่แปลกใหม่ แต่ก็สนุกดี
เช้าวันต่อมาหลังจากจัดการกับตัวเองเสร็จก็ขึ้นเครื่อง บินตรงสู่ประเทศญี่ปุ่นทันที ประมาณห้าชั่วโมงบนเครื่องบิน หลับๆตื่นๆเป็นสิบรอบได้ แค่หนุ่มๆญี่ปุ่นที่นั้งข้างๆสองคนนั้น ก็ทำให้ได้บรรยากาศของความเป็นญี่ปุ่นละ (พยายามสร้างความคุ้ยเคยให้ตัวเอง) หลังจากนอนหัวโขกกันไปมาหลายรอบกับหนุ่มยุ่นบนเครื่อง ก็ถึงสนามบินนานาชาตินาริตะซักที เป็นเวลาประมานหนึ่งทุ่ม ตามเวลาญี่ปุ่น