เหตุเกิดที่หอสมุด
ผมนั่งอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว และผมก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน หนังสือที่อยู่ในมือของผม กระดาษกรอบสีน้ำตาล และกลิ่นเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเก่าของมัน
หอสมุดกลาง มันมีอะไรดีกันนะ ผมถึงชอบมานั่งที่นี่ประจำทุกเสาร์ ผมไม่เคยเข้าใจตัวเองเลย จะว่า
หนังสือเหรอ ก็ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่ดึงดูดความรู้สึกของผมให้ต้องมาอ่านมันซ้ำ ๆ ถึงที่นี่ได้ขนาดนั้น หนังสือที่ผมถืออยู่ตอนนี้ ผมหยิบมันมาแค่ให้มือของผมดูไม่ว่างเท่านั้นเอง ชื่อของมันคืออะไร ผมยังไม่รู้มันเลย จะว่า
ความเงียบเหรอ มันก็ไม่ได้เงียบขนาดนั้น รอบ ๆ ตัวผม มีเสียงต่าง ๆ มากมายเต็มไปหมด เสียงคีย์บอร์ดที่คนกำลังพิมพ์เพื่อค้นหาหนังสือใกล้ ๆ ทางนู้นก็มีคนกำลังพูดคุยปรึกษาหารืออะไรบางอย่าง แผ่วเบาจนผมไม่สามารถจับความได้ว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน
ผมเปิดหนังสือในมืออย่างลวก ๆ ไม่ใช่เพื่ออ่านจริงจัง แต่ผมแค่อยากรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรต่างหาก
อ่านออกเสียงให้ดังที่สุด
ข้อความตัวโตบนกระดาษโล่ง พิมพ์ด้วยฟอนต์ที่ความเก่าแก่ของมันดูขัดแย้งกับสีกระดาษ อายุของฟอนต์น่าจะพอ ๆ กับอายุผมด้วยซ้ำ มันกำลังออกคำสั่งให้ผมอ่านข้อความต่อจากนี้ด้วยเสียงดังที่สุด ผมกำลังสงสัยว่าหนังสือเล่มนี้จะเล่นตลกอะไรกับคนอ่าน
เอาวะ! ลองอ่านดู!
แต่ ... จะดีเหรอ ถ้าจะอ่านออกเสียงดัง ๆ ในนี้ หยิบออกไปอ่านข้างนอกหอสมุดน่าจะดีกว่า ไม่รบกวนคนอื่นด้วย ผมลองพลิกไปดูหน้าท้าย
หนังสือนี้เป็นสมบัติของหอสมุดกลางฯ ห้ามนำออกนอกห้องสมุดหากไม่ได้รับอนุญาต
ตัวอักษรสีน้ำเงิน ที่ดูเหมือนจะถูกประทับด้วยตรายางบนหน้าหลัง บอกผมว่าถ้าจะหยิบออกไปอ่านเสียงดัง ๆ ข้างนอก ก็คงต้องยืมออกไป ช่างมันเถอะ! วางหนังสือไร้สาระนี้ลงไปได้แล้ว แต่หน้าต่อไปที่มันบอกให้อ่านออกเสียงดัง ๆ มันคืออะไรนี่สิ ที่ผมกำลังสงสัยอยู่ในตอนนี้
"เฮ้! นาย! เงยหน้าหน่อยสิ!"
เสียงของผู้หญิงสักคนที่คงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม ทำให้ผมต้องละสายตาจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง สาวผมสั้น ท่าทางดูมั่นใจในตัวเอง อายุประมาณพอ ๆ กับผม ดวงตาแป๋วแหววคู่นั้นกำลังมองมาที่ผม ท่าทางเธอคงพยายามกลั้นขำอยู่
"ส่งหนังสือนั่นมาให้ฉันหน่อย ฉันไม่ได้ให้นายอ่านนะ จะเอาไปแกล้งคนอื่น"
"เอ้า! เอาไป!"
ผมปิดหนังสืออย่างเร็ว รีบยื่นมันให้ผู้หญิงแปลกหน้าที่ผมไม่รู้ว่าใครคนนั้น ก่อนจะรีบ ๆ ลุกออกไป
"เดี๋ยว!" เธอเบรกผมด้วยคำพูด "นายช่วยฉันอะไรอย่างได้มั้ย"
"อะไร?"
"นายขึ้นลิฟท์ไปชั้นห้า เพื่อนฉันรออยู่บนนั้น มีของจะให้นายช่วยยกลงมาน่ะ"
ผมว่างอยู่แล้ว สงเคราะห์เพื่อนเธอสักนิดสักหน่อยจะเป็นอะไรไป เผื่อว่าสวย ๆ น่ารัก ๆ ก็ถือโอกาสทำความรู้จักเสียเลย ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ
"ก็ได้!" ผมตอบตกลง
ผมเดินไปที่ลิฟท์ที่ทั้งตึกมีอยู่ตัวเดียว กดลิฟท์ขึ้น รอสักพักกว่าลิฟท์จะมา แล้วผมก็เดินเข้าไปในลิฟท์ที่ดูไม่ค่อยจะมีคนใช้ กดลิฟท์ขึ้นชั้นห้า ก่อนที่ประตูจะปิด ตัวเลขสีแดงบนหน้าจอในลิฟท์ ค่อย ๆ เปลี่ยนจากเลขหนึ่งเป็นเลขสอง แล้วมันก็หยุด ประตูลิฟท์เปิดออก
ผมคงไม่แปลกใจ ถ้ามีใครจะใช้ลิฟท์ตัวนี้ร่วมกับผม ก็มันเป็นลิฟท์ตัวเดียวของทั้งตีก แต่สิ่งที่ผมกำลังรู้สึกแปลก ๆ คือคนที่รอลิฟท์อยู่ข้างนอกนี่สิ ผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมเพิ่งเจอเมื่อไม่ถึงห้านาที คนที่วานผมให้ขึ้นไปชั้นห้า มารอผมที่ชั้นสอง ถ้าเธอจะขึ้นลิฟท์ ทำไมเธอไม่รอลิฟท์กับผมตั้งแต่แรกนะ จะขึ้นมากดลิฟท์ดักหน้าผมทำไม
"มา ๆ ขึ้นมา เธอจะขึ้นลิฟท์ไม่ใช่หรอ"
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันไดเอ็ตอยู่ นายขึ้นไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามขึ้นไป"
เสียงรองเท้ากระทบบันไดดังลั่น ค่อย ๆ แผ่วเบาลง พร้อมกับประตูลิฟท์ที่ค่อย ๆ ปิด ผมจ้องไปที่ตัวเลขบนหน้าจอ เลขสองค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเลขสาม แล้วมันก็หยุดอยู่ตรงนั้น ก่อนที่ประตูจะเปิดออก ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ท่าทางจะเหนื่อยหอบจากการวิ่งขึ้นบันไดมาให้ทันลิฟท์ เหนื่อยมากไหม กับการวิ่งขึ้นมากดลิฟท์ดักตั้งแต่ชั้นสองยันชั้นสาม
"ขึ้นมาดิ รออะไรอยู่"
"ไม่ต้อง ฉันไดเอ็ตอยู่"
"แล้วจะวิ่งขึ้นมากดดักให้เหนื่อยทำไม เดินเอาไม่ง่ายกว่าหรอ"
"ไม่รู้หละ ฉันจะกดดักนายถึงชั้นห้าเลย คอยดูละกัน!"
อีนี่มันบ้าแน่ ๆ ผมคิด แล้วลิฟท์ก็มาหยุดต่อที่ชั้นสี่อีก เธอคนเดิมอีกแล้ว คราวนี้ทิ้งตัวลงคุกเข่าหน้าลิฟท์ เธอคงจะใช้พลังงานของตัวเองหมดไปกับการวิ่งขึ้นบันไดมากดดักลิฟท์ที่ผมขึ้นแล้ว จะว่าน่าเห็นใจก็น่าเห็นใจ แต่คนปกติที่ไหนเขาจะทำอย่างนี้กัน
"นาย ๆ ขอฉันไปด้วยได้มั้ย"
"ไม่วิ่งไปกดดักชั้นห้าแล้วหรอ"
"ฉันเหนื่อย"
"ก็ได้ ๆ แล้วที่ว่าจะให้ช่วยยกนี่อะไร"
"ไม่มี"
ผมรีบกดปิดประตูลิฟท์ทันที ผู้หญิงแปลก ๆ แบบนี้ ผมไม่น่าเข้าไปยุ่งกะเธอตั้งแต่แรกเลย เสียเวลาชีวิตเปล่าจริง ๆ ลิฟท์ยังขึ้นต่อไปถึงชั้นห้าที่ผมกดไว้ตอนแรก ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางเป็นลง แล้วมันก็ลงมาหยุดที่ชั้นสี่อีกครั้ง หัวใจของผมเต้นแรง อย่าบอกนะว่า ...
"นาย! ฉันขอลงด้วยคนสิ!"
เธอคนเดิมอีกแล้ว ยิ้มเผล่มาจากนอกลิฟท์ ก่อนจะคลานพรวดเข้ามา ผมพยายามเอาตัวรอดด้วยการกดปุ่มให้ประตูเปิดค้าง ก่อนจะแทรกตัวออกไปให้พ้น แต่เธอระดมกดปิดประตูลิฟท์ ขังผมไว้ในนั้น ก่อนที่ผมจะทันทำอะไร
อีนี่มันบ้าแน่ ๆ บ้าจริง ๆ ผมคิดในใจ
ต้องออกไปจากลิฟท์นี้ให้เร็วที่สุด ผมกดที่ปุ่มเลขสาม แต่ปุ่มเจ้ากรรมดันกดไม่ติด ยังโชคดีที่ปุ่มเลขสองยังไม่เสียไปด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงต้องอยู่กับผู้หญิงบ้า ๆ นี่ยันชั้นหนึ่งแน่
ลิฟท์หยุด ประตูลิฟท์เปิด ผมรีบวิ่งออกมาทันที หันไปข้างหลัง ผู้หญิงบ้านั่นไม่ตามออกมาด้วย ผมถอนหายใจยาว ๆ ด้วยความโล่งอก หวังว่าช่วงบ่ายวันเสาร์นี้คงสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น และผมคงไม่เจอใครมาทำอะไรแปลก ๆ แบบนี้อีกนะ
...
"รู้หรือไม่ คนที่อ่านข้อความต่อไปนี้อยู่ ถ้าไม่อ่านออกเสียง แสดงว่าเป็นคนบ้า ... แต่ถ้าอ่านออกเสียง ก็ไม่พ้นจะต้องถูกมองจากสายตาของผู้อื่นว่าเป็นคนบ้าอยู่ดี ..."
เสียงใครสักคนพูดดัง ๆ เหมือนเด็กนักเรียนที่ครูให้อ่านออกเสียงหน้าชั้น ทำลายความเงียบของหอสมุดจนหมดสิ้น ผมกลอกสายตาขึ้นมาดูพักหนึ่ง ก่อนที่จะทอดสายตากลับไปนิตยสารที่อยู่ในมือ มันไม่ต่างอะไรกับเสียงอื่น ๆ ที่อยู่รายรอบผมในตอนนี้หรอก และไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องใส่ใจว่าใครเป็นคนที่อ่านข้อความพวกนั้น ขอแค่ไม่มีใครมารบกวนผม ปล่อยให้ผมนั่งอย่างคนไม่มีจุดหมายแบบนี้ก็พอแล้ว
[เรื่องสั้น] เหตุเกิดที่หอสมุด
ผมนั่งอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว และผมก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน หนังสือที่อยู่ในมือของผม กระดาษกรอบสีน้ำตาล และกลิ่นเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ บ่งบอกถึงความเก่าของมัน
หอสมุดกลาง มันมีอะไรดีกันนะ ผมถึงชอบมานั่งที่นี่ประจำทุกเสาร์ ผมไม่เคยเข้าใจตัวเองเลย จะว่าหนังสือเหรอ ก็ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่ดึงดูดความรู้สึกของผมให้ต้องมาอ่านมันซ้ำ ๆ ถึงที่นี่ได้ขนาดนั้น หนังสือที่ผมถืออยู่ตอนนี้ ผมหยิบมันมาแค่ให้มือของผมดูไม่ว่างเท่านั้นเอง ชื่อของมันคืออะไร ผมยังไม่รู้มันเลย จะว่าความเงียบเหรอ มันก็ไม่ได้เงียบขนาดนั้น รอบ ๆ ตัวผม มีเสียงต่าง ๆ มากมายเต็มไปหมด เสียงคีย์บอร์ดที่คนกำลังพิมพ์เพื่อค้นหาหนังสือใกล้ ๆ ทางนู้นก็มีคนกำลังพูดคุยปรึกษาหารืออะไรบางอย่าง แผ่วเบาจนผมไม่สามารถจับความได้ว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกัน
ผมเปิดหนังสือในมืออย่างลวก ๆ ไม่ใช่เพื่ออ่านจริงจัง แต่ผมแค่อยากรู้ว่าข้างในนั้นมีอะไรต่างหาก
ข้อความตัวโตบนกระดาษโล่ง พิมพ์ด้วยฟอนต์ที่ความเก่าแก่ของมันดูขัดแย้งกับสีกระดาษ อายุของฟอนต์น่าจะพอ ๆ กับอายุผมด้วยซ้ำ มันกำลังออกคำสั่งให้ผมอ่านข้อความต่อจากนี้ด้วยเสียงดังที่สุด ผมกำลังสงสัยว่าหนังสือเล่มนี้จะเล่นตลกอะไรกับคนอ่าน
เอาวะ! ลองอ่านดู!
แต่ ... จะดีเหรอ ถ้าจะอ่านออกเสียงดัง ๆ ในนี้ หยิบออกไปอ่านข้างนอกหอสมุดน่าจะดีกว่า ไม่รบกวนคนอื่นด้วย ผมลองพลิกไปดูหน้าท้าย
ตัวอักษรสีน้ำเงิน ที่ดูเหมือนจะถูกประทับด้วยตรายางบนหน้าหลัง บอกผมว่าถ้าจะหยิบออกไปอ่านเสียงดัง ๆ ข้างนอก ก็คงต้องยืมออกไป ช่างมันเถอะ! วางหนังสือไร้สาระนี้ลงไปได้แล้ว แต่หน้าต่อไปที่มันบอกให้อ่านออกเสียงดัง ๆ มันคืออะไรนี่สิ ที่ผมกำลังสงสัยอยู่ในตอนนี้
"เฮ้! นาย! เงยหน้าหน่อยสิ!"
เสียงของผู้หญิงสักคนที่คงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม ทำให้ผมต้องละสายตาจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง สาวผมสั้น ท่าทางดูมั่นใจในตัวเอง อายุประมาณพอ ๆ กับผม ดวงตาแป๋วแหววคู่นั้นกำลังมองมาที่ผม ท่าทางเธอคงพยายามกลั้นขำอยู่
"ส่งหนังสือนั่นมาให้ฉันหน่อย ฉันไม่ได้ให้นายอ่านนะ จะเอาไปแกล้งคนอื่น"
"เอ้า! เอาไป!"
ผมปิดหนังสืออย่างเร็ว รีบยื่นมันให้ผู้หญิงแปลกหน้าที่ผมไม่รู้ว่าใครคนนั้น ก่อนจะรีบ ๆ ลุกออกไป
"เดี๋ยว!" เธอเบรกผมด้วยคำพูด "นายช่วยฉันอะไรอย่างได้มั้ย"
"อะไร?"
"นายขึ้นลิฟท์ไปชั้นห้า เพื่อนฉันรออยู่บนนั้น มีของจะให้นายช่วยยกลงมาน่ะ"
ผมว่างอยู่แล้ว สงเคราะห์เพื่อนเธอสักนิดสักหน่อยจะเป็นอะไรไป เผื่อว่าสวย ๆ น่ารัก ๆ ก็ถือโอกาสทำความรู้จักเสียเลย ดีกว่าอยู่เปล่า ๆ
"ก็ได้!" ผมตอบตกลง
ผมเดินไปที่ลิฟท์ที่ทั้งตึกมีอยู่ตัวเดียว กดลิฟท์ขึ้น รอสักพักกว่าลิฟท์จะมา แล้วผมก็เดินเข้าไปในลิฟท์ที่ดูไม่ค่อยจะมีคนใช้ กดลิฟท์ขึ้นชั้นห้า ก่อนที่ประตูจะปิด ตัวเลขสีแดงบนหน้าจอในลิฟท์ ค่อย ๆ เปลี่ยนจากเลขหนึ่งเป็นเลขสอง แล้วมันก็หยุด ประตูลิฟท์เปิดออก
ผมคงไม่แปลกใจ ถ้ามีใครจะใช้ลิฟท์ตัวนี้ร่วมกับผม ก็มันเป็นลิฟท์ตัวเดียวของทั้งตีก แต่สิ่งที่ผมกำลังรู้สึกแปลก ๆ คือคนที่รอลิฟท์อยู่ข้างนอกนี่สิ ผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมเพิ่งเจอเมื่อไม่ถึงห้านาที คนที่วานผมให้ขึ้นไปชั้นห้า มารอผมที่ชั้นสอง ถ้าเธอจะขึ้นลิฟท์ ทำไมเธอไม่รอลิฟท์กับผมตั้งแต่แรกนะ จะขึ้นมากดลิฟท์ดักหน้าผมทำไม
"มา ๆ ขึ้นมา เธอจะขึ้นลิฟท์ไม่ใช่หรอ"
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันไดเอ็ตอยู่ นายขึ้นไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันตามขึ้นไป"
เสียงรองเท้ากระทบบันไดดังลั่น ค่อย ๆ แผ่วเบาลง พร้อมกับประตูลิฟท์ที่ค่อย ๆ ปิด ผมจ้องไปที่ตัวเลขบนหน้าจอ เลขสองค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเลขสาม แล้วมันก็หยุดอยู่ตรงนั้น ก่อนที่ประตูจะเปิดออก ผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว ท่าทางจะเหนื่อยหอบจากการวิ่งขึ้นบันไดมาให้ทันลิฟท์ เหนื่อยมากไหม กับการวิ่งขึ้นมากดลิฟท์ดักตั้งแต่ชั้นสองยันชั้นสาม
"ขึ้นมาดิ รออะไรอยู่"
"ไม่ต้อง ฉันไดเอ็ตอยู่"
"แล้วจะวิ่งขึ้นมากดดักให้เหนื่อยทำไม เดินเอาไม่ง่ายกว่าหรอ"
"ไม่รู้หละ ฉันจะกดดักนายถึงชั้นห้าเลย คอยดูละกัน!"
อีนี่มันบ้าแน่ ๆ ผมคิด แล้วลิฟท์ก็มาหยุดต่อที่ชั้นสี่อีก เธอคนเดิมอีกแล้ว คราวนี้ทิ้งตัวลงคุกเข่าหน้าลิฟท์ เธอคงจะใช้พลังงานของตัวเองหมดไปกับการวิ่งขึ้นบันไดมากดดักลิฟท์ที่ผมขึ้นแล้ว จะว่าน่าเห็นใจก็น่าเห็นใจ แต่คนปกติที่ไหนเขาจะทำอย่างนี้กัน
"นาย ๆ ขอฉันไปด้วยได้มั้ย"
"ไม่วิ่งไปกดดักชั้นห้าแล้วหรอ"
"ฉันเหนื่อย"
"ก็ได้ ๆ แล้วที่ว่าจะให้ช่วยยกนี่อะไร"
"ไม่มี"
ผมรีบกดปิดประตูลิฟท์ทันที ผู้หญิงแปลก ๆ แบบนี้ ผมไม่น่าเข้าไปยุ่งกะเธอตั้งแต่แรกเลย เสียเวลาชีวิตเปล่าจริง ๆ ลิฟท์ยังขึ้นต่อไปถึงชั้นห้าที่ผมกดไว้ตอนแรก ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางเป็นลง แล้วมันก็ลงมาหยุดที่ชั้นสี่อีกครั้ง หัวใจของผมเต้นแรง อย่าบอกนะว่า ...
"นาย! ฉันขอลงด้วยคนสิ!"
เธอคนเดิมอีกแล้ว ยิ้มเผล่มาจากนอกลิฟท์ ก่อนจะคลานพรวดเข้ามา ผมพยายามเอาตัวรอดด้วยการกดปุ่มให้ประตูเปิดค้าง ก่อนจะแทรกตัวออกไปให้พ้น แต่เธอระดมกดปิดประตูลิฟท์ ขังผมไว้ในนั้น ก่อนที่ผมจะทันทำอะไร อีนี่มันบ้าแน่ ๆ บ้าจริง ๆ ผมคิดในใจ ต้องออกไปจากลิฟท์นี้ให้เร็วที่สุด ผมกดที่ปุ่มเลขสาม แต่ปุ่มเจ้ากรรมดันกดไม่ติด ยังโชคดีที่ปุ่มเลขสองยังไม่เสียไปด้วย ไม่อย่างนั้นผมคงต้องอยู่กับผู้หญิงบ้า ๆ นี่ยันชั้นหนึ่งแน่
ลิฟท์หยุด ประตูลิฟท์เปิด ผมรีบวิ่งออกมาทันที หันไปข้างหลัง ผู้หญิงบ้านั่นไม่ตามออกมาด้วย ผมถอนหายใจยาว ๆ ด้วยความโล่งอก หวังว่าช่วงบ่ายวันเสาร์นี้คงสงบสุขอย่างที่ควรจะเป็น และผมคงไม่เจอใครมาทำอะไรแปลก ๆ แบบนี้อีกนะ
...
"รู้หรือไม่ คนที่อ่านข้อความต่อไปนี้อยู่ ถ้าไม่อ่านออกเสียง แสดงว่าเป็นคนบ้า ... แต่ถ้าอ่านออกเสียง ก็ไม่พ้นจะต้องถูกมองจากสายตาของผู้อื่นว่าเป็นคนบ้าอยู่ดี ..."
เสียงใครสักคนพูดดัง ๆ เหมือนเด็กนักเรียนที่ครูให้อ่านออกเสียงหน้าชั้น ทำลายความเงียบของหอสมุดจนหมดสิ้น ผมกลอกสายตาขึ้นมาดูพักหนึ่ง ก่อนที่จะทอดสายตากลับไปนิตยสารที่อยู่ในมือ มันไม่ต่างอะไรกับเสียงอื่น ๆ ที่อยู่รายรอบผมในตอนนี้หรอก และไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องใส่ใจว่าใครเป็นคนที่อ่านข้อความพวกนั้น ขอแค่ไม่มีใครมารบกวนผม ปล่อยให้ผมนั่งอย่างคนไม่มีจุดหมายแบบนี้ก็พอแล้ว