เรื่องนี้ผมนำมาเล่าเพื่อเป็นวิทยาทาน ให้กับทุกคนและได้รับความยินยอมจากเจ้าของเรื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นเรื่องของคนที่ทำแท้ง เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ดีแต่บางคนยังคงจำเป็นต้องทำ นับตั้งแต่วันที่ผมได้เจอเจ้าของเรื่องนี้สิ่งที่ผมพบเห็นโดยทันทีคือ ใบหน้าอันหมองมนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ความสำนึกผิดที่ยากสุดจะแก้ไข และที่สำคัญสิ่งที่รับรู้ได้คือ เขามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินเขาอยู่ตลอดเวลาซึ่งไม่ต้องถามเลยว่า เจ้าของเรื่องนี้ไปทำอะไรมา และในวันนั้นผมไม่สามารถที่จะทำอะไรได้จนกว่าเจ้าของเรื่องจะเปิดใจและต้องการความช่วยเหลือแห่งการปลดปล่อยนั้น
และแล้วเวลาที่ผ่านไปไม่นานจนถึงที่สุดท่านเจ้าของเรื่องก็ทนความทุกข์นั้นไม่ไหว เขาเดินมาหาผมในขณะที่ผมกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ที่ห้องทำงาน เมื่อแรกที่เจอเขาวันนั้น สิ่งที่ผมพูดกับเขาเป็นคำแรกคือ ทนไม่ไหวแล้วเหรอ ซึ่งเขาก็ทำหน้างง ว่าผมพูดอะไร ผมจึงเริ่มด้วยการที่ให้เขาเล่าถึงความคับข้องใจของเขาที่อยู่ในใจ สิ่งที่เขาเล่าคือเขาเป็นคนที่ชอบทำบุญมากโดยเฉพาะกับเด็กยากไร้ เวลาที่เขาทำแบบนั้นเขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เขาหันหน้าเข้าวัดเพื่อทำบุญ หากแต่การกระทำนั้นทำเพื่อชดใช้ความผิดของตัวเอง เพียงพูดเท่านั้นท่านเจ้าของเรื่องก็ร้องไห้ออกมา เขารู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาแต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำลงไปก็ติดตามเขาตลอดเวลา
อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ทีแรกคือมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตามตัวเขาตลอดเวลาจะใครอะเหรอก็เด็กที่เขาทำแท้งมานั่นเอง ใบหน้าของเด็กคนนี้เต็มไปด้วยความแค้น ความอาฆาต และทุกครั้งที่เจอกันเด็กคนนี้กลับมองทุกคนและรวมทั้งผมด้วยสายตาที่ที่ไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่าย แต่นั้นก็เป็นเพราะความแค้นและกรรมทั้งหลายที่เด็กคนนั้นที่ทำไว้ แต่หน้าที่ของผมคือการทำให้เขาทั้งสอง ทั้งคนที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต หลุดพ้น ในวันนี้ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรกับเขาได้ นอกจากจะบอกได้เพียงให้ทำใจยอมรับและอโหสิกรรมให้กันและกัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะมันกลับเป็นการเพิ่มแรงแค้นให้กับดวงวิญญาณเหมือนกัน
หลงจากวันนั้นที่เราแยกย้ายกันไป เมื่อผมกลับไปที่บ้านอยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าเด็กคนนั้นตามผมมาตลอดเวลาเช่นกัน ผมจึงจำเป็นต้องจัดการอย่างเด็ดขากให้จบเรื่องโดยเร็ว
อยู่ๆ ท่านเจ้าของเรื่องก็ทักไลน์ผมว่า และถามผมว่าควรทำอย่างไรดีเพื่อให้เด็กคนนี้ยอมแก่กันและกัน ท่านทั้งหลายครับผมต้องบอกจริงๆว่า เรื่องของการทำลายชีวิต ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องตายตามกันไป นั่นหมายความว่าบางคนอาจจะต้องอยู่กับเรื่องราวเศร้าและต้องสูญเสียสิ่งที่รักอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่ต่างจากอะไรที่ท่านได้ทำลายความรักของเด็กคนนึงที่มีความหวังว่าจะได้มาเกิด กลับมาเข้าเรื่องต่อครับ คืนนั้นผมพยายามบอกให้ท่านเจ้าของเรื่องทำใจยอมรับ และผ่อนหนักเป็นเบา อยู่ อาการของผมก็ผิดปกติ ใจสั่น ปวดหัวเริ่มควบคุมตัวเองไม่อย่าง ตอนนั้นรู้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างพยายามควบคุมผม เพื่อให้เขาทั้งสองได้สื่อกันโดยตรง ผมจึงยอมให้เขาควบคุม หลังจากนั้นผมไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะ มารู้สึกตัวอีกทีก็นั่งอ่านบทสนทนาระหว่างผมที่ไม่รู้สึกตัวกับท่านเจ้าของกระทู้ ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมนับถือท่านเจ้าของเรื่องเป็นพี่คนหนึ่งที่ให้ความเคารพ สิ่งที่ปรากฏในบทสนทนาคือ (ขออนุญาต ใช้คำตรง)“ไม่ต้องพยายามแก้ไขอะไรให้เสียเวลา ไม่ต้องมาสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปด้วยความเห็นแก่ตัว กูไปทำอะไรให้ถึงได้ต้องมาทำลายชีวิตกัน อย่ามารู้สึกผิดในวันที่มันสายไป วันนี้ทำให้กูไม่เกิดและจำไว้ว่าจะไม่มีใครได้มาเกิดกับตลอดไป กูจะทำลายตลอดไป” นี่คือบทสนทนาระหว่างแม่และลูก อย่างที่บอกครับว่า การทำลายชีวิตไม่สารถจะชดใช้หรือแก้ไขอะไรได้ สำหรับเรื่องนี้ทางแก้ไข มันมีเพียงว่าให้ทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น ละพยายามอย่าท้อที่จะชดใช้ให้มันเจือจาก อย่าหลบหลีกยิ่งถ้าหลีกก็จะยิ่งไม่มีทางหลุดพ้น ดังนั้นทำอะไรต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาจะได้ไม่พลาดอะไรง่ายๆ แต่เป็นเรื่องน่าดีในวันนี้ครับว่า วันนี้เขาทั้งสองได้ได้หลุดแต่บ่วงซึ่งกันและกันแล้ว เพราะความความยามและความตั้งใจของท่านเจ้าของเรื่อง ตามวิธีแบ่งเบาซึ่งผมได้แนะนำไป สำหรับท่านนี้ ผมได้ให้เขาต้องถือศิลอย่างเคร่งครัดเมื่อมีโอกาส และให้กินเนื่อสัตว์ให้น้อยที่สุด แต่สิ่งที่เขาตัดสินใจทำคือ การมุ่งหน้าเข้าวัดถือศิลแปด ด้วยการบวชชี เป็นจำนวนหลายพรรษาด้วยกัน
การหลุดพ้นจากเหตุการณ์อันนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างถาวร เพราะเขายังต้องประสบเจอเรื่องของการสูญเสียตามคำอาฆาตที่ได้เอ่ย ไปอีกหลายๆ ชาติไป
เสียงจากลูก
และแล้วเวลาที่ผ่านไปไม่นานจนถึงที่สุดท่านเจ้าของเรื่องก็ทนความทุกข์นั้นไม่ไหว เขาเดินมาหาผมในขณะที่ผมกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ที่ห้องทำงาน เมื่อแรกที่เจอเขาวันนั้น สิ่งที่ผมพูดกับเขาเป็นคำแรกคือ ทนไม่ไหวแล้วเหรอ ซึ่งเขาก็ทำหน้างง ว่าผมพูดอะไร ผมจึงเริ่มด้วยการที่ให้เขาเล่าถึงความคับข้องใจของเขาที่อยู่ในใจ สิ่งที่เขาเล่าคือเขาเป็นคนที่ชอบทำบุญมากโดยเฉพาะกับเด็กยากไร้ เวลาที่เขาทำแบบนั้นเขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เขาหันหน้าเข้าวัดเพื่อทำบุญ หากแต่การกระทำนั้นทำเพื่อชดใช้ความผิดของตัวเอง เพียงพูดเท่านั้นท่านเจ้าของเรื่องก็ร้องไห้ออกมา เขารู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาแต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำลงไปก็ติดตามเขาตลอดเวลา
อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ทีแรกคือมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งตามตัวเขาตลอดเวลาจะใครอะเหรอก็เด็กที่เขาทำแท้งมานั่นเอง ใบหน้าของเด็กคนนี้เต็มไปด้วยความแค้น ความอาฆาต และทุกครั้งที่เจอกันเด็กคนนี้กลับมองทุกคนและรวมทั้งผมด้วยสายตาที่ที่ไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่าย แต่นั้นก็เป็นเพราะความแค้นและกรรมทั้งหลายที่เด็กคนนั้นที่ทำไว้ แต่หน้าที่ของผมคือการทำให้เขาทั้งสอง ทั้งคนที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต หลุดพ้น ในวันนี้ผมไม่สามารถที่จะทำอะไรกับเขาได้ นอกจากจะบอกได้เพียงให้ทำใจยอมรับและอโหสิกรรมให้กันและกัน แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะมันกลับเป็นการเพิ่มแรงแค้นให้กับดวงวิญญาณเหมือนกัน
หลงจากวันนั้นที่เราแยกย้ายกันไป เมื่อผมกลับไปที่บ้านอยู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าเด็กคนนั้นตามผมมาตลอดเวลาเช่นกัน ผมจึงจำเป็นต้องจัดการอย่างเด็ดขากให้จบเรื่องโดยเร็ว
อยู่ๆ ท่านเจ้าของเรื่องก็ทักไลน์ผมว่า และถามผมว่าควรทำอย่างไรดีเพื่อให้เด็กคนนี้ยอมแก่กันและกัน ท่านทั้งหลายครับผมต้องบอกจริงๆว่า เรื่องของการทำลายชีวิต ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องตายตามกันไป นั่นหมายความว่าบางคนอาจจะต้องอยู่กับเรื่องราวเศร้าและต้องสูญเสียสิ่งที่รักอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่ต่างจากอะไรที่ท่านได้ทำลายความรักของเด็กคนนึงที่มีความหวังว่าจะได้มาเกิด กลับมาเข้าเรื่องต่อครับ คืนนั้นผมพยายามบอกให้ท่านเจ้าของเรื่องทำใจยอมรับ และผ่อนหนักเป็นเบา อยู่ อาการของผมก็ผิดปกติ ใจสั่น ปวดหัวเริ่มควบคุมตัวเองไม่อย่าง ตอนนั้นรู้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างพยายามควบคุมผม เพื่อให้เขาทั้งสองได้สื่อกันโดยตรง ผมจึงยอมให้เขาควบคุม หลังจากนั้นผมไม่รู้สึกตัวไปชั่วขณะ มารู้สึกตัวอีกทีก็นั่งอ่านบทสนทนาระหว่างผมที่ไม่รู้สึกตัวกับท่านเจ้าของกระทู้ ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมนับถือท่านเจ้าของเรื่องเป็นพี่คนหนึ่งที่ให้ความเคารพ สิ่งที่ปรากฏในบทสนทนาคือ (ขออนุญาต ใช้คำตรง)“ไม่ต้องพยายามแก้ไขอะไรให้เสียเวลา ไม่ต้องมาสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปด้วยความเห็นแก่ตัว กูไปทำอะไรให้ถึงได้ต้องมาทำลายชีวิตกัน อย่ามารู้สึกผิดในวันที่มันสายไป วันนี้ทำให้กูไม่เกิดและจำไว้ว่าจะไม่มีใครได้มาเกิดกับตลอดไป กูจะทำลายตลอดไป” นี่คือบทสนทนาระหว่างแม่และลูก อย่างที่บอกครับว่า การทำลายชีวิตไม่สารถจะชดใช้หรือแก้ไขอะไรได้ สำหรับเรื่องนี้ทางแก้ไข มันมีเพียงว่าให้ทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น ละพยายามอย่าท้อที่จะชดใช้ให้มันเจือจาก อย่าหลบหลีกยิ่งถ้าหลีกก็จะยิ่งไม่มีทางหลุดพ้น ดังนั้นทำอะไรต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาจะได้ไม่พลาดอะไรง่ายๆ แต่เป็นเรื่องน่าดีในวันนี้ครับว่า วันนี้เขาทั้งสองได้ได้หลุดแต่บ่วงซึ่งกันและกันแล้ว เพราะความความยามและความตั้งใจของท่านเจ้าของเรื่อง ตามวิธีแบ่งเบาซึ่งผมได้แนะนำไป สำหรับท่านนี้ ผมได้ให้เขาต้องถือศิลอย่างเคร่งครัดเมื่อมีโอกาส และให้กินเนื่อสัตว์ให้น้อยที่สุด แต่สิ่งที่เขาตัดสินใจทำคือ การมุ่งหน้าเข้าวัดถือศิลแปด ด้วยการบวชชี เป็นจำนวนหลายพรรษาด้วยกัน
การหลุดพ้นจากเหตุการณ์อันนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างถาวร เพราะเขายังต้องประสบเจอเรื่องของการสูญเสียตามคำอาฆาตที่ได้เอ่ย ไปอีกหลายๆ ชาติไป