‘กระดูกข้อมือ’..‘กระดิ่งข้อเท้า’


ความเดิมตอนที่แล้ว..

    “ได้ละ..ที่ฝากกูเช่ามา” กล่องในมือไอ้ฑิตถูกแจกกันไปคนละกล่อง จนเหลือกล่องสุดท้าย ซึ่งตรงกับผมที่ยังไม่ได้รับ ภายในกล่องคือพระเครื่องรุ่นหนึ่ง พิมพ์แบบเดียวกัน เพียงแต่ของแต่ละคนจะลงสีแตกต่างกันออกไป บางคนได้สีแดง บางคนได้ลายเหลืองสลับดำคล้ายลายเสือ ส่วนที่อยู่ในมือไอ้ฑิตแล้วคาดว่าน่าจะเป็นของผมนั้นมีน้ำเงิน
    “แล้วไม่ให้กูซักทีล่ะ?” ผมถามขึ้น
    “ก่อนกูจะให้ไปดูแล..กูบอกไว้เลย..นี่ตาถึงมาก รู้มั้ยเกิดอะไรขึ้นตอนกูเอามาให้พวก?” ทั้งวงหันความสนใจจากพระเครื่องในมือที่เพิ่งได้มาใหม่กลับไปที่ไอ้ฑิต
    “กูอ่ะ แยกของไว้กับคนอื่น ใส่ไว้ในเก๊ะรถ เผื่อจะเอาไปให้ที่ร้าน แต่วันนี้มาเจอพอดี แล้วตอนกูเปิดเก๊ะ รู้มั้ยกูเจออะไร?” ผมสั่นหน้าหงึกๆ เป็นการปฏิเสธ ในใจคิดว่า.. ‘ก็บอกมาซักทีสิวะ’
    ทันใดนั้น ไอ้ฑิตก็จับมือผมไปแบออกก่อนที่จะยัดพระเครื่ององค์สุดท้ายในมือของมันให้กลายเป็นของผมอย่างเต็มตัว

“กูเห็นองค์นี้แหละ กลายเป็นมือผู้หญิงอยู่ในเก๊ะรถกู”

................................................................................................................................................................................

    “เออ..ได้ข่าวว่าไปหัวหินมา เป็นไงบ้างวะ” ผมนึกถึงเรื่องที่ผมไปหัวหินมาเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนหน้าเมื่อกลางเดือนธันวา
    “กู.. ไปกับผู้หญิงคนนึง..” ผมแกล้งหยอดให้เพื่อนผมตื่นเต้นเรื่องผมกำลังคบหากับผู้หญิงบางคน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงที่ไปด้วยกันนั้นก็แค่เพื่อน
    “ฮันน่อวววว แล้วเป็นไงมั่ง” เพื่อนผมถามต่ออย่างตื่นเต้น
    “แล้วกูก็ได้รู้จักเค้ามากขึ้น จนกูก็รู้ว่า.. เค้าเหมือนกูมาก” ผมพยายามจะละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าเธอคนนั้นเหมือนกับผมในด้านไหน แต่ก็เผื่อใจไว้ให้เพื่อนมันถามต่ออยู่ดี
    “เหมือนยังไงวะที่ว่าเหมือนมาก?”
    “เรื่องที่ก็รู้ว่ากูเป็นคนแบบไหน..เค้าก็เป็นเหมือนกัน” เรื่องที่หัวหินนั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ผมอาจจะจำอย่างไม่มีวันลืม ทั้งมีความสุข และน่ากลัวมากในเวลาเดียวกัน รวมไปถึงเป็นหมุดแรกที่ทำให้ผมเริ่มรู้ตัวเองว่า

‘ไปที่ไหนก็เจอจริงๆ’

................................................................................................................................................................................

    ผมขย้อนเอาของเก่าลงไปในชักโครกจนเกือบหมดกระเพาะ..ในที่สุดก็สวดเสร็จ เป็นอันเสร็จพิธี พวกมันจะได้ไปๆ ซักที ก่อนที่ผมจะพนมมืออาราธนาเรียกใครบางตนที่ไม่ใช่พระให้มาอยู่กันท่าให้ เผื่อว่าพวกนั้นบางตนจะยังสูบกินส่วนบุญผมหรือคนอื่นๆ ในงานไม่อิ่ม ซึ่งเหตุผลที่ผมไม่เรียกให้มาตั้งแต่แรก เพราะผมถือว่าอาการแบบนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องกับใครที่เราจะรับรองไม่ได้ว่ามันจะตามกลับถึงบ้านรึเปล่า
................................................................................................................................................................................

    รถตู้คันหนึ่งเคลื่อนออกจากริมถนนไปช้าๆ หลังจากที่ผมลงจากรถตู้มาแล้ว ผมมองไปทางซ้ายทีขวาที เพื่อมองหาป้ายซอยที่มีเลขซอยกำกับไว้ว่าตอนนี้ ‘เราทั้งคู่’ อยู่ที่หัวหินซอยที่เท่าไหร่ เพราะด้วยความเร็วของรถตู้ที่เราเพิ่งโดยสารมาเมื่อครู่ทำให้ไม่ทันได้บอกโชเฟอร์ให้จอดตรงจุดที่เราต้องลงจนเลยมาพอสมควร
    ผมเดินย้อนกลับไปโดยมีร่างของเพื่อนสาวรุ่นน้องอีกคนเดินอยู่ข้างๆ เพื่อไปยังซอยที่เป็นตำแหน่งที่ตั้งของที่พักที่เราจองไว้ก่อนจะเดินทางมาถึงประมาณ 4-5 วัน จนในที่สุดเราก็มาถึงที่หมาย

    ผมสัญญากับเธอไว้ว่าช่วงกลางเดือนธันวาจะพาเธอมาพักร้อนที่ทะเลซักที่หลังจากที่ต้องปวดหัวกับเรื่องที่ทำงานเก่าของเธอมาพอสมควร
เนื่องจากตัวผมเองก็เดินทางไปบางแสนบ่อยพอสมควร แต่จะให้พาเธอไปอีกก็ใช่เรื่อง กลัวว่าจะโดนถามว่า “ไม่มีที่อื่นให้ไปแล้วหรอ?” หรือไม่ก็ “นึกทะเลที่อื่นไม่ออกเลยหรอนอกจากบางแสน?” บวกกับการที่ได้เห็นหาดทรายบางแสนจึงมีความเห็นตรงกับเธอส่วนหนึ่งว่า ‘คงไม่เหมาะจะถ่ายรูปเล่น’ เพราะผมติดกล้อง DSLR คู่ใจมาด้วย มีนางแบบมือดีร่วมเดินทางมาด้วย แถมหัวหินยังมีที่ให้เดินถ่ายรูปเล่นอยู่ไม่น้อย....งานนี้คงจะสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว
เราทั้งคู่หามุมของตัวเองเพื่อวางสัมภาระ ก่อนจะพากันเดินออกไปสำรวจรอบๆ รีสอร์ท โดยห้องพักจะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง มีหลายห้องติดกัน คล้ายห้องเช่าในคอนโด หรืออพาร์ทเมนต์ แต่มีชั้นเดียว โดยห้องของพวกเราอยู่ติดกับสระน้ำที่อยู่ทางซ้ายมือพอดีเมื่อยืนหันหน้าออกจากห้องพัก ซึ่งเธอเล่าให้ผมฟังว่าเธอกำชับกับทางรีสอร์ทว่าขอห้องที่ติดสระน้ำ จะด้วยวิธีพูดแบบไหนของเธอ ผมเองก็ไม่ทราบ แต่เราก็ได้ห้องพักตามที่ขอจริงๆ ส่วนทางด้านขวามือเมื่อหันหน้าออกจากห้องพัก คือบรรดาห้องพักอื่นๆ ที่เรียงรายกันไป โดยสุดทางผมสังเกตเห็นว่าตรงนั้นน่าจะเป็นพื้นที่ Open Air เล็กๆ ซึ่งเมื่อเราเดินมาถึง ก็ได้พบกับลานเล็กๆ ที่มีแผ่นหินแกะสลักรูปช้างสามเชือก ถัดไปทางขวาคือต้นไม้สูงต้นหนึ่งที่มีสนามหญ้าขนาดย่อมๆ ที่น่าจะสร้างไว้เผื่อบางคนนึกสร้างอารมณ์เหงาแบบมิวสิควิดีโอญี่ปุ่นมานั่งใต้ต้นไม้เล่นๆ

เราเดินกลับมาจากท้ายรีสอร์ท เธอชวนผมไปหามื้อกลางวันกิน โดยในรีสอร์ทจะมีโซนร้านกาแฟพร้อมอาหารตามสั่งไว้ให้ลูกค้าที่มาพัก..
“ที่นี่น่าจะเพิ่งเปิดนะ..” เธอเอ่ยขึ้นหลังจากมองไปรอบๆ จนเห็นได้ว่าสิ่งแวดล้อมในรีสอร์ทนี้เกือบจะทุกอย่างยังค่อนข้างจะใหม่ราวกับเพิ่งสร้างได้ไม่ถึงปีสองปี
โซนที่เรานั่งกินข้าวด้วยกันเป็นโซน Open Air แต่ปลูกต้นไม้ไว้รอบๆ ผมจึงพูดตอบกลับไปเชิงเดาเอาเองว่าอีกหน่อย Open Air ตรงนี้คงจะมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมแทนหลังคา เพราะดูจากต้นไม้แต่ละชนิดที่ปลูกในบริเวณนี้จัดอยู่ในประเภทไม้ยืนต้น ไม่ใช่ไม้ประดับสวน
“อีก 2-3 ปีตรงนี้คงมีใบไม้เขียวๆ ปกคลุมแทนหลังคา..แล้วก็เหนื่อยพนักงานรีสอร์ทที่ต้องมากวาดใบไม้แห้งอีก” เธอหัวเราะเล็กน้อยให้มุกที่น่าจะฝืดประมาณหนึ่งของผม

หลังจากกินข้าวเสร็จเราตัดสินใจนั่งรถไปเพลินวาน..เราใช้เวลาอยู่ที่นั่นจนมืดพอสมควร ทั้งกินของจุกจิก เดินถ่ายรูปเล่น รวมไปถึงซื้อเสื้อผ้าบางชุดที่ทั้งผมและเธอต่างก็ผลัดกันช่วยเลือก ในขณะที่เธอเลือกให้ผมได้ถูกใจพอสมควร แต่ดูเธอจะไม่ค่อยถูกใจกับที่ผมเลือกให้ซักเท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะ....ผมพยายามแล้ว

หลังจากเพลินวาน เราเดินออกมาไกลอีกพอสมควรเพื่อหาเซเว่นเพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็นเข้าไปไว้ในรีสอร์ท จากนั้นเราก็นั่งรถกลับไปยังรีสอร์ท..
ช่วงเวลาประมาณสามทุ่ม เราออกมาว่ายน้ำด้วยกันที่สระในรีสอร์ท ก่อนจะขึ้นมานั่งจิบเบียร์ริมสระด้วยกัน บรรยากาศตอนนั้นดีพอสมควร เราพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา ทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง และทำให้ผมได้รู้ว่า.. เพื่อนสาวรุ่นน้องคนนี้นิสัยเหมือนแม่ผมไม่มีผิด.. ก่อนที่เบียร์เราจะหมดกันไปคนละกระป๋องขนาดยาว จนกระทั่งเธอตัดสินใจว่าจะไปหาร้านนั่งดื่มต่อในพื้นที่ใกล้ๆ นี้ แบบใกล้พอที่เราจะเดินเท้าไปได้ เพื่อนสาวรุ่นน้องใช้วิธีกูเกิ้ลเพื่อหาร้านเหล้าที่อยู่ในละแวกนี้ จนเจอเข้ากับร้านหนึ่งที่มีดนตรีสดเล่นอยู่ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบนั่งในร้านที่มีดนตรีสดเล่น ผมจึงขอให้เธอไปยังร้านหนึ่ง

ระหว่างที่เราเดินไปตามทางเพื่อไปยังร้าน ข้างทางซ้ายมือที่เราเดินผ่านคือดงไม้สูงใหญ่ที่น่าจะเป็นดงไม้ที่รอให้คนมาถางที่สร้างสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งผมได้เห็นศาลเพียงตาหลังหนึ่งข้างทาง ชั่วขณะที่ผมมองไปยังศาลนั้น ผมรู้สึกขนลุกอย่างน่าประหลาด ด้วยความที่เผื่อใจไว้ว่าอาจจะเจอเรื่องน่ากลัวขึ้นจากศาลนี้ ผมจึงยกมือไหว้ศาลนั้นก่อนจะเดินผ่านไป

เราเดินมาถึงร้านที่เราเปิดหาในกูเกิ้ล บรรยากาศในร้านดีพอสมควร ด้วยความที่เพื่อนสาวรุ่นน้องชอบร้านที่มีคนเยอะ ส่วนตัวผมชอบดนตรีสด ซึ่งร้านนี้มีส่วนที่เราต้องการทั้งคู่
หลังจากเราสั่งเหล้ามาดื่มกัน 1 กลม ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ทำให้ผมเกิดความคึกกระโดดขึ้นไปแจมวงดนตรีสดที่เล่นบนเวที ด้วยความที่ผมร้องได้เข้าขากับนักร้องนำหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ ทำให้ทั้งวงดึงตัวให้ผมอยู่บนเวทีนั้นอยู่ถึง 4 เพลง ในขณะที่เล่นนั้น ผมสังเกตเห็นเพื่อนสาวรุ่นน้องของผมคุยโทรศัพท์กับใครบางคนด้วยท่าทางซีเรียสพอสมควร..

เราสองคนดื่มกันไปพอสมควรจนเหลือไม่ถึงครึ่งของเหล้าทั้งกลมก่อนที่เราจะเดินกลับรีสอร์ทโดยไม่ลืมที่จะถือขวดเหล้ากลับมาด้วย ถึงแม้ว่าเราจะดื่มกันไปหนักขนาดไหน แต่ภาพที่ทั้งผมและเธอเห็นต่อไปนี้ คงไม่มีทางเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์อย่างแน่นอน เมื่อเราทั้งคู่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่หม่นหมองกว่าเดิม รวมไปถึงศาลเพียงที่เราทั้งคู่ต่างยกมือไหว้เมื่อขามานั้นหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่!! เหลืองเพียงแต่ดงรกๆ เท่านั้น

ผมพยายามบอกตัวเองว่าการมาหัวหินในครั้งนี้ผมหวังว่าจะไม่เจออะไรทั้งสิ้น ด้วยความที่ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าเพื่อนสาวรุ่นน้องของผมจะมีความเชื่อส่วนบุคคลแบบเดียวกับผมหรือไม่ ผมจึงพยายามคุมสติให้นิ่งที่สุด ไม่พูด หรือทำตัวแปลกๆ และเพราะการที่ผมรับเอาแอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายนั้น ตามปกติแล้วผมจะสัมผัสอะไรไม่ได้เลย ราวกับโซนาร์จับทิศทางวิญญาณของผมนั้นโดนปิดไป ถ้าพูดกันตามความเชื่อพื้นฐานที่ว่า คนมีเซนส์เพราะทำบุญมาเยอะ การที่เรารับเอาน้ำเมาเข้าไปในร่างกายนั้นถือเป็นการตัดศีลของตัวเอง มันจึงเป็นวิธีที่ผมใช้ตลอดมาเมื่อมีคืนไหนที่ผมไม่ต้องการจะรับรู้ถึงวิญญาณใดๆ
แต่ทว่าครั้งนี้มันต่างออกไป เมื่อเราต่างเห็นสิ่งที่เหลือเชื่อตรงหน้า ก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังออกมาจากดงไม้ข้างทาง

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไร จู่ๆ เพื่อนสาวรุ่นน้องของผมก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจก่อนที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าให้เร็วขึ้นคล้ายกับพยายามคุมให้ตัวเองไม่สติแตกวิ่งเตลิดไปเสียก่อน เห็นท่าอย่างนั้นผมจึงเดินตามขึ้นไปประคองเธอจนกระทั่งถึงปากซอยที่พัก ซึ่งระหว่างทางเข้าซอยที่พัก เราเจอหมาจรจัด 3-4 ตัวที่โผล่ออกมาเห่าใส่จากข้างทาง ทั้งหมดนี่ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ว่าทางเปลี่ยวๆ ยามดึกนี่คงไม่ได้มีแค่เราสองคนที่เดินมาแน่ๆ
“ไม่เป็นไรนะ..ใจเย็นๆ ใกล้ถึงแล้ว..ใกล้ถึงแล้ว” ผมพร่ำบอกเธอตลอดทางที่เดินกลับมาจากที่เห็นท่าทางของเธอดูตื่นกลัวมากๆ จนมีน้ำตาคลอดวงตากลมๆ น่ารักๆ ทั้งสองข้าง
ผมได้แต่พูดอย่างนั้น เพราะตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้จะสรรหาคำใดๆ มาปลอบใจไม่ให้เพื่อนสาวรุ่นน้องของผมคนนี้ต้องตื่นกลัวไปมากกว่านี้
เราเดินมาถึงห้องพักในที่สุด ผมจึงรีบบอกให้เธอเข้าไปรอในห้องก่อน โดยพยายามตัดบทต่อคำถามของเธอให้มากที่สุด ผมไม่ต้องการให้เธอเห็นภาพที่ผมจะทำต่อไปนี้แล้วหาว่าผมเสียสติไปจริงๆ
เมื่อเธอเข้าไปในห้อง ประตูห้องงับตัวปิดสนิท ผมจึงเริ่มยกฝ่ามือขึ้นทั้งสองข้างก่อนจะอาราธนาคาถาเพื่อเรียกใครบางคนที่ไม่ใช่พระให้มากันท่าเราสองคนไว้จากอะไรก็ตามที่ผมไม่ต้องการให้ ‘พวกมัน’ มาบุกรุกพื้นที่ของเราในคืนนี้ จนผมสัมผัสได้ว่า ‘เธอ’ คงจะมาตามเสียงเรียกของผมดีแล้ว ผมจึงบอกให้เธอรอที่หน้าห้อง ก่อนที่ผมจะกลับเข้าไปหารุ่นน้องของผมในห้อง
“ไม่เป็นไรนะ..มองมาที่พี่นี่ ..ไม่มีอะไรแล้วแหละ เรียบร้อยแล้ว” ผมพูดพลางใช้สองมือประคองใบหน้าของเธอให้มองตาผม หวังจะให้สายตาของผมเป็นสิ่งที่ทำให้เธอคุมสติได้มากที่สุดในช่วงเวลานี้
จนผมเห็นเธอมีทีท่าสงบลงแล้วจริงๆ จึงเริ่มถามไถ่สิ่งที่เธอเจอระหว่างทางที่เราเดินกลับที่พัก จนได้ความว่าเราถูก ‘พวกมันกลุ่มหนึ่ง’ ตามเรามาจากจุดที่เคยเป็นศาลเพียงตา ในขณะที่ผมนั้นเพียงแค่สัมผัสได้ แต่มองไม่เห็น แต่รุ่นน้องของผมกลับเห็นเต็มสองตาว่าเป็นคนแก่ในชุดขาวสามคนเดินตามเราสองคนมาตลอดทาง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่