คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
เราเองค่ะ
ยาวนิดนึงนะ จริงๆ จะตั้งกระทู้แบบนี้เหมือนกันค่ะ
เราจบโท ถึงจะไม่ได้จบนอก แต่จบอินเตอร์ ในสายตาคนรอบข้างและครอบครัว ถือว่าโปรไฟล์ดี คณะที่เรียนแปลออกมาแล้วดูว่าคนเรียนต้องฉลาด ดูอนาคตสดใส สามารถต่อยอดได้อนาคตไกล กลับบ้านทีนี่เกรียวกราว ใครฟังต้องร้องว้าว ได้งานยัง เมื่อไหร่แต่ง ต่อเอกเมื่อไหร่
ใครจะรู้ว่าเราน้ำตาตก คือ ก็ไม่ได้อยากเรียนตั้งแต่แรกแล้วมั้ย แต่เผอิญมันดันเรียนแล้ว ผลงานออกมาก็ดี
เราไม่ได้อยากทำอย่างที่เราอยากทำ เราโกหกคนรอบข้างมาตลอด โกหกตัวเองว่าเรามีความสุขจริงๆ โกหกตัวเองว่าจบมาแล้วอยากสอนคนอื่น สอนได้ (สอนได้จริงๆ แต่ไม่อยาก) เราได้รับแต่คำชื่นชมและกำลังใจ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ทางเรา
พอคนรอบข้างผิดหวังกับตัวเรา สิ่งที่เราได้รับมันทิ่มแทงนะ มากด้วย
คำที่ว่า เสียดายความรู้ สมองไหล เรียนไปไม่ได้ใช้
บางคนถึงกับว่าเราว่า โง่ ดักดาน ปัญญาทึบ
เพียงเพราะเรา ไม่ได้ทำอาชีพ ตรงสาขาที่เรียนมา หรือทำตามความคาดหวังของใครๆ
เสียใจ ..... เสียใจมาก คนที่คิดว่าชีวิตคนอื่นที่เราเห็นมันเพอร์เฟคและเรียบง่าย
เราเอง เคยเครียดขนาดหลอนมาพักนึง กับการค้นหาว่า นี่ฉันทำอะไรอยู่ จริงๆ แล้วฉันต้องการอะไร
จริงๆ แล้วเรามีเป้าหมายของเรานะ คือ ทำยังไงก็ได้ ไม่ต้องมาเกิดอีก
เราเบื่อแล้วอ่ะ เบื่อมาตั้งแต่วัยรุ่น
ตอนนั้นเรามีทุกอย่างเลยแหละที่ต้องการ บ้าน ที่นอน คนรัก คนที่คอยซับพอร์ตเราในอนาคต ข้าว น้ำ อาหาร เงิน การศึกษาที่ดี
แต่เรามองไปรอบๆ เราว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราตามหา ถ้าสิ่งเหล่านั้นมันใช่ ทำไมเราต้องตามหามันเรื่อยๆ ในเมื่อธรรมชาติของมันมีการแตกสลาย แม้แต่ตัวเรา มันเหนื่อย.... การอยู่บนโลก (แต่เราไม่คิดฆ่าตัวตายนะ เรากลัวเจ็บ 555 และเราว่าชีวิตเรายังมีค่าอยู่)
สูญเสียอะไรที่รักไปซักสิ่ง ทำไมมันเสียใจ เราไม่อยากเสียใจ แบบนั้นอีก ขอเป็นชาติสุดท้ายได้มั้ยที่ต้องมารู้สึกอะไรแบบนี้
อยากปิดสวิตช์แล้ว แล้วก็หายไปเลย สิ้นเชื้อเวียนว่ายตายเกิด
มันทีทาง เรามั่นใจว่ามันต้องมีทาง
เรียนจบ เราก็ แอบ ไปหาที่เรียนรู้ชีวิตใหม่ๆ (ต้องใช้คำว่าแอบ เพื่อหนีคำปรามาสของคนรอบข้าง ขี้เกียจฟัง ขี้เกียจตอบคำถาม)
ไปเป็นอาสาสมัคร ช่วยเหลือคนอื่น และพัฒนาตัวเอง
ได้ทำงานที่เราชอบ งานอาหาร ขัดส้วม ขุดดิน เรียนธรรมะ เรียนรู้ความจริงของโลกและชีวิต
ได้เจอ ได้ช่วยคนมากมาย จริงๆ ก็ทำหมด เยอะมากกก เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต 30 ปีของเรา
มันคือการเรียนรู้ชีวิต ตังน่ะ ก็ได้ แต่สิ่งมากกว่าได้ตัง คนอื่นเขาไม่สนใจหรอก กลับบ้านมา ถามเราแต่งานๆๆๆ ตังๆๆๆ
เมื่อไหร่จะมีที่ มีรถ มีบ้าน มีสามี มีลูก เหมือนคนอื่นเขา
กลับมา ... หลายๆ คนพยายามฉุดเรากลับมา สู่วังวนเดิมๆ วังวนแห่งความหวังของคนอื่น
เรากลับมาแต่ตัว มาพักฟิ้น เราป่วย เราเครียดจนสมองจะแตก โรคทุกโรครุมเร้า
คืนแต่ละคืน ยาแต่ละเม็ด นาทีแต่ละนาที กว่าจะผ่านไป พรุ่งนี้เราจะได้ตื่นมากินข้าวเช้ามั้ย
เราต้องโกหกคนอื่นว่าสบายดี เจ็บก็นิดหน่อย
แต่ในใจเรามันขมขื่นมาก
เราเห็นทางแล้ว
ใจเราก็บินไปที่เดิม
เราจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
ตอนนี้เรายังไม่พร้อม เรามีครอบครัว (พ่อแม่) ที่ต้องดูแล แม่เราไม่ค่อยห่วงท่านเข้าใจและสนับสนุนเรา ให้เราทำงานที่อยากทำ หรือไม่ทำก็ได้ อยู่เฉยๆ รักษาตัว (แต่เราก็อยากทำอยู่นะคะ เราก็ทนเป็นภาระใครไม่ได้ แต่ขอที่เราอยากทำ)
แต่พ่อเรา น่าห่วง (หย่ากับแม่ และมีเราเป็นความหวังเดียว ลูกคนเดียว) ท่านผิดหวังกับเรา มากกก มาก (เราก็ตะเกียกตะกายนะ หาที่อยู่ให้พ่อเรานะคะ เป็นหอพัก ใหม่ สงบ ทำเลดี มีภูเขา เราไม่มีงานเป็นแหล่งทำแต่เราก็ใช้ปัญญาทั้งหมดที่มีหามาได้ ส่วนบ้านและที่ดิน เรามี ของแม่ แม่เสียก็ยกให้เรา เราไม่เอา ให้พ่อ แม่จะให้เงินเดือนเรา เราไม่เอา ให้พ่อเถอะค่ะ)
สรุปเรา จบโทมาแล้ว
อยากร้อยสร้อยข้อมือขาย (นี่อยากทำมาสิบปีให้ตาย)
อยากทำงานด้านอาหาร (มิชชั่นคอมพลีท ได้ทำแล้ว แล้วจะกลับไปทำอีก)
อยากเรียนธรรม (อันนี้เรียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตาย)
อยากทำงานอาสา (เหมือนด้านบน)
เราไม่กล้าบอกใครหรอก โดยเฉพาะคนรอบตัว จริงๆ
มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่เข้าใจเรา
มันจะวนลูปเดิม
เราถึงไม่กลับไปเอาใบปริญญาที่ ม. ตอนนี้
เพราะญาติๆ ก็จะเฮโล โอ้อวดหลาน คาดหวัง ต่างๆ นานาๆ
ปล่อยมันไว้นั่นแหละค่ะ ไม่จบอะไรทั้งสิ้นก็ได้
(แต่ไม่ใช่เราจะทิ้งความรู้นะคะ ทุกวันนี้เราก็เรียนอยู่แหละ แต่ประเภทไลฟ์ลองเลิร์นนิ่งอ่ะค่ะ แค่ไม่ได้แชร์กับใครในตอนนี้)
ตอนนี้เริ่มเข้าใจคำ อ.เราแล้วล่ะ ว่า ป. 4 ทุกข์อย่างหยาบ ป.โท ป.เอก ทุกข์อย่างละเอียด
คนเราก็ทุกข์ไปคนละแบบ
ยาวนิดนึงนะ จริงๆ จะตั้งกระทู้แบบนี้เหมือนกันค่ะ
เราจบโท ถึงจะไม่ได้จบนอก แต่จบอินเตอร์ ในสายตาคนรอบข้างและครอบครัว ถือว่าโปรไฟล์ดี คณะที่เรียนแปลออกมาแล้วดูว่าคนเรียนต้องฉลาด ดูอนาคตสดใส สามารถต่อยอดได้อนาคตไกล กลับบ้านทีนี่เกรียวกราว ใครฟังต้องร้องว้าว ได้งานยัง เมื่อไหร่แต่ง ต่อเอกเมื่อไหร่
ใครจะรู้ว่าเราน้ำตาตก คือ ก็ไม่ได้อยากเรียนตั้งแต่แรกแล้วมั้ย แต่เผอิญมันดันเรียนแล้ว ผลงานออกมาก็ดี
เราไม่ได้อยากทำอย่างที่เราอยากทำ เราโกหกคนรอบข้างมาตลอด โกหกตัวเองว่าเรามีความสุขจริงๆ โกหกตัวเองว่าจบมาแล้วอยากสอนคนอื่น สอนได้ (สอนได้จริงๆ แต่ไม่อยาก) เราได้รับแต่คำชื่นชมและกำลังใจ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ทางเรา
พอคนรอบข้างผิดหวังกับตัวเรา สิ่งที่เราได้รับมันทิ่มแทงนะ มากด้วย
คำที่ว่า เสียดายความรู้ สมองไหล เรียนไปไม่ได้ใช้
บางคนถึงกับว่าเราว่า โง่ ดักดาน ปัญญาทึบ
เพียงเพราะเรา ไม่ได้ทำอาชีพ ตรงสาขาที่เรียนมา หรือทำตามความคาดหวังของใครๆ
เสียใจ ..... เสียใจมาก คนที่คิดว่าชีวิตคนอื่นที่เราเห็นมันเพอร์เฟคและเรียบง่าย
เราเอง เคยเครียดขนาดหลอนมาพักนึง กับการค้นหาว่า นี่ฉันทำอะไรอยู่ จริงๆ แล้วฉันต้องการอะไร
จริงๆ แล้วเรามีเป้าหมายของเรานะ คือ ทำยังไงก็ได้ ไม่ต้องมาเกิดอีก
เราเบื่อแล้วอ่ะ เบื่อมาตั้งแต่วัยรุ่น
ตอนนั้นเรามีทุกอย่างเลยแหละที่ต้องการ บ้าน ที่นอน คนรัก คนที่คอยซับพอร์ตเราในอนาคต ข้าว น้ำ อาหาร เงิน การศึกษาที่ดี
แต่เรามองไปรอบๆ เราว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราตามหา ถ้าสิ่งเหล่านั้นมันใช่ ทำไมเราต้องตามหามันเรื่อยๆ ในเมื่อธรรมชาติของมันมีการแตกสลาย แม้แต่ตัวเรา มันเหนื่อย.... การอยู่บนโลก (แต่เราไม่คิดฆ่าตัวตายนะ เรากลัวเจ็บ 555 และเราว่าชีวิตเรายังมีค่าอยู่)
สูญเสียอะไรที่รักไปซักสิ่ง ทำไมมันเสียใจ เราไม่อยากเสียใจ แบบนั้นอีก ขอเป็นชาติสุดท้ายได้มั้ยที่ต้องมารู้สึกอะไรแบบนี้
อยากปิดสวิตช์แล้ว แล้วก็หายไปเลย สิ้นเชื้อเวียนว่ายตายเกิด
มันทีทาง เรามั่นใจว่ามันต้องมีทาง
เรียนจบ เราก็ แอบ ไปหาที่เรียนรู้ชีวิตใหม่ๆ (ต้องใช้คำว่าแอบ เพื่อหนีคำปรามาสของคนรอบข้าง ขี้เกียจฟัง ขี้เกียจตอบคำถาม)
ไปเป็นอาสาสมัคร ช่วยเหลือคนอื่น และพัฒนาตัวเอง
ได้ทำงานที่เราชอบ งานอาหาร ขัดส้วม ขุดดิน เรียนธรรมะ เรียนรู้ความจริงของโลกและชีวิต
ได้เจอ ได้ช่วยคนมากมาย จริงๆ ก็ทำหมด เยอะมากกก เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิต 30 ปีของเรา
มันคือการเรียนรู้ชีวิต ตังน่ะ ก็ได้ แต่สิ่งมากกว่าได้ตัง คนอื่นเขาไม่สนใจหรอก กลับบ้านมา ถามเราแต่งานๆๆๆ ตังๆๆๆ
เมื่อไหร่จะมีที่ มีรถ มีบ้าน มีสามี มีลูก เหมือนคนอื่นเขา
กลับมา ... หลายๆ คนพยายามฉุดเรากลับมา สู่วังวนเดิมๆ วังวนแห่งความหวังของคนอื่น
เรากลับมาแต่ตัว มาพักฟิ้น เราป่วย เราเครียดจนสมองจะแตก โรคทุกโรครุมเร้า
คืนแต่ละคืน ยาแต่ละเม็ด นาทีแต่ละนาที กว่าจะผ่านไป พรุ่งนี้เราจะได้ตื่นมากินข้าวเช้ามั้ย
เราต้องโกหกคนอื่นว่าสบายดี เจ็บก็นิดหน่อย
แต่ในใจเรามันขมขื่นมาก
เราเห็นทางแล้ว
ใจเราก็บินไปที่เดิม
เราจะกลับไปที่นั่นอีกครั้ง
ตอนนี้เรายังไม่พร้อม เรามีครอบครัว (พ่อแม่) ที่ต้องดูแล แม่เราไม่ค่อยห่วงท่านเข้าใจและสนับสนุนเรา ให้เราทำงานที่อยากทำ หรือไม่ทำก็ได้ อยู่เฉยๆ รักษาตัว (แต่เราก็อยากทำอยู่นะคะ เราก็ทนเป็นภาระใครไม่ได้ แต่ขอที่เราอยากทำ)
แต่พ่อเรา น่าห่วง (หย่ากับแม่ และมีเราเป็นความหวังเดียว ลูกคนเดียว) ท่านผิดหวังกับเรา มากกก มาก (เราก็ตะเกียกตะกายนะ หาที่อยู่ให้พ่อเรานะคะ เป็นหอพัก ใหม่ สงบ ทำเลดี มีภูเขา เราไม่มีงานเป็นแหล่งทำแต่เราก็ใช้ปัญญาทั้งหมดที่มีหามาได้ ส่วนบ้านและที่ดิน เรามี ของแม่ แม่เสียก็ยกให้เรา เราไม่เอา ให้พ่อ แม่จะให้เงินเดือนเรา เราไม่เอา ให้พ่อเถอะค่ะ)
สรุปเรา จบโทมาแล้ว
อยากร้อยสร้อยข้อมือขาย (นี่อยากทำมาสิบปีให้ตาย)
อยากทำงานด้านอาหาร (มิชชั่นคอมพลีท ได้ทำแล้ว แล้วจะกลับไปทำอีก)
อยากเรียนธรรม (อันนี้เรียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตาย)
อยากทำงานอาสา (เหมือนด้านบน)
เราไม่กล้าบอกใครหรอก โดยเฉพาะคนรอบตัว จริงๆ
มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่เข้าใจเรา
มันจะวนลูปเดิม
เราถึงไม่กลับไปเอาใบปริญญาที่ ม. ตอนนี้
เพราะญาติๆ ก็จะเฮโล โอ้อวดหลาน คาดหวัง ต่างๆ นานาๆ
ปล่อยมันไว้นั่นแหละค่ะ ไม่จบอะไรทั้งสิ้นก็ได้
(แต่ไม่ใช่เราจะทิ้งความรู้นะคะ ทุกวันนี้เราก็เรียนอยู่แหละ แต่ประเภทไลฟ์ลองเลิร์นนิ่งอ่ะค่ะ แค่ไม่ได้แชร์กับใครในตอนนี้)
ตอนนี้เริ่มเข้าใจคำ อ.เราแล้วล่ะ ว่า ป. 4 ทุกข์อย่างหยาบ ป.โท ป.เอก ทุกข์อย่างละเอียด
คนเราก็ทุกข์ไปคนละแบบ
ความคิดเห็นที่ 20
เราทำอาชีพ "นักวาดฟรีแลนซ์" ค่ะ
แต่รวมๆก็ทำหลายๆอย่าง ทั้ง ออกแบบงานกราฟฟิก วาดภาพประกอบ infographic อนิเมชั่น ฯลฯ
เป็นอาชีพในฝัน ที่เราทำได้สำเร็จ และมีความสุขมาก ได้ทั้งอิสระและเงินค่ะ ^^
ถ้าเล่าแล้วอาจจะยาว 555+
เส้นทางอาชีพนี้มันไม่ง่าย แต่เราคิดว่าเราโชคดี
เพราะเรารู้ตัวเร็วว่าสิ่งที่เราชอบคืออะไร
เราชอบศิลปะมาตั้งแต่เริ่มจำความได้เลย รู้ตัวว่าอยากทำอาชีพอะไรมาตั้งแต่ตอนนั้น
แต่ก็จะโดนพวกผู้ใหญ่เตือนอยู่เสมอว่า อาชีพแนวนี้มักจะ "กินแกลบ"
บวกกับตอนเด็กๆเป็นเด็กเรียน เนิร์ด เรียนเก่งมาก ที่บ้านก็เลยเชียร์ให้เรียนสายอื่นมาตลอด โดยเฉพาะสายวิทย์
แต่เราก็ดื้อค่ะ ไม่ฟัง อยากพิสูจน์ตัวเองมากว่าอาชีพนี้มันรอดนะ
ก็เลยพยายามลงประกวดงานต่างๆตั้งแต่ประถม มัธยมต้น ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้าง
เหมือนเป็นการโชว์ศักยภาพให้คนที่บ้านเห็นค่ะ เป็นสงครามเย็น 555+
จน ม.ปลาย เป็นช่วงที่ต้องเริ่มจริงจังแล้วว่าจะเรียนต่อสายไหน
เราก็ดื้อไม่เข้าสายวิทย์ โดนที่บ้านโกรธ อากงผิดหวังมาก
แต่เราก็ยังคงยึดมั่น ยังคงรักการวาดรูปและลงแข่งอยู่เสมอเหมือนเดิม
จนชนะงานประกวดระดับประเทศ ได้ถ้วยพระราชทานมา ที่บ้านปลื้มกันมาก
ในช่วงนี้เองที่เราเริ่มตัดสินใจรับงานฟรีแลนซ์ (ช่วง ม.5)
เพราะเราเองก็รู้แล้วว่า เส้นทางนี้มันยากเหมือนที่ผู้ใหญ่เตือนจริงๆ
เราเลยอยาก "ซ้อม" ทำงานไว้ก่อน จะได้รู้จุดบอดจุดแข็งของอาชีพนี้...
หลังจากลองทำได้ซักพัก ก็เจอช่องทางทำงานมากมาย
สำหรับเรามันเวิร์คมาก ตอนนั้น เราหาเงินได้ประมาณ 1 แสน จากการรับงานฟรีแลนซ์ วาดรูปขายล้วนๆ (ทำตั้งแต่ ม.5-ม.6)
อาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ในสายตาเด็ก ม.ปลาย ตอนนั้น เยอะมวากก เราภูมิใจมากค่ะ >///<
เราเอาเงิน 1 แสนให้อากงกับแม่ แล้วก็บอกท่านว่า..."หนูเลือกแล้ว และนี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าหนูทำได้"
จากการที่เราชนะระดับประเทศ ได้ถ้วยพระราชกาน หาเงินแสนได้ พร้อมกับเกรดการเรียนที่ไม่เคยตกเลย (3.80)
ที่บ้านก็เลยตัดสินใจปล่อยเราค่ะ จะเรียนต่อ จะทำอะไรก็ได้ "แล้วแต่ลื้อเลย" อากงบอก 555+
#ปลดแอก ค่ะ
พอขึ้นมหาลัย เราก็ได้เรียนคณะศิลปะ ที่เราใฝ่ฝัน
ชิวมาก เพราะไม่ต้องเปิดสงครามกับที่บ้านละ
แต่ระหว่างเรียน ก็ยังทำเหมือนเดิม คือรับงานฟรีแลนซ์ไปด้วย มันสนุกมากค่ะ
ซึ่งในช่วงนี้ยังลังเลอยู่ว่า จบไปจะทำอะไรดีระหว่างเข้า บริษัทออกแบบ หรือ ฟรีแลนซ์?
มาเจอคำตอบตอนปี 3 เพราะต้องไปฝึกงานบริษัทออกแบบค่ะ
พอได้ไปฝึกงาน ก็ได้รู้อะไรหลายๆอย่าง ทำให้สาบานตนเลยว่าจะไม่ไปเป็นลูกจ้างใคร ต้องฟรีแลนซ์เท่านั้น!!
พอเรียนจบเราก็ทำฟรีแลนซ์เลย จนตอนนี้ทำมา 3 ปีละ
เราโค่ดรักอาชีพนี้เลยอ่ะ มันสบายมากกกกก มีอิสระ ได้ทำสิ่งที่รัก ได้วาดรูปทุกวัน มีเงินเก็บ
มีเวลาไปเดินห้าง ไม่ต้องเดินทาง มีเวลาดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย
อยากหยุดวันไหนก็หยุดได้ อยากไปเที่ยวไหนหลายๆวันก็ได้ ก็แค่จัดตารางงาน
มันเป็นอะไรที่เราใฝ่ฝันมากค่ะ เพราะเรารักอิสระ
จะมีข้อเสียนิดหน่อยก็แค่ ไม่ค่อยได้เจอเพื่อน สังคมน้อยลง 5555+
อ้อ แล้วก็โดนลุง ป้า น้า อา ญาติๆ ที่ไม่เข้าใจในอาชีพเรา
พูดจิกกัดและโดนเปรียบเทียบกับลูกหลานบ้านเขาอยู่ตลอดค่ะ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ แค่ที่บ้านเราเข้าใจก็พอแล้ว ^^
จริงๆแล้ว ตัวเราเองก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากนะ
ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่เราพอใจกับชีวิตตอนนี้มาก รู้เลยว่านี่แหละคือ "ความสุขและสิ่งที่ตามหา" ค่ะ
เพราะในทุกๆวัน ตอนที่เราตื่นขึ้นมา เราไม่เคยรู้สึกเบื่อหรือหน่ายใจกับงานเลย
ทุกๆวันเริ่มต้นด้วยความสุขและความตื่นเต้นกับงานค่ะ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ^^
ที่เรามีวันนี้ได้ คงเป็นเพราะเราโชคดีที่รู้ตัวตั้งแต่เล็กๆ และไม่เคยยอมแพ้เลย เชื่อมั่นในตัวเองมาตลอด
จากนี้เราก็จะสู้ต่อไปค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ : )
แต่รวมๆก็ทำหลายๆอย่าง ทั้ง ออกแบบงานกราฟฟิก วาดภาพประกอบ infographic อนิเมชั่น ฯลฯ
เป็นอาชีพในฝัน ที่เราทำได้สำเร็จ และมีความสุขมาก ได้ทั้งอิสระและเงินค่ะ ^^
ถ้าเล่าแล้วอาจจะยาว 555+
เส้นทางอาชีพนี้มันไม่ง่าย แต่เราคิดว่าเราโชคดี
เพราะเรารู้ตัวเร็วว่าสิ่งที่เราชอบคืออะไร
เราชอบศิลปะมาตั้งแต่เริ่มจำความได้เลย รู้ตัวว่าอยากทำอาชีพอะไรมาตั้งแต่ตอนนั้น
แต่ก็จะโดนพวกผู้ใหญ่เตือนอยู่เสมอว่า อาชีพแนวนี้มักจะ "กินแกลบ"
บวกกับตอนเด็กๆเป็นเด็กเรียน เนิร์ด เรียนเก่งมาก ที่บ้านก็เลยเชียร์ให้เรียนสายอื่นมาตลอด โดยเฉพาะสายวิทย์
แต่เราก็ดื้อค่ะ ไม่ฟัง อยากพิสูจน์ตัวเองมากว่าอาชีพนี้มันรอดนะ
ก็เลยพยายามลงประกวดงานต่างๆตั้งแต่ประถม มัธยมต้น ได้รางวัลบ้างไม่ได้บ้าง
เหมือนเป็นการโชว์ศักยภาพให้คนที่บ้านเห็นค่ะ เป็นสงครามเย็น 555+
จน ม.ปลาย เป็นช่วงที่ต้องเริ่มจริงจังแล้วว่าจะเรียนต่อสายไหน
เราก็ดื้อไม่เข้าสายวิทย์ โดนที่บ้านโกรธ อากงผิดหวังมาก
แต่เราก็ยังคงยึดมั่น ยังคงรักการวาดรูปและลงแข่งอยู่เสมอเหมือนเดิม
จนชนะงานประกวดระดับประเทศ ได้ถ้วยพระราชทานมา ที่บ้านปลื้มกันมาก
ในช่วงนี้เองที่เราเริ่มตัดสินใจรับงานฟรีแลนซ์ (ช่วง ม.5)
เพราะเราเองก็รู้แล้วว่า เส้นทางนี้มันยากเหมือนที่ผู้ใหญ่เตือนจริงๆ
เราเลยอยาก "ซ้อม" ทำงานไว้ก่อน จะได้รู้จุดบอดจุดแข็งของอาชีพนี้...
หลังจากลองทำได้ซักพัก ก็เจอช่องทางทำงานมากมาย
สำหรับเรามันเวิร์คมาก ตอนนั้น เราหาเงินได้ประมาณ 1 แสน จากการรับงานฟรีแลนซ์ วาดรูปขายล้วนๆ (ทำตั้งแต่ ม.5-ม.6)
อาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ในสายตาเด็ก ม.ปลาย ตอนนั้น เยอะมวากก เราภูมิใจมากค่ะ >///<
เราเอาเงิน 1 แสนให้อากงกับแม่ แล้วก็บอกท่านว่า..."หนูเลือกแล้ว และนี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าหนูทำได้"
จากการที่เราชนะระดับประเทศ ได้ถ้วยพระราชกาน หาเงินแสนได้ พร้อมกับเกรดการเรียนที่ไม่เคยตกเลย (3.80)
ที่บ้านก็เลยตัดสินใจปล่อยเราค่ะ จะเรียนต่อ จะทำอะไรก็ได้ "แล้วแต่ลื้อเลย" อากงบอก 555+
#ปลดแอก ค่ะ
พอขึ้นมหาลัย เราก็ได้เรียนคณะศิลปะ ที่เราใฝ่ฝัน
ชิวมาก เพราะไม่ต้องเปิดสงครามกับที่บ้านละ
แต่ระหว่างเรียน ก็ยังทำเหมือนเดิม คือรับงานฟรีแลนซ์ไปด้วย มันสนุกมากค่ะ
ซึ่งในช่วงนี้ยังลังเลอยู่ว่า จบไปจะทำอะไรดีระหว่างเข้า บริษัทออกแบบ หรือ ฟรีแลนซ์?
มาเจอคำตอบตอนปี 3 เพราะต้องไปฝึกงานบริษัทออกแบบค่ะ
พอได้ไปฝึกงาน ก็ได้รู้อะไรหลายๆอย่าง ทำให้สาบานตนเลยว่าจะไม่ไปเป็นลูกจ้างใคร ต้องฟรีแลนซ์เท่านั้น!!
พอเรียนจบเราก็ทำฟรีแลนซ์เลย จนตอนนี้ทำมา 3 ปีละ
เราโค่ดรักอาชีพนี้เลยอ่ะ มันสบายมากกกกก มีอิสระ ได้ทำสิ่งที่รัก ได้วาดรูปทุกวัน มีเงินเก็บ
มีเวลาไปเดินห้าง ไม่ต้องเดินทาง มีเวลาดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย
อยากหยุดวันไหนก็หยุดได้ อยากไปเที่ยวไหนหลายๆวันก็ได้ ก็แค่จัดตารางงาน
มันเป็นอะไรที่เราใฝ่ฝันมากค่ะ เพราะเรารักอิสระ
จะมีข้อเสียนิดหน่อยก็แค่ ไม่ค่อยได้เจอเพื่อน สังคมน้อยลง 5555+
อ้อ แล้วก็โดนลุง ป้า น้า อา ญาติๆ ที่ไม่เข้าใจในอาชีพเรา
พูดจิกกัดและโดนเปรียบเทียบกับลูกหลานบ้านเขาอยู่ตลอดค่ะ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ แค่ที่บ้านเราเข้าใจก็พอแล้ว ^^
จริงๆแล้ว ตัวเราเองก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากนะ
ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่เราพอใจกับชีวิตตอนนี้มาก รู้เลยว่านี่แหละคือ "ความสุขและสิ่งที่ตามหา" ค่ะ
เพราะในทุกๆวัน ตอนที่เราตื่นขึ้นมา เราไม่เคยรู้สึกเบื่อหรือหน่ายใจกับงานเลย
ทุกๆวันเริ่มต้นด้วยความสุขและความตื่นเต้นกับงานค่ะ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ^^
ที่เรามีวันนี้ได้ คงเป็นเพราะเราโชคดีที่รู้ตัวตั้งแต่เล็กๆ และไม่เคยยอมแพ้เลย เชื่อมั่นในตัวเองมาตลอด
จากนี้เราก็จะสู้ต่อไปค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะ : )

ความคิดเห็นที่ 8
ของผมเคยอยากเป็นนักข่าวตอนเด็ก เพราะคิดว่าเป็นอาชีพที่ได้ทำอะไรใหม่ๆตลอด เจอคนใหม่ๆ อย่างดาราที่ชอบ ไปที่ที่ไม่เคยไป
แต่พอโตขึ้นมาดันลืมฝันตอนเด็ก เลยไปเรียน BBA และ ปริญญาโทด้านธุรกิจที่มหิดลอินเตอร์จนเรียนจบตอนอายุ 25
ตอนจบปริญญาตรีหางานด้านธุรกิจทำ แต่ให้ไม่ได้สักที เพราะไม่เจองานที่ใช่
สองงานแรกที่ดูเป็นงานเซลล์ แต่ไม่โอเคกับบริษัทเลยไม่เอาครับ
ต่อมาได้บริษัทสื่อ เป็น Planner โฆษณา เขาก็ไม่รับ เพราะความรู้เราในด้านที่ต้องการไม่มี (คือเขาอยากได้คนที่เก่ง Finance ด้วย)
อีกบริษัทเป็นแนวไอที ซึ่งเราไม่ได้งาน เพราะความรู้ไอทีน้อย
อีกที่เป็นบริษัทโฆษณา ตำแหน่ง Copy writer แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี คือตอนนั้นก็เซ็งมาก ปีครึ่งกับ 5 บริษัท หางานไม่ได้เลย ตอนนั้นกำลังจะจบโทแล้ว
แต่ตอนนั้นเจอพี่ Headhunter คนหนึ่ง บอกว่าน้องเหมาะกับงานด้านเขียนนะ เลยกลับมาสนใจงานด้านนักข่าว นักเขียน Columnist อีกครั้ง ก็ลองสมัครหลายที่ แต่ไม่ได้งาน
จนกระทั่งมีบริษัทสื่อระดับประเทศแห่งหนึ่งเรียกผมไปสัมภาษณ์ ผมก็สัมภาษณ์ ทำแบบทดสอบ ก็ได้งานเลย
ทุกวันนี้ชีวิตดีมาก มีงานเขียนสกู๊ปในชื่อเราออกมาเป็นร้อยๆงาน และมีชื่อ กับนามปากกา เราแปะในงานเหล่านั้นด้วย เราได้เจอศิลปินที่ชอบมากมายเลย หลายคนเป็นไอดอลเราแต่เด็ก รวมถึงได้ไปคอนเสิร์ตๆดัง เทศกาลดนตรีสนุกๆมากมาย ที่เราอยากไปตอนเด็ก
รูปในสปอยนี้ได้สัมภาษณ์ PACK4 วงที่เราชอบตอนเด็ก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ที่ผมเซอร์ไพรส์ก็คือ งานของผม ทำให้ผมได้เจอศิลปินอินเตอร์ระดับโลกที่ไม่คิดจะเจอด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อปีที่ผ่านมา ได้สัมภาษณ์วง Take That จากอังกฤษ (ขอบคุณ คห 8-2 ที่ช่วยแก้ความสับสนเรื่องประเทศ) ที่เป็นบอยแบนด์ระดับโลกยุค 90s และ Charlie Puth เจ้าของเพลง One call away และ คนที่ฟีทเพลง See you again เป็นศิลปินระดับโลกที่เราชอบและไม่คิดจะได้เจอ แต่ทำงานเป็นนักข่าวก็ได้เจอและคุยกับคนเหล่านี้ในที่สุด
ตอนนี้ก็เน้นทำงานด้านนี้ละครับ ผมมีไอดอลเป็น แอนนา วินทัวร์ และ โอปร้า วินเฟรย์ ก็อยากไปถึงจุดท็อปของอาชีพเราสักวันครับ และในฐานะทำงานด้านข่าวและสื่อบันเทิง ก็อยากเป็นคนที่ทำให้วงการบันเทิงไทยมีสีสันและความหลากหลาย มากกว่านี้ด้วยครับ
แต่พอโตขึ้นมาดันลืมฝันตอนเด็ก เลยไปเรียน BBA และ ปริญญาโทด้านธุรกิจที่มหิดลอินเตอร์จนเรียนจบตอนอายุ 25
ตอนจบปริญญาตรีหางานด้านธุรกิจทำ แต่ให้ไม่ได้สักที เพราะไม่เจองานที่ใช่
สองงานแรกที่ดูเป็นงานเซลล์ แต่ไม่โอเคกับบริษัทเลยไม่เอาครับ
ต่อมาได้บริษัทสื่อ เป็น Planner โฆษณา เขาก็ไม่รับ เพราะความรู้เราในด้านที่ต้องการไม่มี (คือเขาอยากได้คนที่เก่ง Finance ด้วย)
อีกบริษัทเป็นแนวไอที ซึ่งเราไม่ได้งาน เพราะความรู้ไอทีน้อย
อีกที่เป็นบริษัทโฆษณา ตำแหน่ง Copy writer แต่ก็ไม่ได้อยู่ดี คือตอนนั้นก็เซ็งมาก ปีครึ่งกับ 5 บริษัท หางานไม่ได้เลย ตอนนั้นกำลังจะจบโทแล้ว
แต่ตอนนั้นเจอพี่ Headhunter คนหนึ่ง บอกว่าน้องเหมาะกับงานด้านเขียนนะ เลยกลับมาสนใจงานด้านนักข่าว นักเขียน Columnist อีกครั้ง ก็ลองสมัครหลายที่ แต่ไม่ได้งาน
จนกระทั่งมีบริษัทสื่อระดับประเทศแห่งหนึ่งเรียกผมไปสัมภาษณ์ ผมก็สัมภาษณ์ ทำแบบทดสอบ ก็ได้งานเลย
ทุกวันนี้ชีวิตดีมาก มีงานเขียนสกู๊ปในชื่อเราออกมาเป็นร้อยๆงาน และมีชื่อ กับนามปากกา เราแปะในงานเหล่านั้นด้วย เราได้เจอศิลปินที่ชอบมากมายเลย หลายคนเป็นไอดอลเราแต่เด็ก รวมถึงได้ไปคอนเสิร์ตๆดัง เทศกาลดนตรีสนุกๆมากมาย ที่เราอยากไปตอนเด็ก
รูปในสปอยนี้ได้สัมภาษณ์ PACK4 วงที่เราชอบตอนเด็ก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ที่ผมเซอร์ไพรส์ก็คือ งานของผม ทำให้ผมได้เจอศิลปินอินเตอร์ระดับโลกที่ไม่คิดจะเจอด้วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อปีที่ผ่านมา ได้สัมภาษณ์วง Take That จากอังกฤษ (ขอบคุณ คห 8-2 ที่ช่วยแก้ความสับสนเรื่องประเทศ) ที่เป็นบอยแบนด์ระดับโลกยุค 90s และ Charlie Puth เจ้าของเพลง One call away และ คนที่ฟีทเพลง See you again เป็นศิลปินระดับโลกที่เราชอบและไม่คิดจะได้เจอ แต่ทำงานเป็นนักข่าวก็ได้เจอและคุยกับคนเหล่านี้ในที่สุด
ตอนนี้ก็เน้นทำงานด้านนี้ละครับ ผมมีไอดอลเป็น แอนนา วินทัวร์ และ โอปร้า วินเฟรย์ ก็อยากไปถึงจุดท็อปของอาชีพเราสักวันครับ และในฐานะทำงานด้านข่าวและสื่อบันเทิง ก็อยากเป็นคนที่ทำให้วงการบันเทิงไทยมีสีสันและความหลากหลาย มากกว่านี้ด้วยครับ
ความคิดเห็นที่ 2
ข้าพเจ้า พบอาชีพในฝัน เมื่ออายุ 40 ต้นๆ
ขณะรับงานเป็น Project Manager ของโครงการหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษา มาเป็นที่พึ่ง
จึงมี consultant มา สอน/ดูแล/แนะนำ ในราคาวันละ 20,000.- (+vat 7%) [20 กว่าปีมาแล้วนะ]
ที่ปรึกษาท่านนี้ เก่ง และ มีประสิทธิภาพ คุ้มราคาที่จ่าย สามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง
และได้สั่งสอนข้าพเจ้า ทั้งเรื่อง ใน/นอก งาน ตลอดเวลา 2 ปีของโครงการที่ทำนั้น
เมื่อจบโครงการ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนงาน มาเป็น consultant ในด้านที่ตัวเองถนัด
และทำต่อมา อีก 10 กว่าปี จนเกษียณตัวเอง
ขณะรับงานเป็น Project Manager ของโครงการหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษา มาเป็นที่พึ่ง
จึงมี consultant มา สอน/ดูแล/แนะนำ ในราคาวันละ 20,000.- (+vat 7%) [20 กว่าปีมาแล้วนะ]
ที่ปรึกษาท่านนี้ เก่ง และ มีประสิทธิภาพ คุ้มราคาที่จ่าย สามารถปรึกษาได้ทุกเรื่อง
และได้สั่งสอนข้าพเจ้า ทั้งเรื่อง ใน/นอก งาน ตลอดเวลา 2 ปีของโครงการที่ทำนั้น
เมื่อจบโครงการ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนงาน มาเป็น consultant ในด้านที่ตัวเองถนัด
และทำต่อมา อีก 10 กว่าปี จนเกษียณตัวเอง
แสดงความคิดเห็น
อยากฟังเรื่องราวของคนที่ได้ทำอาชีพในฝันแล้วสนุกกับมันค่ะ :)
ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเจอผู้คนแต่ก็มีบางเวลาที่อยากอยู่เงียบๆคนเดียวหน้าคอมแล้วทำงานมากกว่า ชอบงานออกแบบที่ให้จินตนาการไหลไปเรื่อยๆแต่ก็ชอบงานที่วิชาการบ้างเหมือนกัน อารมณ์ความชอบแบบกึ่งๆทุกอย่าง 5555
เลยสงสัยว่า คนที่เค้าเจออาชีพในฝัน เค้าเจอได้ยังไง นานไหมกว่าจะเจอ อุปสรรค์ต่างๆ แบบนี้ค่ะ > <
ขอบคุณสำหรับคำตอบล่วงหน้าค่ะ ^_^