7 วัน 7 คืนนี่ ไปเที่ยวนะครับ ไม่ใช่งานปิดทองฝังลูกนิมิต 555
เป็นการเที่ยวคนเดียวแบบจริงจังครั้งแรกของผม
ไปวันที่ 17 มกราคม กลับวันที่ 23 มกราคม 2560
อาจจะรีวิวนิดหน่อยเท่าที่รีวิวได้ แค่อยากแบ่งปันรูปที่ไปถ่ายมากกว่าครับ
ถือว่าเป็น #newyearresolution ที่ทำสำเร็จตั้งแต่ต้นปีเลย
คือตั้งใจจะไปเที่ยวคนเดียวให้ได้ในปีนี้
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ
แนะนำ ติชม สอบถามได้นะครับ จะค่อยๆทยอยอัพเน้อ
ติดตามรูปอื่นๆได้ใน
www.instagram.com/moodangwk
รูปทั้งหมดถ่ายด้วยกล้อง Fuji XT-10 เลนส์ 18 mm และ 35 mm
Process ด้วยโปรแกรม Adobe Lightroom CC

อย่างที่บอกครับว่าปี 2017 นี้ผมตั้งใจว่าจะต้องไปเที่ยวคนเดียวให้ได้
ตอนหลังปีใหม่ก็วางแผนไว้ว่าจะไปเชียงคาน 1 วัน 1 คืน เป็นการทดลอง 5555
พอใกล้วัน ก็ขี้เกียจ ยกเลิกไป และเป็นแบบนี้มาหลายทริปแล้ว 555
หลังจากยกเลิกทริปเชียงคานไปแค่วันเดียว ก็ไปเห็นโพส Workshop ถ่ายรูปของ “พี่ชู” ที่เชียงใหม่
https://www.facebook.com/chootphoto
จัดในช่วงวันที่ 21-22 ม.ค. 2560 ซึ่งก็อีกประมาณ 2 อาทิตย์
ตอนแรกก็ทำได้แค่เพียงทำใจ และไกลไป คงไม่ได้ไป แต่นั่งคิดไปคิดมาไม่กี่ชั่วโมง
“งั้นก็ไป Workshop เลยดิ ถือโอกาสไปเที่ยวด้วย ฉลองการเรียนจบพอดี”
จาก "เชียงคาน" กลายเป็น "เชียงใหม่"
หลังจากนั้นโทรขอพ่อแม่ หาข้อมูลต่างๆ ทั้ง การเดินทาง ที่พัก ที่ท่องเที่ยว ฯลฯ
ตอนแรกกะว่าจะไปแค่ 3 วัน แต่คงไม่พอ เลยเปลี่ยนเป็น 5 วัน
แผนที่วางไว้คือ 19-23 มกราคม
แต่เมื่อโทรไปจองตั๋วรถไฟปรากฏว่าวันที่ 19 เต็ม 18 ก็เต็ม
เลยได้วันที่ 17 และวันกลับก็เหลือวันที่ 23 พอดี
จะจองเครื่องบินราคาก็สูง เพราะแผนนี้เตรียมก่อนไปแค่ 2 อาทิตย์
จะนั่งรถทัวร์ก็ไม่ไหว ก็เลยเปลี่ยนแผนเป็น 7 วัน จะได้เที่ยวแบบไม่รีบด้วย
การเดินทางและที่พัก
เดินทางจากบ้าน (โคราช) ไปกรุงเทพฯ ด้วยรถทัวร์ “แอร์โคราชพัฒนา”
ไป-กลับ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ด้วยรถไฟขบวนด่วนพิเศษ “อุตราวิถี”
และเที่ยวในเชียงใหม่ด้วยรถมอเตอร์ไซค์เช่า ร้าน Bikky
ที่พักส่วนใหญ่พักที่ Hostel จองผ่าน Agoda จะได้ราคาถูกกว่า Walk in
เกริ่นมาเยอะแล้วไปเริ่มกันเลยครับ

Day_1 : 17 Jan 2017
อันนี้แผนวันแรกครับ ส่วนใหญ่จะเป็นการเดินทาง

หลังจากที่นั่งรถทัวร์จากโคราช-กรุงเทพฯ (หมอชิต 2) ประมาณบ่ายโมง
มาถึงก็นั่งวินมอไซค์ต่อไปที่สวนรถไฟ และเช่ารถจักรยานปั่นเล่นรอ
เนื่องจากรถไฟออกตอน 18.00 น. ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาถึงตั้งแต่บ่ายๆ
เผื่อมีอะไรผิดพลาด ถ้าไม่มีก็ถือว่ามาปั่นจักรยานเล่นที่สวนรถไฟ
บรรยากาศก็โอเคครับ ไม่มีแดด แต่เมฆเยอะ ถ่ายรูปลำบากนิดหน่อย
เห็นเมฆแล้วใจหาย หวังว่าไปเชียงใหม่คงไม่ครึ้มแบบนี้นะ

หลังจากปั่นจักรยานเล่น ถ่ายรูปเล่น อยู่สวนรถไฟจนพอใจ
ก็นั่ง MRT จากสถานีจตุจักร ยิงยาวสุดสายที่สถานีหัวลำโพง
มาถึงก็ตรวจสอบตั๋วกับตารางเดินรถ เมื่อไม่มีอะไรผิดพลาด
ก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นรอ และหาข้าวกินครับ

ไม่นาน รถไฟก็มา ตรวจสอบตั๋วก็ขึ้นรถไฟรอเลยครับ
รถไฟที่ขึ้นเป็นรถนอนใหม่ ขบวนด่วนพิเศษ "อุตราวิถี" กรุงเทพฯ - เชียงใหม่
ออกเดินทางประมาณ 18.00 ถึงเชียงใหม่ประมาณ 7.00
อย่างที่บอกเป็นรถใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด ขาไปจองได้ ชั้น 2 เตียงบน (791.-)
ข้อดีของชั้น 2 สำหรับคนไปเที่ยวคนเดียวหรือกลัวเหงาคือมีเพื่อนเยอะดี
แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยเวลานอนก็จะมีผ้าม่านกันแยกเตียงให้
รถไฟเป็นระบบปิด เตียง ที่นอน ห้องน้ำ สะอาด เหมือนเป็นบ้านเล็กๆ เคลื่อนที่
มีห้องสะเบียงด้วย ราคาอาหารก็ค่อนข้างสูง แต่ก็ยอมรับได้ มี wi-fi ฟรีด้วย
ส่วนใหญ่เป็นอาหารกล่องเวฟเอา เครื่องดื่มครบ บอกได้เลยว่าสะดวกสบาย
ส่วนชั้น 1 ผมจองได้ขากลับ ได้เตียงบนเช่นเคย (1,253.-)
ขอรีวิวไว้ก่อนเลยแล้วกันเพราะไม่ได้ถ่ายรูปไว้
ชั้น 1 เหมาะสำหรับคนที่ไปเป็นคู่หรือครอบครัว
ห้องละ 2 เตียง 2 ห้องที่ติดกันสามารถเปิดประตูหากันได้
ขบวนนี้มีห้องอาบน้ำ มี wi-fi ฟรี มีอ่างล้างหน้าในห้อง เรียกได้ว่า Private
สำหรับการเดินทางวันแรกก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

Day_2 : 18 Jan 2017
มาต่อวันที่สองกันเลยครับ หลังจากรถไฟถึงสถานีเชียงใหม่ตอนประมาณ 7.00 น.
ผมก็ต่อรถสามล้อ มาร้านเช่ารถ Bikky สาขาอาเขตครับผมเช่าไว้ทั้งหมด 6 วัน

ขอบคุณรูปที่พัก “SoHostel” จาก Booking.com ครับ
หลังจากจัดการเรื่องรถเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเช็คอินที่พักที่จองไว้จาก Agoda ชื่อว่า "SoHostel"
กว่าจะหาทางเข้าที่พักได้ คือเปิด Map ดูก็เห็นนะครับว่าที่พักอยู่ซอยใกล้ๆ นี่เอง
แต่ถนนในเมืองเชียงใหม่กลับเป็น One Way ผมนี่ งง เลยครับ
กว่าจะทำความเข้าใจกับถนนในเมืองเชียงใหม่ได้ก็ขับวนอยู่หลายรอบเหมือนกัน
เข้าผิดเข้าถูก เสียเวลาไปเยอะอยู่เหมือนกันกว่าจะถึงที่พัก 555
ห้องที่ผมจองเป็นห้องรวม 6 เตียงตามรูปเลยครับ เช่าไว้ทั้งหมด 5 คืน (18-22 ม.ค.)
คืนที่ 1 (225.-) พักกับคนจีนผู้ชาย 2 คน
คืนที่ 2 (225.-) ไปพักบนดอยให้กระเป๋าพัก 555
คืนที่ 3 (273.-) พักกับฝรั่งผู้ชาย 2 คน
คืนที่ 4 (273.-) พักกับฝรั่งผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 1 คน และคนจีน 1 คน
คืนที่ 5 (250.-) พักกับฝรั่งผู้หญิง 2 คน
ถือว่าเป็นการนอนร่วมห้องกับคนแปลกหน้าหลายคนในเวลาไม่กี่วัน
คำพูดที่ใช้ก็มีเพียง "Hello" และ "Bye"
เพราะเช้ามาก็ออกไปเที่ยวข้างนอก กลับมาก็ดึก อาบน้ำนอน ตื่นไปเที่ยวต่อ
และที่ราคาแต่ละวันไม่เท่ากันเพราะผมจองหลายรอบ เนื่องจากเปลี่ยนแผนบ่อย
ผมแนะนำให้จองผ่านเว็บจะถูกกว่า walk in มากๆ ครับ
หลังจากเช็คอินเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเที่ยววันแรกเลยครับ

แผนที่วางไว้คือจะไปเที่ยวสถานที่ต่างๆบนอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
ก่อนขึ้นก็แวะอ่างแก้ว มช. ถ่ายรูปเล่นก่อน
ช่วงที่ไปเป็นช่วงรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พอดี
ก็เริ่มมีบัณฑิตมาถ่ายรูปกันบ้างแล้ว แต่ไม่เยอะเหมือนวันจริง

หลังจากขึ้นดอยมาสักพักจะมีทางแยกไปน้ำตกมณฑาธารประมาณ 3 กิโลเมตร
คนน้อยมากแทบไม่มีเลย เพราะน้ำน้อยด้วยครับ ก็ถ่ายรูปนิดๆหน่อยแล้วก็กลับสู่ทางหลัก
ขับขึ้นมาอีกนิดหน่อยก็ถึงจุดชมวิวดอยสุเทพ สำหรับชมเมืองเชียงใหม่ครับ

หลังจากนั้นก็ตรงขึ้นดอยเพื่อไปยัง “วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร”
วันที่ผมไปเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ชาวต่างชาติครับ
ก็เดินชมถ่ายรูปรอบๆก่อนเข้าไปข้างใน

พอเข้ามาข้างใน หายเหนื่อยเลยครับ ฟ้าเป็นใจถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
สีเหลืองของพระธาตุตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าบวกกับเมฆสีขาวนิดหน่อย
ก็เดินชม ไหว้พระธาตุ ถ่ายรูปอีกนิดหน่อย ก็ไปต่อครับ
สถานีต่อไปคือ พระตำหนักภูพิงราชนิเวศน์

แน่นอนเลยครับสิ่งที่จะได้เห็นเมื่อเข้าสู่ พระตำหนักภูพิงราชนิเวศน์
ก็คือดอกไม้หลากหลายชนิด แข่งกันเบ่งบานท่ามกลางอากาศเย็น
โดยเฉพาะดอกกุหลาบที่นี่มีเยอะมาก และหลากหลายสีสัน
เนื่องจากอากาศข้างบนก็เย็นอยู่แต่พอเดินชมไปนานๆ ชักร้อน
ก็เลยไม่ค่อยมีอารมณ์เก็บรูปดอกไม้เท่าไหร่
ได้แค่เดินชมเสียส่วนใหญ่ ยังเสียดายอยู่เลย

ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่ตั้งใจจะมาถ่ายคือ "ไฮเดรนเยีย"
แต่เหมือนมันออกดอกไปนานแล้วทำให้เริ่มเหี่ยวแล้วบ้าง
ก็เลยถ่ายมาได้เท่านี้ แต่รวมๆแล้วคุ้มค่าครับ เดินเล่นชมสวนดอกไม้

หลังจากนั้นก็ว่าจะไปบ้านม้งดอยปุย
แต่พอขับลงไปถึงแล้วไม่มีอารมณ์บวกกับกลัวค่ำก่อน
เลยเปลี่ยนเส้นทางไปยังจุดหมายสุดท้ายคือ "บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน"
เพื่อไปชมดอกพญาเสือโคร่ง ทางไปเป็นถนนเลนเดียวแต่ทางถือว่าค่อนข้างดี
รถยนต์สวนกันลำบากส่วนผมแว๊นมอเตอร์ไซค์ สบายเลยครับ
ใช้เวลาขับไปพอประมาณก็เจอแล้วครับ ทุ่งดอกพญาเสือโคร่ง

ที่จริงมีแผนที่จะไปชมดอกพญาเสือโคร่งที่อื่นด้วย
แต่มาที่นี้ก็คุ้มแล้วครับ ถ่ายรูปจนเมมโมรี่เกือบเต็ม

นอกจากดอกพญาเสือโคร่งแล้วก็ยังมี สวนกาแฟ และสวนบ๊วยด้วยมั้ง! ถ้าผมจำไม่ผิด

อย่างที่บอกครับมุมถ่ายรูปเยอะมาก ถ่ายจนเหนื่อย
หรือเป็นเพราะผมเพิ่งเคยเห็นด้วยก็ไม่รู้ 555

ถ้ามีนางแบบ นายแบบ ไปยืน จะเป็นการถ่าย Portrait ที่สวยมากๆเลยครับ
แต่พอดีไปคนเดียวก็ถ่ายได้แค่วิว 555 จะให้คนอื่นถ่ายให้ก็ไม่กล้า
หลังจากที่อิ่มอกอิ่มใจ ถ่ายรูปจนเมมโมรี่เกือบเต็ม
ก็ได้เวลาลงจากดอยครับตอนนั้นก็เกือบๆ 5 โมงเย็นแล้ว
กว่าจะถึงที่พักบวกกับรถติดในตัวเมืองถึงที่พักก็เกือบๆหกโมงเย็น
พอถึงที่พักก็ทำธุระส่วนตัว เตรียมออกไปหาข้าวกินและเดินเล่นไนท์บาซาร์ครับ

ไนท์บาซาร์เหมือนเป็นแหล่งของชาวต่างชาติเสียมากกว่า
เดินไปเดินมาก็ไปเจอมุมนี้ครับ ชอบมากๆ
เดินวนอยู่หลายรอบแอบถ่ายรูปด้วย กลัวเขาไม่ให้ถ่าย
เดินไปเดินมาชักหิว วันแรกนี่มั่วมากไม่รู้จะไปไหน แหล่งกินคือที่ไหนไม่รู้
ขับรถวนไปมั่วก็เลยไปเจอตลาดตอนเย็นที่ประตูเชียงใหม่ วันแรกก็เลยรอดไป
*** ไปต่อในคอมเมนท์เลยนะคร้าบ ***
[CR] แบกเป้คนเดียว เที่ยวเชียงใหม่ 7 วัน 7 คืน
เป็นการเที่ยวคนเดียวแบบจริงจังครั้งแรกของผม
ไปวันที่ 17 มกราคม กลับวันที่ 23 มกราคม 2560
อาจจะรีวิวนิดหน่อยเท่าที่รีวิวได้ แค่อยากแบ่งปันรูปที่ไปถ่ายมากกว่าครับ
ถือว่าเป็น #newyearresolution ที่ทำสำเร็จตั้งแต่ต้นปีเลย
คือตั้งใจจะไปเที่ยวคนเดียวให้ได้ในปีนี้
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ
แนะนำ ติชม สอบถามได้นะครับ จะค่อยๆทยอยอัพเน้อ
ติดตามรูปอื่นๆได้ใน www.instagram.com/moodangwk
รูปทั้งหมดถ่ายด้วยกล้อง Fuji XT-10 เลนส์ 18 mm และ 35 mm
Process ด้วยโปรแกรม Adobe Lightroom CC
อย่างที่บอกครับว่าปี 2017 นี้ผมตั้งใจว่าจะต้องไปเที่ยวคนเดียวให้ได้
ตอนหลังปีใหม่ก็วางแผนไว้ว่าจะไปเชียงคาน 1 วัน 1 คืน เป็นการทดลอง 5555
พอใกล้วัน ก็ขี้เกียจ ยกเลิกไป และเป็นแบบนี้มาหลายทริปแล้ว 555
หลังจากยกเลิกทริปเชียงคานไปแค่วันเดียว ก็ไปเห็นโพส Workshop ถ่ายรูปของ “พี่ชู” ที่เชียงใหม่
https://www.facebook.com/chootphoto
จัดในช่วงวันที่ 21-22 ม.ค. 2560 ซึ่งก็อีกประมาณ 2 อาทิตย์
ตอนแรกก็ทำได้แค่เพียงทำใจ และไกลไป คงไม่ได้ไป แต่นั่งคิดไปคิดมาไม่กี่ชั่วโมง
“งั้นก็ไป Workshop เลยดิ ถือโอกาสไปเที่ยวด้วย ฉลองการเรียนจบพอดี”
จาก "เชียงคาน" กลายเป็น "เชียงใหม่"
หลังจากนั้นโทรขอพ่อแม่ หาข้อมูลต่างๆ ทั้ง การเดินทาง ที่พัก ที่ท่องเที่ยว ฯลฯ
ตอนแรกกะว่าจะไปแค่ 3 วัน แต่คงไม่พอ เลยเปลี่ยนเป็น 5 วัน
แผนที่วางไว้คือ 19-23 มกราคม
แต่เมื่อโทรไปจองตั๋วรถไฟปรากฏว่าวันที่ 19 เต็ม 18 ก็เต็ม
เลยได้วันที่ 17 และวันกลับก็เหลือวันที่ 23 พอดี
จะจองเครื่องบินราคาก็สูง เพราะแผนนี้เตรียมก่อนไปแค่ 2 อาทิตย์
จะนั่งรถทัวร์ก็ไม่ไหว ก็เลยเปลี่ยนแผนเป็น 7 วัน จะได้เที่ยวแบบไม่รีบด้วย
การเดินทางและที่พัก
เดินทางจากบ้าน (โคราช) ไปกรุงเทพฯ ด้วยรถทัวร์ “แอร์โคราชพัฒนา”
ไป-กลับ กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ ด้วยรถไฟขบวนด่วนพิเศษ “อุตราวิถี”
และเที่ยวในเชียงใหม่ด้วยรถมอเตอร์ไซค์เช่า ร้าน Bikky
ที่พักส่วนใหญ่พักที่ Hostel จองผ่าน Agoda จะได้ราคาถูกกว่า Walk in
เกริ่นมาเยอะแล้วไปเริ่มกันเลยครับ
Day_1 : 17 Jan 2017
อันนี้แผนวันแรกครับ ส่วนใหญ่จะเป็นการเดินทาง
หลังจากที่นั่งรถทัวร์จากโคราช-กรุงเทพฯ (หมอชิต 2) ประมาณบ่ายโมง
มาถึงก็นั่งวินมอไซค์ต่อไปที่สวนรถไฟ และเช่ารถจักรยานปั่นเล่นรอ
เนื่องจากรถไฟออกตอน 18.00 น. ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมาถึงตั้งแต่บ่ายๆ
เผื่อมีอะไรผิดพลาด ถ้าไม่มีก็ถือว่ามาปั่นจักรยานเล่นที่สวนรถไฟ
บรรยากาศก็โอเคครับ ไม่มีแดด แต่เมฆเยอะ ถ่ายรูปลำบากนิดหน่อย
เห็นเมฆแล้วใจหาย หวังว่าไปเชียงใหม่คงไม่ครึ้มแบบนี้นะ
หลังจากปั่นจักรยานเล่น ถ่ายรูปเล่น อยู่สวนรถไฟจนพอใจ
ก็นั่ง MRT จากสถานีจตุจักร ยิงยาวสุดสายที่สถานีหัวลำโพง
มาถึงก็ตรวจสอบตั๋วกับตารางเดินรถ เมื่อไม่มีอะไรผิดพลาด
ก็ไปเดินถ่ายรูปเล่นรอ และหาข้าวกินครับ
ไม่นาน รถไฟก็มา ตรวจสอบตั๋วก็ขึ้นรถไฟรอเลยครับ
รถไฟที่ขึ้นเป็นรถนอนใหม่ ขบวนด่วนพิเศษ "อุตราวิถี" กรุงเทพฯ - เชียงใหม่
ออกเดินทางประมาณ 18.00 ถึงเชียงใหม่ประมาณ 7.00
อย่างที่บอกเป็นรถใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด ขาไปจองได้ ชั้น 2 เตียงบน (791.-)
ข้อดีของชั้น 2 สำหรับคนไปเที่ยวคนเดียวหรือกลัวเหงาคือมีเพื่อนเยอะดี
แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยเวลานอนก็จะมีผ้าม่านกันแยกเตียงให้
รถไฟเป็นระบบปิด เตียง ที่นอน ห้องน้ำ สะอาด เหมือนเป็นบ้านเล็กๆ เคลื่อนที่
มีห้องสะเบียงด้วย ราคาอาหารก็ค่อนข้างสูง แต่ก็ยอมรับได้ มี wi-fi ฟรีด้วย
ส่วนใหญ่เป็นอาหารกล่องเวฟเอา เครื่องดื่มครบ บอกได้เลยว่าสะดวกสบาย
ส่วนชั้น 1 ผมจองได้ขากลับ ได้เตียงบนเช่นเคย (1,253.-)
ขอรีวิวไว้ก่อนเลยแล้วกันเพราะไม่ได้ถ่ายรูปไว้
ชั้น 1 เหมาะสำหรับคนที่ไปเป็นคู่หรือครอบครัว
ห้องละ 2 เตียง 2 ห้องที่ติดกันสามารถเปิดประตูหากันได้
ขบวนนี้มีห้องอาบน้ำ มี wi-fi ฟรี มีอ่างล้างหน้าในห้อง เรียกได้ว่า Private
สำหรับการเดินทางวันแรกก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
Day_2 : 18 Jan 2017
มาต่อวันที่สองกันเลยครับ หลังจากรถไฟถึงสถานีเชียงใหม่ตอนประมาณ 7.00 น.
ผมก็ต่อรถสามล้อ มาร้านเช่ารถ Bikky สาขาอาเขตครับผมเช่าไว้ทั้งหมด 6 วัน
ขอบคุณรูปที่พัก “SoHostel” จาก Booking.com ครับ
หลังจากจัดการเรื่องรถเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเช็คอินที่พักที่จองไว้จาก Agoda ชื่อว่า "SoHostel"
กว่าจะหาทางเข้าที่พักได้ คือเปิด Map ดูก็เห็นนะครับว่าที่พักอยู่ซอยใกล้ๆ นี่เอง
แต่ถนนในเมืองเชียงใหม่กลับเป็น One Way ผมนี่ งง เลยครับ
กว่าจะทำความเข้าใจกับถนนในเมืองเชียงใหม่ได้ก็ขับวนอยู่หลายรอบเหมือนกัน
เข้าผิดเข้าถูก เสียเวลาไปเยอะอยู่เหมือนกันกว่าจะถึงที่พัก 555
ห้องที่ผมจองเป็นห้องรวม 6 เตียงตามรูปเลยครับ เช่าไว้ทั้งหมด 5 คืน (18-22 ม.ค.)
คืนที่ 1 (225.-) พักกับคนจีนผู้ชาย 2 คน
คืนที่ 2 (225.-) ไปพักบนดอยให้กระเป๋าพัก 555
คืนที่ 3 (273.-) พักกับฝรั่งผู้ชาย 2 คน
คืนที่ 4 (273.-) พักกับฝรั่งผู้ชาย 2 คน ผู้หญิง 1 คน และคนจีน 1 คน
คืนที่ 5 (250.-) พักกับฝรั่งผู้หญิง 2 คน
ถือว่าเป็นการนอนร่วมห้องกับคนแปลกหน้าหลายคนในเวลาไม่กี่วัน
คำพูดที่ใช้ก็มีเพียง "Hello" และ "Bye"
เพราะเช้ามาก็ออกไปเที่ยวข้างนอก กลับมาก็ดึก อาบน้ำนอน ตื่นไปเที่ยวต่อ
และที่ราคาแต่ละวันไม่เท่ากันเพราะผมจองหลายรอบ เนื่องจากเปลี่ยนแผนบ่อย
ผมแนะนำให้จองผ่านเว็บจะถูกกว่า walk in มากๆ ครับ
หลังจากเช็คอินเก็บของเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเที่ยววันแรกเลยครับ
แผนที่วางไว้คือจะไปเที่ยวสถานที่ต่างๆบนอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย
ก่อนขึ้นก็แวะอ่างแก้ว มช. ถ่ายรูปเล่นก่อน
ช่วงที่ไปเป็นช่วงรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พอดี
ก็เริ่มมีบัณฑิตมาถ่ายรูปกันบ้างแล้ว แต่ไม่เยอะเหมือนวันจริง
หลังจากขึ้นดอยมาสักพักจะมีทางแยกไปน้ำตกมณฑาธารประมาณ 3 กิโลเมตร
คนน้อยมากแทบไม่มีเลย เพราะน้ำน้อยด้วยครับ ก็ถ่ายรูปนิดๆหน่อยแล้วก็กลับสู่ทางหลัก
ขับขึ้นมาอีกนิดหน่อยก็ถึงจุดชมวิวดอยสุเทพ สำหรับชมเมืองเชียงใหม่ครับ
หลังจากนั้นก็ตรงขึ้นดอยเพื่อไปยัง “วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร”
วันที่ผมไปเป็นวันธรรมดา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ชาวต่างชาติครับ
ก็เดินชมถ่ายรูปรอบๆก่อนเข้าไปข้างใน
พอเข้ามาข้างใน หายเหนื่อยเลยครับ ฟ้าเป็นใจถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
สีเหลืองของพระธาตุตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าบวกกับเมฆสีขาวนิดหน่อย
ก็เดินชม ไหว้พระธาตุ ถ่ายรูปอีกนิดหน่อย ก็ไปต่อครับ
สถานีต่อไปคือ พระตำหนักภูพิงราชนิเวศน์
แน่นอนเลยครับสิ่งที่จะได้เห็นเมื่อเข้าสู่ พระตำหนักภูพิงราชนิเวศน์
ก็คือดอกไม้หลากหลายชนิด แข่งกันเบ่งบานท่ามกลางอากาศเย็น
โดยเฉพาะดอกกุหลาบที่นี่มีเยอะมาก และหลากหลายสีสัน
เนื่องจากอากาศข้างบนก็เย็นอยู่แต่พอเดินชมไปนานๆ ชักร้อน
ก็เลยไม่ค่อยมีอารมณ์เก็บรูปดอกไม้เท่าไหร่
ได้แค่เดินชมเสียส่วนใหญ่ ยังเสียดายอยู่เลย
ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่ตั้งใจจะมาถ่ายคือ "ไฮเดรนเยีย"
แต่เหมือนมันออกดอกไปนานแล้วทำให้เริ่มเหี่ยวแล้วบ้าง
ก็เลยถ่ายมาได้เท่านี้ แต่รวมๆแล้วคุ้มค่าครับ เดินเล่นชมสวนดอกไม้
หลังจากนั้นก็ว่าจะไปบ้านม้งดอยปุย
แต่พอขับลงไปถึงแล้วไม่มีอารมณ์บวกกับกลัวค่ำก่อน
เลยเปลี่ยนเส้นทางไปยังจุดหมายสุดท้ายคือ "บ้านม้งขุนช่างเคี่ยน"
เพื่อไปชมดอกพญาเสือโคร่ง ทางไปเป็นถนนเลนเดียวแต่ทางถือว่าค่อนข้างดี
รถยนต์สวนกันลำบากส่วนผมแว๊นมอเตอร์ไซค์ สบายเลยครับ
ใช้เวลาขับไปพอประมาณก็เจอแล้วครับ ทุ่งดอกพญาเสือโคร่ง
ที่จริงมีแผนที่จะไปชมดอกพญาเสือโคร่งที่อื่นด้วย
แต่มาที่นี้ก็คุ้มแล้วครับ ถ่ายรูปจนเมมโมรี่เกือบเต็ม
นอกจากดอกพญาเสือโคร่งแล้วก็ยังมี สวนกาแฟ และสวนบ๊วยด้วยมั้ง! ถ้าผมจำไม่ผิด
อย่างที่บอกครับมุมถ่ายรูปเยอะมาก ถ่ายจนเหนื่อย
หรือเป็นเพราะผมเพิ่งเคยเห็นด้วยก็ไม่รู้ 555
ถ้ามีนางแบบ นายแบบ ไปยืน จะเป็นการถ่าย Portrait ที่สวยมากๆเลยครับ
แต่พอดีไปคนเดียวก็ถ่ายได้แค่วิว 555 จะให้คนอื่นถ่ายให้ก็ไม่กล้า
หลังจากที่อิ่มอกอิ่มใจ ถ่ายรูปจนเมมโมรี่เกือบเต็ม
ก็ได้เวลาลงจากดอยครับตอนนั้นก็เกือบๆ 5 โมงเย็นแล้ว
กว่าจะถึงที่พักบวกกับรถติดในตัวเมืองถึงที่พักก็เกือบๆหกโมงเย็น
พอถึงที่พักก็ทำธุระส่วนตัว เตรียมออกไปหาข้าวกินและเดินเล่นไนท์บาซาร์ครับ
ไนท์บาซาร์เหมือนเป็นแหล่งของชาวต่างชาติเสียมากกว่า
เดินไปเดินมาก็ไปเจอมุมนี้ครับ ชอบมากๆ
เดินวนอยู่หลายรอบแอบถ่ายรูปด้วย กลัวเขาไม่ให้ถ่าย
เดินไปเดินมาชักหิว วันแรกนี่มั่วมากไม่รู้จะไปไหน แหล่งกินคือที่ไหนไม่รู้
ขับรถวนไปมั่วก็เลยไปเจอตลาดตอนเย็นที่ประตูเชียงใหม่ วันแรกก็เลยรอดไป
*** ไปต่อในคอมเมนท์เลยนะคร้าบ ***