คนในโลกนี้คิดว่า ข้าก็แน่ กูก็แน่ สุดท้ายก็โลงเหมือนกัน_อสุภะให้สติ
สำหรับคีตธรรมตราบลมหายใจสุดท้าย เป็นอสุภะให้สติที่แต่งขึ้นจากฉากเหตุการณ์ที่พระนางเขมานั้นได้สดับพระธรรมเทศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงความไม่เที่ยงแท้ของกายและสรรพสิ่ง และได้พิจารณาธรรมตามพระคาถาที่ทำให้พระนางได้บรรลุธรรมว่า “ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปตามกระแสตัณหา เหมือนแมงมุมตกไปที่ใยอันตัวทำไว้ ฉะนั้น ชนผู้มีปัญญาทั้งหลายตัดกระแสตัณหานั้นแล้ว เป็นผู้หมดความห่วงใย ละเว้นทุกข์ทั้งปวงไป”
โดยคำร้องนอกจากแสดงฉากเหตุการณ์และพระคาถาสำคัญที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ยังสะท้อนถึงความไม่เที่ยงแท้ของกายและสรรพสิ่งในโลก โดยมีวันและเวลาเป็นผู้กลืนกินทุกๆ สิ่งให้เสื่อมสิ้นไปในที่สุด อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้มีปัญญาพิจารณาได้อย่างลึกซึ้งว่าควรจะประพฤติตนให้ไม่ประมาทในวัยและเวลา เหมือนดังคำร้องท่อนสุดท้ายที่เป็นบทสรุปและเป็นชื่อคีตธรรมว่า “เปิดดวงเห็นความสัตย์จริง จากความจริงของเมืองแห่งกาย ตราบที่ลมหายใจสุดท้ายจะคืนสู่ดิน”
คนในโลกนี้คิดว่า ข้าก็แน่ กูก็แน่ สุดท้ายก็โลงเหมือนกัน เมื่อดูอสุภะให้สติแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วตอนมีชีวิตอยู่เราควรจะประพฤติตนให้ไม่ประมาทในวัยและเวลา เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย
คนในโลกนี้คิดว่า ข้าก็แน่ กูก็แน่ สุดท้ายก็โลงเหมือนกัน_อสุภะให้สติ
สำหรับคีตธรรมตราบลมหายใจสุดท้าย เป็นอสุภะให้สติที่แต่งขึ้นจากฉากเหตุการณ์ที่พระนางเขมานั้นได้สดับพระธรรมเทศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงความไม่เที่ยงแท้ของกายและสรรพสิ่ง และได้พิจารณาธรรมตามพระคาถาที่ทำให้พระนางได้บรรลุธรรมว่า “ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปตามกระแสตัณหา เหมือนแมงมุมตกไปที่ใยอันตัวทำไว้ ฉะนั้น ชนผู้มีปัญญาทั้งหลายตัดกระแสตัณหานั้นแล้ว เป็นผู้หมดความห่วงใย ละเว้นทุกข์ทั้งปวงไป”
โดยคำร้องนอกจากแสดงฉากเหตุการณ์และพระคาถาสำคัญที่เกิดขึ้นแล้วนั้น ยังสะท้อนถึงความไม่เที่ยงแท้ของกายและสรรพสิ่งในโลก โดยมีวันและเวลาเป็นผู้กลืนกินทุกๆ สิ่งให้เสื่อมสิ้นไปในที่สุด อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้มีปัญญาพิจารณาได้อย่างลึกซึ้งว่าควรจะประพฤติตนให้ไม่ประมาทในวัยและเวลา เหมือนดังคำร้องท่อนสุดท้ายที่เป็นบทสรุปและเป็นชื่อคีตธรรมว่า “เปิดดวงเห็นความสัตย์จริง จากความจริงของเมืองแห่งกาย ตราบที่ลมหายใจสุดท้ายจะคืนสู่ดิน”
คนในโลกนี้คิดว่า ข้าก็แน่ กูก็แน่ สุดท้ายก็โลงเหมือนกัน เมื่อดูอสุภะให้สติแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วตอนมีชีวิตอยู่เราควรจะประพฤติตนให้ไม่ประมาทในวัยและเวลา เพราะความตายไม่มีนิมิตหมาย