เพิ่งจะหัดเขียน ช่วยวิจารณ์หน่อยนะคะ
เรื่อง พี่ชายที่แสนดี
“ปัด! ปัด ! ลงมาช่วยทำกับข้าว ทำอะไรอยู่ห่ะ ลงมา”
ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกของแม่จากในครัว ฉันลุกออกจากกองหนังสือตรงหน้า ลงไปในครัว
“ชักช้าจริงๆเลย ทำอะไรอยู่ห้ะ”
“การบ้านน่ะแม่”
“เหอะ ข้ออ้าง เห็นๆอยู่ว่าเพิ่งตื่น ไปเอานิสัยขี้เกียจสันหลังยาวแบบนี้มาจากไหน” แม่พูดพลางผัดผักบุ้งไปพลาง ฉันเดินไปเอาต้มจืดมาอุ่น ทำเป็นหูทวนลม
“กลับมาแล้วจ้ะแม่”
“อ้าว ป้องมาพอดีเลยลูก กับข้าวเสร็จพอดี มาๆมากินมาลูก วันนี้แม่ผัดผักบุ้งของโปรดป้องด้วยนะ”
นั้นไงคนในบ้านนี้อีกคน พี่ชายของฉัน ลูกชายสุดที่รักของแม่ พี่ชายที่ทำให้ฉันสงสัยทุกครั้งที่มองหน้าเขา เขาใช่พี่ชายฉันจริงๆรึหรือเปล่า ทำไมถึงหน้าตาต่างกับฉันได้ขนาดนี้ พี่ป้องผิวสีแทนเหมือนแม่ ผมสีดำขลับเหมือนแม่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนแม่ เหมือนแม่ทุกอย่าง ติดอยู่แค่ตัวสูงกว่าแม่มากๆ เท่านั้น ส่วนฉันผิวขาวซีด ผมสีน้ำตาลออกแดงๆ ตาสีน้ำตาลอ่อน ไม่มีเค้าของแม่เลยแม่แต่นิด
“แม่จ้ะ วันนี้ป้องไปที่อู่มอเตอร์ไซค์ของพ่อเพื่อนมา เขามีมอเตอร์ไซค์มือสอง เป็นของนำเข้าจากญี่ปุ่นเลยแม่ สวยมากเลยแม่ เครื่องก็ดี แถมใช้ไปยังไม่ถึงปีเลย” พี่ป้องเปิดประเด็นบนโต๊ะอาหาร
“พูดแบบนี้จะขอให้ซื้อให้ใช่ไหมล่ะ”
“แหม่ แม่ก็รู้ใจป้องอีกและ”
“ ป้องเอ้ย มอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่น ถึงจะมือสอง แต่ก็น่าจะแพงโขอยู่ แม่ไม่มีปัญญาซื้อให้หรอก”
“ เรื่องราคานะแม่ ไม่ต้องห่วง ป้องซี้ปึ้กกับลูกเสี่ยเจ้าของอู่ แล้วว่างๆหลังเลิกเรียน ป้องก็ไปช่วยงานเสี่ยที่อู่บ่อยๆ เสี่ยเขาเอ็นดูป้องมากเลยแม่ เขาบอกจะลดราคาให้เกือบครึ่งนึงเลย แล้วให้ผ่อนจ่ายได้ด้วยนะแม่
“เหรอ แล้วลูกเสี่ยนี่ ใครกันละหือ แม่รู้จักไหม”
ฉันซดต้มจืดไปเรื่อยๆ ฟังสองคนนี้คุยกัน แล้วฉันก็มั่นใจว่า ในอีกไม่นานรถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นคันนั้น จะมาจอดเทียบหน้าบ้าน ฉันรอจนบทสนทนานั้นจบลงแน่แล้ว จึงเอ่ยปากพูด
“ แม่ ปัดขอไปเรียนพิเศษในตัวเมืองได้ไหม”
“ เรียนอะไรอีก ทุกวันนี้เรียนที่โรงเรียนยังไม่พอรึไง” นั่นไงประโยคนี้ ฉันคิดไว้แล้วว่าต้องเจอ
“ มันไม่พอแม่ ปัดม.3 แล้วนะแม่ ต้องสอบเข้า ม.4 ในอีกไม่กี่เดือน ข้อสอบเข้ามันยากกว่าที่สอนในโรงเรียนตั้งเยอะ”
“ เหอะ มันยากหรือแกไม่ตั้งใจเรียนเอง”
“ แม่ ถ้าปัดไม่ตั้งใจเรียน ปัดจะสอบได้ที่หนึ่งได้ยังไง ปัดเรียนได้ไม่เคยเกินที่สามของห้องตั้งแต่ประถม ได้ทุนเรียนดีตลอด แม่ไม่เคยต้องเสียค่าเทอม แล้วแบบนี้ แม่ยังจะบอกว่าปัดไม่ตั้งใจเรียนอีกเหรอ”
“ อ้าว แล้วถ้าเก่งนัก ทำไมถึงต้องไปเรียนเพิ่ม เก่งแล้วไม่ต้องเรียนแล้ว เปลืองเงิน”
“แม่ เด็กคนอื่นเค้าก็เรียนกันหมด ปัดต้องไปสอบแข่งกับเค้า ถ้าปัดไม่เรียน ปัดอาจจะสอบเข้าม.ปลายไม่ได้นะ แล้วถ้าไม่ได้จะทำยังไง”
“ ไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียน ! เรื่องเยอะจริงๆเลย ทำไมตอนป้อง มันไม่เห็นต้องเรียนเพิ่มเลย”
“ ไม่เรียนเพิ่มแล้วเป็นไงละแม่ สอบเข้าไม่ได้ ต้องไปเรียนเพาะช่าง เรียนสายสามัญไม่ได้ แถมเกือบจะไม่จบม.3 ด้วยซ้ำ” ฉันเริ่มโมโห เอาอีกแล้ว โดนเปรียบเทียบกับพี่ป้องอีกแล้ว
“ อ่าว ปัด อย่ามาลามถึงพี่สิ” พี่ป้องพูด แต่ไม่ได้สนใจในบทสนทนานัก เพราะกำลังคีบผัดผักบุ้งใส่จานตัวเองอยู่
“ ปัด พี่แกเขาไม่เรียน เพราะเขาเห็นใจแม่ ไม่เห็นรึไง แม่ทำขนม ขายขนม งกๆ ทุกวัน เหนื่อยสายตัวแทบขาด แล้วแกจะมาเอาเงินไปเรียนเพิ่ม ไหนจะค่ารถ ค่ากิน ตอนไปเรียนอีก แกเห็นแม่แกเป็นเศรษฐีนีรึไงห้ะ”
“อ้อ แม่ไม่ให้ปัดเรียนเพราะเงินไม่พอ แต่แม่จะซื้อมอเตอร์ไซค์คันเป็นพันๆ ให้พี่ป้อง โอเคปัดเข้าใจแล้ว”
“ เอ๊ะ! ปัดนี่ยังไง แม่ยังไม่ได้พูดเลยว่าจะซื้อมอเตอร์ไซค์ อย่าเอาเรื่องอื่นมาเกี่ยว ไม่ให้เรียนก็คือไม่ให้เรียน”
ฉันลุกจากโต๊ะอาหาร เอาจานตัวเองไปล้าง คว่ำไว้บนชั้นพลาสติก แล้วก็กระแทกเท้าปึงๆ อย่างประชดประชัน ขึ้นมาบนห้องนอน
“อย่ามาทำกริยาแบบนี้กับแม่นะ!” แม่พูดไล่หลังฉัน
ฉันนั่งที่โต๊ะไม้อัดผุๆ บนโต๊ะมีหนังสือกองผะเนินวางอยู่ มีหนังสือเยอะมากจนขาโต๊ะโก่งเหมือนจะหักได้ทุกเมื่อ ฉันผิงพนักเก้าอี้ถอนหายใจยาว ฉันไม่อยากจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไหลออกมาเหมือนเคย ฉันทำใจไว้ก่อนหน้าแล้ว ว่าถ้าขอแม่เรียนจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้ว ยังห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้เลย ฉันพยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมา ใจหนึ่งฉันก็อายที่จะให้ใครรู้ว่าฉันร้องไห้ แต่อีกใจหนึ่งฉันก็อยากให้ใครบางคนรู้เหลือเกิน ว่าฉันเสียใจแค่ไหน
เวลาเช้าตรู่ ประมาณตีห้า ฉันตื่นขึ้นมาช่วยแม่ทำขนม หน้าของฉันดูเหนื่อยและอิดโรย เพราะ อ่านหนังสือดึกเกือบตีหนึ่ง ได้นอนไปไม่ถึง 5 ชั่วโมง กว่าจะช่วยแม่ทำขนมเสร็จก็หกโมงครึ่ง อาบน้ำ แต่งตัว ไปโรงเรียนด้วยรถสองแถวที่แน่นเอี๊ยดทุกเช้า กว่าจะถึงโรงเรียนก็เจ็ดโมงเกือบครึ่ง
“สวัสดีค่ะ นักเรียนทุกคน วันนี้ในคาบของครู เราจะมาเลือกคนที่จะถือป้ายโรงเรียน เดินขบวนในงานประจำจังหวัดกันนะคะ” ครูจินตนา ครูประจำชั้นของฉันกล่าว ครูจินเป็นครูสอนนาฏศิลป์ เลยมักจะสรรหาเด็กนักเรียนไปทำกิจกรรมประเภทนี้อยู่บ่อยๆ
“ มีใครสนใจไหมเอ่ย”
“ หนูค่ะครู “ มุกเพื่อนร่วมชั้น ของฉันยกมือขึ้นอย่างมั่นใจ มุกเป็นเด็กนาฏศิลป์ และแน่นอนสนิทสนมกับครูจิน
“ หนู ต้องรำตอนพิธีเปิดไม่ใช่เหรอ จะถือป้ายด้วยไม่ได้หรอก”
มุกทำท่าหงอยๆ ไปนิดนึง แล้วก็ทั้งห้องกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง แล้วครูจินก็หันมาทางฉัน
“ ปัทมพร ยืนขึ้นสิ” ครูจินเรียกชื่อฉัน ฉันยืนขึ้นตามคำสั่ง เพื่อนทั้งห้องหันหลังมามองฉัน
“ ปัด หนูสูงดีนะเนี่ย ขาวด้วย หน้าก็สวยใช้ได้ ลองเดินขวบนดูไหมละจ้ะ”
ฉันประหลาดใจ เพราะไม่เคยถูกชวนให้ทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ในใจก็คิดอยากจะทำ
“เอ่อ หนูไม่เคยเดินขบวนเลยนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะทำได้รึเปล่า” ครูจินไม่ตอบฉัน มองฉันอย่างพินิจพิเคราะห์
“ ครูคะ ปัดเดินไม่ได้หรอกคะ เดินขบวนนี้มันต้องเดินกลางแดดนะคะ ถ้าปัดไปเดิน ตัวคงกลายเป็นสีแดง เป็นลูกแตงโมเลยล่ะคะ ผิวขาวขนาดนี้” เพื่อนผู้หญิง ตัวอ้วนป้อม ทาแป้งจนหน้าเทาคนนึงพูดขึ้นมา
“ใช่คะ ครู แล้วหน้าปัด ฝรั่งขนาดนี้ ให้ใส่ชุดไทย จะไปสวยได้ไงคะ”
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็มีแต่เสียงหือหา วิจารณ์สีผิว สีผม หน้าตาของฉันยกใหญ่
“ พ่อเป็นฝรั่งแน่เลย”
“ฝรั่งอะไร ทำไมพูดไทยคล่องปร๋อ”
“บ้านฉันอยู่ใกล้ปัด แต่ฉันไม่เคยเห็นพ่อปัดเลยนะ”
“ตายไปแล้วมั้ง”
“ถามสิ เธอสนิทกับปัดใช่เหรอ”
“เห้ย พี่ป้อง พี่ชายปัดก็หน้าไทยนะ”
“หรือไม่ใช่พี่น้องกันวะ”
“เออ อาจจะคนละพ่อ”
“ ปัดอาจจะถูกเก็บมาเลี้ยงก็ได้นะเว้ย”
เพื่อนทั้งห้องซุบซิบกัน พยายามทำเสียงให้เบาเพื่อให้ฉันและครูจินไม่ได้ยิน สำหรับครูจินฉันไม่รู้ แต่ฉันได้ยินทุกคำ ทุกประโยคเสียงซุบซิบนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนครูจินต้องสั่งให้ทุกคนเงียบ แล้วครูจินก็บอกให้ฉันไปพบครูหลังเลิกเรียน จากนั้นก็เข้าสู่บทเรียนวิชานาฏศิลป์ตามปกติ วันนี้ทั้งวันฉันต้องคอยตอบคำถามเพื่อนๆ นับสิบคน ไม่ใช่แค่เพื่อนในห้อง ตอนนี้เหมือนเรื่องของฉันจะเป็นจุดสนใจของคนทั้งโรงเรียน ไม่ว่าจะรุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือแม้แต่คุณครู คำถามก็จะเป็นคำถามซ้ำๆ
“พ่อเป็นฝรั่งเหรอ”
“ทำไมขาวจัง”
“ทำไมผมสีอ่อนจัง”
“ทำไมไม่เหมือนพี่ชายเลย”
“ทำไมไม่เหมือนแม่เลย”
แล้วฉันก็ตอบแบบเดิมทุกครั้งว่า “ไม่รู้” และนั้นคือความสัตย์จริง อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดตัวฉันเองก็ยังอยากจะรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้เหมือนกัน ฉันเคยถามแม่อยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะลงเอยว่า
“ทำไม เป็นลูกแม่ แล้วไม่ดีรึไง อยากเป็นลูกฝรั่งนักรึไง” ฉันคิดในใจ เป็นลูกแม่นะดี แต่ฉันแค่อยากจะแน่ใจ ว่าฉันเป็นลูกแม่ ฉันไม่ใช่ลูกแหม่มที่ไหนไม่รู้ ที่แม่เก็บมาเลี้ยง
หลังจากไปพบครูจินแล้ว ฉันก็รีบกลับบ้าน เพื่อไปช่วยเก็บร้าน แล้วจะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบ ฉันเดินเข้าบ้านไป เห็นมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นสีน้ำตาลเงาวาววับ เหมือนเป็นรถใหม่เอี่ยม พี่ป้องเพิ่งขอแม่ซื้อรถยังไม่ทันเกินสัปดาห์ รถก็มาจอดเทียบหน้าบ้านเสียแล้ว ใช่มือสองจริงๆรึเปล่าก็ไม่รู้ ใหม่ขนาดนี้
“กลับมาแล้วค่ะ” แม่หันมามองฉันแวบนึง แล้วก็หันไปคุยกับลูกค้าต่อ ฉันวางกระเป๋านักเรียน หันไปเห็นหม้อกล้วยบวชชีเดือดปุดๆ อยู่ ก็เลยปิดเตา ในครัวมี ถ้วย ชาม หม้อ สารพัดขนาดที่ยังไม่ได้ล้าง วางระเกะระกะทั่วครัวไปหมด และหน้าที่ก็ฉัน ก็คือล้างพวกมันทั้งหมด
“มีลูกค้าสั่งขนมงานแต่ง ด่วนมาเลย แกต้องช่วยแม่ทำนะ” แม่เดินมาหาฉันในครัว ยื่นรายชื่อขนมที่ลูกค้าสั่งมาให้ฉัน
“ได้” ฉันพยักหน้า ตอบด้วยเสียงเบา
แม่สั่งงานฉันเสร็จก็เดินออกไปง่วนกับงานหน้าร้านต่อ พอฉันล้างจานเสร็จ ก็มานั่งตอกไข่ แยกไข่แดง ไข่ขาวออกจากกัน เตรียมจะทำฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอดต่างๆ เมื่อเสร็จฉันก็ลงมือทำทองหยอด ฉันกำลังเคี่ยวน้ำตาลอยู่ แม่ก็เข้ามาในครัว
“ปัด เตรียมมื้อเย็นไป เดี๋ยวแม่ทำขนมเอง” ฉันได้ยิน ก็วางมือจากกระทะทองเหลืองตรงหน้า แล้วหันไปตั้งหม้อหุงข้าวแทน วันนี้ต้องช่วยแม่ทำขนม กว่าจะได้อ่านหนังสือคงสามสี่ทุ่มละมั้ง
พอฉันตั้งโต๊ะอาหาร พี่ป้องก็ลงมาจากบนบ้าน มือถือบันไดปีน กับค้อนและตะปู
“แม่ ป้องซ่อมหลังคาให้แล้วนะ โห ข้าวเย็นเสร็จแล้ว กำลังหิวเลย วันนี้มีอะไรกินอ่ะแม่”
“ผัดถั่วงอก กับ ต้มผักกาดดอง” ฉันตอบแทนแม่
“วันนี้ปัดทำน่ะป้อง แม่ต้องทำขนม” แม่หันไปพูดกับพี่ พี่เลิกคิ้ว พยักหน้ารับรู้
“แม่ ครูจินชวนปัด ให้เดินขบวนงานประจำจังหวัดปีนี้ ครูจะให้ปัดถือป้ายโรงเรียน” ฉันเปิดบทสนทนา บนโต๊ะอาหาร
“ อือ ก็ไปสิ” แม่สนใจกับข้าวในจาน มากกว่าคำตอบของตัวเอง
“แต่ต้องเสียค่าชุด กับค่าแต่งหน้าเอง ต้องใส่ชุดไทยน่ะแม่” แม่หยุดกิน แล้วเงยหน้าขึ้นมองฉัน ถอนหายใจแล้ววางช้อนลง
“ชุดไทยเหรอ แกรู้ไหมว่ามันเท่าไหร่ แล้วใส่เดินๆแค่ครั้งเดียว แล้วค่าแต่งหน้าก็ไม่ใช่น้อยๆ มีแต่เรื่องเสียเงิน ทั้งนั้น ถ้าครูแกอยากให้แกเดิน ทำไมไม่จ่ายให้แกห้ะ”
ฉันก้มหน้า ไม่ตอบอะไรไป นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันคาดเดาคำตอบของแม่ได้ถูกแผง ฉันเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียง ระหว่างกินข้าว ฉันก็มองผ่านหน้าต่างไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยม แล้วก็อดคิดน้อยใจไม่ได้ มื้อเย็นผ่านไปด้วยบทสนทนาของแม่กับพี่ป้อง เกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ ส่วนฉันก็นั่งฟังเงียบๆไปตามเคย หลังจากนั้นฉันก็ขอตัวขึ้นมาอาบน้ำข้างบน แล้วค่อยลงไปช่วยแม่ทำขนมต่อ ฉันเอาหนังสือเรียนในกระเป๋า มาวางบนโต๊ะเตรียมที่จะอ่านคืนนี้ แล้วพี่ป้องก็เปิดประตูเข้ามา
“ปัด อยากเดินขบวนหรือเปล่า” พี่ป้องถาม ฉันประหลาดใจ ปกติพี่ไม่เห็นจะสนใจเรื่องของฉัน
“ก็อยาก แต่ไม่เดินก็ได้”
“ตอนพี่มาซ่อมหลังคาในห้องนี้ เห็นกระปุกเงินของปัด ท่าจะมีเงินเก็บเยอะอยู่นี่ ทำไมไม่เอาไปเช่าชุดละ”
“ปัดจะเก็บไว้เป็นค่าเรียน ถ้าปัดสอบเข้าโรงเรียนในกรุงเทพได้ ปัดจะเอาเงินนี่ไปเรียนในกรุงเทพ”
“ยังเรียนมัธยมอยู่เลย จะรีบเข้าไปเรียนในกรุงเทพ ทำไม”
“ถ้าเรียนมัธยมในกรุงเทพก็จะมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยดีๆมากกว่า ปัดอยากเรียนจบที่ดีๆ อยากมีงานทำดีๆ จะได้ไม่ต้องลำบากทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบแม่”
“ปัดเอ้ย แกอย่าฝันอะไรให้มันสูงเกินตัวนักเลย” ฉันหันขวับไปจ้องหน้าพี่ป้องตาเขม็ง
“พี่ป้องไม่เคยมีความฝันอะไรนี่ พี่จะไปรู้อะไร อ้อ พี่ป้องไม่ต้องฝันอะไรหรอก เพราะพี่มีทุกอย่างที่พี่อยากมีแล้ว พี่ขออะไรนะ แม่ก็ให้พี่ทุกอย่าง พี่อยู่กับแม่สบายๆแบบนี้ไปจนตายยังได้เลย เพราะยังไงแม่ก็เลี้ยงพี่อย่างดีอยู่แล้ว”
“ปัด อย่าพูดแบบนี้นะ ถ้าแม่ได้ยิน แม่จะเสียใจนะ”
“ก็ปัดจะพูด พี่ป้องจะทำไม พี่ป้องมาคุยกับปัดก่อนเอง” พี่ป้องถอนหายใจแรง แล้วก็เดินอออกจากห้องไป ฉันคงพูดแทงใจดำพี่ละสิ
ขอความเห็นจากเรื่องสั้นนี้หน่อยค่ะ เรื่องพี่ชายที่แสนดี
เรื่อง พี่ชายที่แสนดี
“ปัด! ปัด ! ลงมาช่วยทำกับข้าว ทำอะไรอยู่ห่ะ ลงมา”
ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกของแม่จากในครัว ฉันลุกออกจากกองหนังสือตรงหน้า ลงไปในครัว
“ชักช้าจริงๆเลย ทำอะไรอยู่ห้ะ”
“การบ้านน่ะแม่”
“เหอะ ข้ออ้าง เห็นๆอยู่ว่าเพิ่งตื่น ไปเอานิสัยขี้เกียจสันหลังยาวแบบนี้มาจากไหน” แม่พูดพลางผัดผักบุ้งไปพลาง ฉันเดินไปเอาต้มจืดมาอุ่น ทำเป็นหูทวนลม
“กลับมาแล้วจ้ะแม่”
“อ้าว ป้องมาพอดีเลยลูก กับข้าวเสร็จพอดี มาๆมากินมาลูก วันนี้แม่ผัดผักบุ้งของโปรดป้องด้วยนะ”
นั้นไงคนในบ้านนี้อีกคน พี่ชายของฉัน ลูกชายสุดที่รักของแม่ พี่ชายที่ทำให้ฉันสงสัยทุกครั้งที่มองหน้าเขา เขาใช่พี่ชายฉันจริงๆรึหรือเปล่า ทำไมถึงหน้าตาต่างกับฉันได้ขนาดนี้ พี่ป้องผิวสีแทนเหมือนแม่ ผมสีดำขลับเหมือนแม่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนแม่ เหมือนแม่ทุกอย่าง ติดอยู่แค่ตัวสูงกว่าแม่มากๆ เท่านั้น ส่วนฉันผิวขาวซีด ผมสีน้ำตาลออกแดงๆ ตาสีน้ำตาลอ่อน ไม่มีเค้าของแม่เลยแม่แต่นิด
“แม่จ้ะ วันนี้ป้องไปที่อู่มอเตอร์ไซค์ของพ่อเพื่อนมา เขามีมอเตอร์ไซค์มือสอง เป็นของนำเข้าจากญี่ปุ่นเลยแม่ สวยมากเลยแม่ เครื่องก็ดี แถมใช้ไปยังไม่ถึงปีเลย” พี่ป้องเปิดประเด็นบนโต๊ะอาหาร
“พูดแบบนี้จะขอให้ซื้อให้ใช่ไหมล่ะ”
“แหม่ แม่ก็รู้ใจป้องอีกและ”
“ ป้องเอ้ย มอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่น ถึงจะมือสอง แต่ก็น่าจะแพงโขอยู่ แม่ไม่มีปัญญาซื้อให้หรอก”
“ เรื่องราคานะแม่ ไม่ต้องห่วง ป้องซี้ปึ้กกับลูกเสี่ยเจ้าของอู่ แล้วว่างๆหลังเลิกเรียน ป้องก็ไปช่วยงานเสี่ยที่อู่บ่อยๆ เสี่ยเขาเอ็นดูป้องมากเลยแม่ เขาบอกจะลดราคาให้เกือบครึ่งนึงเลย แล้วให้ผ่อนจ่ายได้ด้วยนะแม่
“เหรอ แล้วลูกเสี่ยนี่ ใครกันละหือ แม่รู้จักไหม”
ฉันซดต้มจืดไปเรื่อยๆ ฟังสองคนนี้คุยกัน แล้วฉันก็มั่นใจว่า ในอีกไม่นานรถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นคันนั้น จะมาจอดเทียบหน้าบ้าน ฉันรอจนบทสนทนานั้นจบลงแน่แล้ว จึงเอ่ยปากพูด
“ แม่ ปัดขอไปเรียนพิเศษในตัวเมืองได้ไหม”
“ เรียนอะไรอีก ทุกวันนี้เรียนที่โรงเรียนยังไม่พอรึไง” นั่นไงประโยคนี้ ฉันคิดไว้แล้วว่าต้องเจอ
“ มันไม่พอแม่ ปัดม.3 แล้วนะแม่ ต้องสอบเข้า ม.4 ในอีกไม่กี่เดือน ข้อสอบเข้ามันยากกว่าที่สอนในโรงเรียนตั้งเยอะ”
“ เหอะ มันยากหรือแกไม่ตั้งใจเรียนเอง”
“ แม่ ถ้าปัดไม่ตั้งใจเรียน ปัดจะสอบได้ที่หนึ่งได้ยังไง ปัดเรียนได้ไม่เคยเกินที่สามของห้องตั้งแต่ประถม ได้ทุนเรียนดีตลอด แม่ไม่เคยต้องเสียค่าเทอม แล้วแบบนี้ แม่ยังจะบอกว่าปัดไม่ตั้งใจเรียนอีกเหรอ”
“ อ้าว แล้วถ้าเก่งนัก ทำไมถึงต้องไปเรียนเพิ่ม เก่งแล้วไม่ต้องเรียนแล้ว เปลืองเงิน”
“แม่ เด็กคนอื่นเค้าก็เรียนกันหมด ปัดต้องไปสอบแข่งกับเค้า ถ้าปัดไม่เรียน ปัดอาจจะสอบเข้าม.ปลายไม่ได้นะ แล้วถ้าไม่ได้จะทำยังไง”
“ ไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียน ! เรื่องเยอะจริงๆเลย ทำไมตอนป้อง มันไม่เห็นต้องเรียนเพิ่มเลย”
“ ไม่เรียนเพิ่มแล้วเป็นไงละแม่ สอบเข้าไม่ได้ ต้องไปเรียนเพาะช่าง เรียนสายสามัญไม่ได้ แถมเกือบจะไม่จบม.3 ด้วยซ้ำ” ฉันเริ่มโมโห เอาอีกแล้ว โดนเปรียบเทียบกับพี่ป้องอีกแล้ว
“ อ่าว ปัด อย่ามาลามถึงพี่สิ” พี่ป้องพูด แต่ไม่ได้สนใจในบทสนทนานัก เพราะกำลังคีบผัดผักบุ้งใส่จานตัวเองอยู่
“ ปัด พี่แกเขาไม่เรียน เพราะเขาเห็นใจแม่ ไม่เห็นรึไง แม่ทำขนม ขายขนม งกๆ ทุกวัน เหนื่อยสายตัวแทบขาด แล้วแกจะมาเอาเงินไปเรียนเพิ่ม ไหนจะค่ารถ ค่ากิน ตอนไปเรียนอีก แกเห็นแม่แกเป็นเศรษฐีนีรึไงห้ะ”
“อ้อ แม่ไม่ให้ปัดเรียนเพราะเงินไม่พอ แต่แม่จะซื้อมอเตอร์ไซค์คันเป็นพันๆ ให้พี่ป้อง โอเคปัดเข้าใจแล้ว”
“ เอ๊ะ! ปัดนี่ยังไง แม่ยังไม่ได้พูดเลยว่าจะซื้อมอเตอร์ไซค์ อย่าเอาเรื่องอื่นมาเกี่ยว ไม่ให้เรียนก็คือไม่ให้เรียน”
ฉันลุกจากโต๊ะอาหาร เอาจานตัวเองไปล้าง คว่ำไว้บนชั้นพลาสติก แล้วก็กระแทกเท้าปึงๆ อย่างประชดประชัน ขึ้นมาบนห้องนอน
“อย่ามาทำกริยาแบบนี้กับแม่นะ!” แม่พูดไล่หลังฉัน
ฉันนั่งที่โต๊ะไม้อัดผุๆ บนโต๊ะมีหนังสือกองผะเนินวางอยู่ มีหนังสือเยอะมากจนขาโต๊ะโก่งเหมือนจะหักได้ทุกเมื่อ ฉันผิงพนักเก้าอี้ถอนหายใจยาว ฉันไม่อยากจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไหลออกมาเหมือนเคย ฉันทำใจไว้ก่อนหน้าแล้ว ว่าถ้าขอแม่เรียนจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้ว ยังห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ไม่ได้เลย ฉันพยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมา ใจหนึ่งฉันก็อายที่จะให้ใครรู้ว่าฉันร้องไห้ แต่อีกใจหนึ่งฉันก็อยากให้ใครบางคนรู้เหลือเกิน ว่าฉันเสียใจแค่ไหน
เวลาเช้าตรู่ ประมาณตีห้า ฉันตื่นขึ้นมาช่วยแม่ทำขนม หน้าของฉันดูเหนื่อยและอิดโรย เพราะ อ่านหนังสือดึกเกือบตีหนึ่ง ได้นอนไปไม่ถึง 5 ชั่วโมง กว่าจะช่วยแม่ทำขนมเสร็จก็หกโมงครึ่ง อาบน้ำ แต่งตัว ไปโรงเรียนด้วยรถสองแถวที่แน่นเอี๊ยดทุกเช้า กว่าจะถึงโรงเรียนก็เจ็ดโมงเกือบครึ่ง
“สวัสดีค่ะ นักเรียนทุกคน วันนี้ในคาบของครู เราจะมาเลือกคนที่จะถือป้ายโรงเรียน เดินขบวนในงานประจำจังหวัดกันนะคะ” ครูจินตนา ครูประจำชั้นของฉันกล่าว ครูจินเป็นครูสอนนาฏศิลป์ เลยมักจะสรรหาเด็กนักเรียนไปทำกิจกรรมประเภทนี้อยู่บ่อยๆ
“ มีใครสนใจไหมเอ่ย”
“ หนูค่ะครู “ มุกเพื่อนร่วมชั้น ของฉันยกมือขึ้นอย่างมั่นใจ มุกเป็นเด็กนาฏศิลป์ และแน่นอนสนิทสนมกับครูจิน
“ หนู ต้องรำตอนพิธีเปิดไม่ใช่เหรอ จะถือป้ายด้วยไม่ได้หรอก”
มุกทำท่าหงอยๆ ไปนิดนึง แล้วก็ทั้งห้องกลับมาเงียบกริบอีกครั้ง แล้วครูจินก็หันมาทางฉัน
“ ปัทมพร ยืนขึ้นสิ” ครูจินเรียกชื่อฉัน ฉันยืนขึ้นตามคำสั่ง เพื่อนทั้งห้องหันหลังมามองฉัน
“ ปัด หนูสูงดีนะเนี่ย ขาวด้วย หน้าก็สวยใช้ได้ ลองเดินขวบนดูไหมละจ้ะ”
ฉันประหลาดใจ เพราะไม่เคยถูกชวนให้ทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ในใจก็คิดอยากจะทำ
“เอ่อ หนูไม่เคยเดินขบวนเลยนะคะ ไม่แน่ใจว่าจะทำได้รึเปล่า” ครูจินไม่ตอบฉัน มองฉันอย่างพินิจพิเคราะห์
“ ครูคะ ปัดเดินไม่ได้หรอกคะ เดินขบวนนี้มันต้องเดินกลางแดดนะคะ ถ้าปัดไปเดิน ตัวคงกลายเป็นสีแดง เป็นลูกแตงโมเลยล่ะคะ ผิวขาวขนาดนี้” เพื่อนผู้หญิง ตัวอ้วนป้อม ทาแป้งจนหน้าเทาคนนึงพูดขึ้นมา
“ใช่คะ ครู แล้วหน้าปัด ฝรั่งขนาดนี้ ให้ใส่ชุดไทย จะไปสวยได้ไงคะ”
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็มีแต่เสียงหือหา วิจารณ์สีผิว สีผม หน้าตาของฉันยกใหญ่
“ พ่อเป็นฝรั่งแน่เลย”
“ฝรั่งอะไร ทำไมพูดไทยคล่องปร๋อ”
“บ้านฉันอยู่ใกล้ปัด แต่ฉันไม่เคยเห็นพ่อปัดเลยนะ”
“ตายไปแล้วมั้ง”
“ถามสิ เธอสนิทกับปัดใช่เหรอ”
“เห้ย พี่ป้อง พี่ชายปัดก็หน้าไทยนะ”
“หรือไม่ใช่พี่น้องกันวะ”
“เออ อาจจะคนละพ่อ”
“ ปัดอาจจะถูกเก็บมาเลี้ยงก็ได้นะเว้ย”
เพื่อนทั้งห้องซุบซิบกัน พยายามทำเสียงให้เบาเพื่อให้ฉันและครูจินไม่ได้ยิน สำหรับครูจินฉันไม่รู้ แต่ฉันได้ยินทุกคำ ทุกประโยคเสียงซุบซิบนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนครูจินต้องสั่งให้ทุกคนเงียบ แล้วครูจินก็บอกให้ฉันไปพบครูหลังเลิกเรียน จากนั้นก็เข้าสู่บทเรียนวิชานาฏศิลป์ตามปกติ วันนี้ทั้งวันฉันต้องคอยตอบคำถามเพื่อนๆ นับสิบคน ไม่ใช่แค่เพื่อนในห้อง ตอนนี้เหมือนเรื่องของฉันจะเป็นจุดสนใจของคนทั้งโรงเรียน ไม่ว่าจะรุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือแม้แต่คุณครู คำถามก็จะเป็นคำถามซ้ำๆ
“พ่อเป็นฝรั่งเหรอ”
“ทำไมขาวจัง”
“ทำไมผมสีอ่อนจัง”
“ทำไมไม่เหมือนพี่ชายเลย”
“ทำไมไม่เหมือนแม่เลย”
แล้วฉันก็ตอบแบบเดิมทุกครั้งว่า “ไม่รู้” และนั้นคือความสัตย์จริง อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดตัวฉันเองก็ยังอยากจะรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้เหมือนกัน ฉันเคยถามแม่อยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะลงเอยว่า
“ทำไม เป็นลูกแม่ แล้วไม่ดีรึไง อยากเป็นลูกฝรั่งนักรึไง” ฉันคิดในใจ เป็นลูกแม่นะดี แต่ฉันแค่อยากจะแน่ใจ ว่าฉันเป็นลูกแม่ ฉันไม่ใช่ลูกแหม่มที่ไหนไม่รู้ ที่แม่เก็บมาเลี้ยง
หลังจากไปพบครูจินแล้ว ฉันก็รีบกลับบ้าน เพื่อไปช่วยเก็บร้าน แล้วจะได้อ่านหนังสือเตรียมสอบ ฉันเดินเข้าบ้านไป เห็นมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นสีน้ำตาลเงาวาววับ เหมือนเป็นรถใหม่เอี่ยม พี่ป้องเพิ่งขอแม่ซื้อรถยังไม่ทันเกินสัปดาห์ รถก็มาจอดเทียบหน้าบ้านเสียแล้ว ใช่มือสองจริงๆรึเปล่าก็ไม่รู้ ใหม่ขนาดนี้
“กลับมาแล้วค่ะ” แม่หันมามองฉันแวบนึง แล้วก็หันไปคุยกับลูกค้าต่อ ฉันวางกระเป๋านักเรียน หันไปเห็นหม้อกล้วยบวชชีเดือดปุดๆ อยู่ ก็เลยปิดเตา ในครัวมี ถ้วย ชาม หม้อ สารพัดขนาดที่ยังไม่ได้ล้าง วางระเกะระกะทั่วครัวไปหมด และหน้าที่ก็ฉัน ก็คือล้างพวกมันทั้งหมด
“มีลูกค้าสั่งขนมงานแต่ง ด่วนมาเลย แกต้องช่วยแม่ทำนะ” แม่เดินมาหาฉันในครัว ยื่นรายชื่อขนมที่ลูกค้าสั่งมาให้ฉัน
“ได้” ฉันพยักหน้า ตอบด้วยเสียงเบา
แม่สั่งงานฉันเสร็จก็เดินออกไปง่วนกับงานหน้าร้านต่อ พอฉันล้างจานเสร็จ ก็มานั่งตอกไข่ แยกไข่แดง ไข่ขาวออกจากกัน เตรียมจะทำฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอดต่างๆ เมื่อเสร็จฉันก็ลงมือทำทองหยอด ฉันกำลังเคี่ยวน้ำตาลอยู่ แม่ก็เข้ามาในครัว
“ปัด เตรียมมื้อเย็นไป เดี๋ยวแม่ทำขนมเอง” ฉันได้ยิน ก็วางมือจากกระทะทองเหลืองตรงหน้า แล้วหันไปตั้งหม้อหุงข้าวแทน วันนี้ต้องช่วยแม่ทำขนม กว่าจะได้อ่านหนังสือคงสามสี่ทุ่มละมั้ง
พอฉันตั้งโต๊ะอาหาร พี่ป้องก็ลงมาจากบนบ้าน มือถือบันไดปีน กับค้อนและตะปู
“แม่ ป้องซ่อมหลังคาให้แล้วนะ โห ข้าวเย็นเสร็จแล้ว กำลังหิวเลย วันนี้มีอะไรกินอ่ะแม่”
“ผัดถั่วงอก กับ ต้มผักกาดดอง” ฉันตอบแทนแม่
“วันนี้ปัดทำน่ะป้อง แม่ต้องทำขนม” แม่หันไปพูดกับพี่ พี่เลิกคิ้ว พยักหน้ารับรู้
“แม่ ครูจินชวนปัด ให้เดินขบวนงานประจำจังหวัดปีนี้ ครูจะให้ปัดถือป้ายโรงเรียน” ฉันเปิดบทสนทนา บนโต๊ะอาหาร
“ อือ ก็ไปสิ” แม่สนใจกับข้าวในจาน มากกว่าคำตอบของตัวเอง
“แต่ต้องเสียค่าชุด กับค่าแต่งหน้าเอง ต้องใส่ชุดไทยน่ะแม่” แม่หยุดกิน แล้วเงยหน้าขึ้นมองฉัน ถอนหายใจแล้ววางช้อนลง
“ชุดไทยเหรอ แกรู้ไหมว่ามันเท่าไหร่ แล้วใส่เดินๆแค่ครั้งเดียว แล้วค่าแต่งหน้าก็ไม่ใช่น้อยๆ มีแต่เรื่องเสียเงิน ทั้งนั้น ถ้าครูแกอยากให้แกเดิน ทำไมไม่จ่ายให้แกห้ะ”
ฉันก้มหน้า ไม่ตอบอะไรไป นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ฉันคาดเดาคำตอบของแม่ได้ถูกแผง ฉันเลือกที่จะไม่ต่อล้อต่อเถียง ระหว่างกินข้าว ฉันก็มองผ่านหน้าต่างไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันใหม่เอี่ยม แล้วก็อดคิดน้อยใจไม่ได้ มื้อเย็นผ่านไปด้วยบทสนทนาของแม่กับพี่ป้อง เกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ ส่วนฉันก็นั่งฟังเงียบๆไปตามเคย หลังจากนั้นฉันก็ขอตัวขึ้นมาอาบน้ำข้างบน แล้วค่อยลงไปช่วยแม่ทำขนมต่อ ฉันเอาหนังสือเรียนในกระเป๋า มาวางบนโต๊ะเตรียมที่จะอ่านคืนนี้ แล้วพี่ป้องก็เปิดประตูเข้ามา
“ปัด อยากเดินขบวนหรือเปล่า” พี่ป้องถาม ฉันประหลาดใจ ปกติพี่ไม่เห็นจะสนใจเรื่องของฉัน
“ก็อยาก แต่ไม่เดินก็ได้”
“ตอนพี่มาซ่อมหลังคาในห้องนี้ เห็นกระปุกเงินของปัด ท่าจะมีเงินเก็บเยอะอยู่นี่ ทำไมไม่เอาไปเช่าชุดละ”
“ปัดจะเก็บไว้เป็นค่าเรียน ถ้าปัดสอบเข้าโรงเรียนในกรุงเทพได้ ปัดจะเอาเงินนี่ไปเรียนในกรุงเทพ”
“ยังเรียนมัธยมอยู่เลย จะรีบเข้าไปเรียนในกรุงเทพ ทำไม”
“ถ้าเรียนมัธยมในกรุงเทพก็จะมีโอกาสเข้ามหาวิทยาลัยดีๆมากกว่า ปัดอยากเรียนจบที่ดีๆ อยากมีงานทำดีๆ จะได้ไม่ต้องลำบากทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบแม่”
“ปัดเอ้ย แกอย่าฝันอะไรให้มันสูงเกินตัวนักเลย” ฉันหันขวับไปจ้องหน้าพี่ป้องตาเขม็ง
“พี่ป้องไม่เคยมีความฝันอะไรนี่ พี่จะไปรู้อะไร อ้อ พี่ป้องไม่ต้องฝันอะไรหรอก เพราะพี่มีทุกอย่างที่พี่อยากมีแล้ว พี่ขออะไรนะ แม่ก็ให้พี่ทุกอย่าง พี่อยู่กับแม่สบายๆแบบนี้ไปจนตายยังได้เลย เพราะยังไงแม่ก็เลี้ยงพี่อย่างดีอยู่แล้ว”
“ปัด อย่าพูดแบบนี้นะ ถ้าแม่ได้ยิน แม่จะเสียใจนะ”
“ก็ปัดจะพูด พี่ป้องจะทำไม พี่ป้องมาคุยกับปัดก่อนเอง” พี่ป้องถอนหายใจแรง แล้วก็เดินอออกจากห้องไป ฉันคงพูดแทงใจดำพี่ละสิ