ภาวะวิกฤตปัญหาน้ำป่าจากเทือกเขาตะนาวศรีไหลหลากเข้าท่วมในพื้นที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา นอกจากจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั้ง 7 ตำบล 71 หมู่บ้าน รวมกว่า 21,532 ครัวเรือน ภัยพิบัติครั้งนี้ยังส่งผลกระทบกับการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลจากหน่วยงานรัฐ เพื่อเร่งฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานหลายด้านให้เข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
ผลจากวิกฤตน้ำท่วมบางสะพานกลายเป็นรอยจารึกในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ส่งกระทบในระยะยาวกับประชาชนจำนวนมากที่ใช้ถนนเพชรเกษม ทางหลวงหมายเลข 4 เส้นทางสายหลัก เพื่อเดินทางขึ้นล่องระหว่างภาคกลางกับ 14 จังหวัดภาคใต้ หลังจากน้ำป่าไหลบ่าเข้าท่วมบนผิวการจราจรที่สามแยกบางสะพานเมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 มกราคม ทำให้รถยนต์ที่ใช้เส้นทางบนถนนเพชรเกษมได้รับความเสียหายมากกว่า 100 คัน มูลค่าความเสียหายหลายสิบล้านบาท ไม่นับรวมความสูญเสียจากกรณีเด็กหญิงวัย 5 ขวบพลัดตกน้ำเสียชีวิตที่สามแยกบางสะพาน ขณะเดินทางจากสุพรรณบุรีกลับบ้านเกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช
แต่ในวิกฤตยังมีโอกาสจากน้ำใจของชาวบ้านใน อ.บางสะพาน และ อ.ทับสะแก ร่วมกันนำอาหารและน้ำดื่มมอบให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการใช้เส้นทาง เป็นความประทับใจท่ามกลางภัยพิบัติครั้งร้ายแรง
ล่าสุด นาย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เดินทางมาที่ อ.บางสะพาน พร้อมกับสั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์เพิ่มให้ครบทั้ง 4 ช่องทางบนสะพานทั้ง 2 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนขึ้นล่อง 14 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะถนนเพชรเกษม เนื่องจากเป็นถนนสายยุทธศาสตร์สำคัญด้านเศรษฐกิจ
น้ำท่วมบางสะพาน ไม่ใช่เรื่องใหม่
ในความเป็นจริง ปัญหาน้ำท่วม อ.บางสะพาน ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ครั้งนี้ถือว่ามีปริมาณน้ำฝนตกสะสมมากที่สุดในรอบ 100 ปี ทำให้กลายเป็นภัยพิบัติครั้งรุนแรง มากกว่าครั้งที่อ่างเก็บน้ำคลองลอยแตกที่ ต.ร่อนทอง เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 หลายเท่า หลังจากน้ำท่วมครั้งนั้นหน่วยงานรัฐได้เร่งแก้ไขปัญหา เพื่อทำโครงการขุดลอกระบายน้ำในคลองบางสะพานที่รับน้ำจากเทือกเขาตะนาวศรีให้ไหลลงทะเลโดยเร็วที่สุด แต่น่าเสียดายที่มีประชาชนบางกลุ่มออกมาต่อต้าน ทำให้โครงการดังกล่าวไม่คืบหน้า
รวมทั้งการบริหารจัดการปัญหารุกล้ำลำรางสาธารณะ เส้นทางน้ำผ่านทุกพื้นที่ไม่ประสบผลสำเร็จ การย่อหย่อนไม่ได้ให้ความสนใจตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ขุดดินถมดิน เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาระยะยาวจากการถมดินปิดขวางลำรางธรรมชาติ
ดังนั้น หากทุกหน่วยงานไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่สรุปบทเรียนเพื่อบูรณาการอย่างเป็นระบบ ไม่มีการประเมินผลงานอย่างต่อเนื่อง วิกฤตน้ำท่วมบางสะพานครั้งล่าสุดจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ร่องน้ำเปลี่ยน อีกปัจจัย ‘ท่วม’
นิพนธ์ สุวรรณนาวา ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ปัญหามาจากการใช้ถนนเพชรเกษมช่วงน้ำท่วม อ.บางสะพาน กระทบกับระบบโลจิสติกส์ทั่วภาคใต้ สร้างความเสียหายด้านการลงทุนค่อนข้างมาก และในระยะยาวนักลงทุนอาจขาดความมั่นใจ ดังนั้น รัฐบาลควรทบทวนโครงการเก่าเมื่อสิบปีก่อน ภายหลังสภาอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรีได้เสนอให้ตัดถนนเส้นใหม่เลียบเทือกเขาตะนาวศรีให้ชายแดนด้านทิศตะวันตกเพื่อเชื่อมโยง 4 เหลี่ยมเศรษฐกิจจากทวายผ่าน จ.กาญจนบุรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ป่าละอู อ.หัวหิน ถึงด่านสิงขร อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเชื่อมต่อไปยังจังหวัดมะริด และจัดเส้นทางไปถึงถนนที่เดินทางระหว่างจังหวัดระนองและจังหวัดชุมพร
“แต่น่าเสียดายที่โครงการนี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่เคยมีการสำรวจเส้นทางเดิมไว้แล้ว เพียงแต่ภาครัฐใช้งบประมาณขยายผิวการจราจรให้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระความเสี่ยงจากการใช้ถนนเพชรเกษมเพียงเส้นเดียวเดินทางไปภาคใต้”
สุพจน์ เสริมทรัพย์ หัวหน้าหมวดทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีน้ำท่วมใหญ่ จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าถนนเพชรเกษมทั้ง 4 ช่องการจราจรเป็นกำแพงกั้นขวางทางน้ำ จากปัญหาน้ำป่าไหลหลากจากเทือกเขาตะนาวศรีด้านทิศตะวันตกไหลบ่าลงทะเล หลายปีที่ผ่านมาหลังจากมีการก่อสร้างถนนเพชรเกษม 4 เลน และมีปัญหาน้ำท่วมผ่านผิวการจราจร ต่อมากรมทางหลวงได้สำรวจและดำเนินการก่อสร้างช่องทางน้ำผ่านลอดใต้ถนนเพชรเกษมทุกพื้นที่ที่มีช่องทางน้ำผ่านตามขอบเขตอำนาจหน้าที่
แต่หลังจากกรมทางหลวงก่อสร้างทางน้ำผ่านมานานหลายปี ล่าสุดมีการสำรวจพบว่าร่องน้ำเดิมทุกพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หลายหน่วยงานต้องร่วมกันหาแนวทางในการแก้ไข
‘สงขลา’ เจอหนัก ฝนตกซ้ำซาก
ทางด้านจังหวัดสงขลา สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น 3 ระลอกในรอบ 1 เดือน นับตั้งแต่ระลอกแรก วันที่ 1-6 ธันวาคม 2559 บริเวณพื้นที่ริมทะเลสาบสงขลา ครอบคลุมทั้ง 4 อำเภอ ได้แก่ ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ และสิงหนคร รวม 38 ตำบล 251 หมู่บ้าน ระลอกที่ 2 เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2559 จนถึง 3 มกราคม 2560 ในพื้นที่อำเภอสะบ้าย้อย รัตภูมิ นาหม่อม คลองหอยโข่ง สะเดา และรอบนอกของอำเภอหาดใหญ่ ส่วนรอบที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อ 5 มกราคม ต่อเนื่องจนถึง 13 ธันวาคม ในพื้นที่ริมทะเลสาบสงขลา 5 อำเภอเดิม โดยสองรอบแรกปัญหาน้ำท่วมเกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่ แต่ในรอบที่ 3 นั้นปัญหาเกิดจากน้ำท่วมหนักในจังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช ซึ่งน้ำจะไหลระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาและทั้ง 5 อำเภอริมทะเลสาบสงขลา กลายเป็นแหล่งรองรับน้ำอีกครั้ง
แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ซึ่งถือเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น น้ำท่วมในครั้งนี้จึงไม่ได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก แต่มีประชาชนเดือดร้อนกว่า 13,000 คน
โดยเฉพาะริมทะเลสาบสงขลานั้นถือเป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมซ้ำซาก ไม่ว่าจะเกิดน้ำท่วมในพื้นที่เขตเมือง ทั้งอำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอคลองหอยโข่ง อำเภอเมือง ก็จะทำให้มวลน้ำทั้งหมดไหลระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลา
เช่นเดียวกัน เมื่อมีน้ำท่วมในจังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช มวลน้ำทั้งหมดก็จะไหลลงสู่อ่าวไทย ก่อนที่จะระบายออกสู่อ่าวไทย ระดับน้ำในทะเลสาบสงขลาที่สูงขึ้นก็จะไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ริมทะเลสาบสงขลา และยิ่งประสบปัญหาน้ำทะเลหนุนเข้ามาเสริมก็จะยิ่งทำให้มีปัญหาน้ำท่วมแช่ขังเป็นเวลานานมากขึ้น โดยทั้ง 3 รอบนั้นมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ทรัพย์สินเสียหายทั้งในส่วนของประชาชนและราชการ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการสำรวจ
ไม่เพียงสงขลา แต่ภาคใต้ทั้งระบบ
สมพร สิริโปราณานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดสงขลาและพื้นที่ทางภาคใต้นั้นจะส่งผลกระทบต่อภาวะทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน ในส่วนของจังหวัดสงขลา ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งท่วมเส้นทางสายกาญจนวนิช เชื่อมต่อระหว่างอำเภอหาดใหญ่ไปยังอำเภอสะเดา เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมนี้ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ทำให้นักท่องเที่ยวมีความหวาดระแวงต่อการเดินทางเข้ามาในพื้นที่
“แม้ไม่ท่วมในเขตเมือง อย่างอำเภอหาดใหญ่และอำเภอเมืองสงขลา ทำให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นไม่มาก แต่พื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบสงขลา เป็นเรื่องของการเกษตร ประเมินว่าน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดสงขลาทั้ง 3 รอบนั้นสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านบาท และยังมีความเสียหายจากการขาดโอกาสทางการค้าและธุรกิจอีกส่วนหนึ่งด้วย”
“น้ำท่วมระลอกที่ 3 ไม่ได้ท่วมเฉพาะริมทะเลสาบสงขลาเท่านั้น แต่น้ำท่วมทั้งระบบในภาคใต้ ซึ่งในทางเศรษฐกิจนั้นส่งผลกระทบต่อระบบโลจิสติกส์ โดยเฉพาะน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก การขนส่งสินค้าเป็นอัมพาต ซึ่งเป็นปัญหาในภาพรวม มองว่าส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท”
สมพรกล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางในการแก้ไขนั้น คงจะต้องดูทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ต้นน้ำนั้นคงจะต้องดูแลในเรื่องความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ กลางน้ำ ก็คงจะเป็นในเรื่องระบบการวางผังเมือง ที่จะต้องมีการพูดคุยกัน เพราะผังเมืองที่ไม่ได้มีการวางกันอย่างเป็นระเบียบ ทำให้น้ำหลงทาง การดูในเรื่องความคล่องตัวในการระบายน้ำของคูคลองต่าง ๆ และปลายน้ำ คือปัญหาทะเลสาบสงขลาตื้นเขิน ทำให้ไม่สามารถรับน้ำได้มากเพียงพอ จนทำให้ริมทะเลสาบสงขลาประสบปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง ซึ่งจะต้องมีการหารือกันหลายฝ่าย เพื่อที่จะให้มีการบริหารจัดการทะเลสาบสงขลาอย่างเป็นระบบ
“ในส่วนของปัญหาด้านโลจิสติกส์หลังจากมีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน โดยจะเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการขยายถนนเอเชียเป็น 6 เลน และหาจุดเชื่อมถนนเอเชียกับถนนในฝั่งอันดามัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประสบปัญหาเรื่องการคมนาคมขนส่งเช่นนี้อีก ส่วนจะดำเนินการอย่างไรนั้น มองว่าคงจะต้องหาจุดลงตัวร่วมกันทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายเอกชน” สมพรกล่าว
สุราษฎร์ฯ อ่วมสุดในรอบ 20 ปี
ประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัดภาคใต้คิดว่าฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2559 เป็นฝนส่งท้ายปี แต่เมื่อสายฝนนั้นไม่ขาดสายก็ทำให้หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วม ส่วนทะเลก็มีคลื่นลมแรง
ฝนตกไม่ขาดสายนาน 5-6 วัน ปริมาณน้ำฝนมากกว่า 200 มิลลิเมตรในพื้นที่เสี่ยงภัย เช่น ที่บ้านในเขา ต.ประสงค์ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี วัดได้ 280 มิลลิเมตร บ้านปากฮาย ต.คลองสระ และบ้านเขาเคี่ยม ต.ป่าร่อน อ.กาญจนดิษฐ์ วัดได้ 200 มิลลิเมตร น้ำป่าได้ไหลหลากจากภูเขาลงเข้าท่วมพื้นที่ข้างล่างอย่างรวดเร็วในเช้ามืดวันที่ 5 มกราคม
น้ำป่าไหลทะลักเข้าท่วมอย่างรวดเร็วที่บ้านปากฮาย, บ้านม่วงลีบ ต.คลองสระ, ต.ป่าร่อน, ต.ช้างซ้าย อ.กาญจนดิษฐ์ รวม 10 หมู่บ้าน ชาวบ้านเกือบ 2,000 ครัวเรือนต้องอพยพออกไปอยู่บ้านญาติและขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง บางครอบครัวหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคา ถนนในหมู่บ้านถูกตัดขาดทันที บ้านเรือนตกอยู่ในสภาพถูกดินสไลด์เป็นโคลนลงมาท่วมจำนวนมาก
นอกจากนี้ ความแรงของกระแสน้ำได้กัดเซาะเชิงสะพานข้ามคลอง ทำให้ทางหลวงเอเชีย 41 สายหลักของภาคใต้เป็นอัมพาต ผลกระทบกระจายเป็นวงกว้าง รางรถไฟขาดที่ อ.ท่าชนะ ขบวนรถไฟสายใต้ตกค้างอยู่ที่ จ.ชุมพร ส่วนพื้นที่ด้านทิศตะวันตกอย่าง อ.ชัยบุรี, พระแสง และเคียนซา กลายเป็นพื้นที่รับน้ำล้นหลากมาจาก จ.กระบี่ และ จ.นครศรีธรรมราช ผ่านแม่น้ำตาปี กระจายท่วมพื้นที่ 2 ริมฝั่งแม่น้ำและที่ลุ่ม ต้องอพยพออกจากหมู่บ้านกันอย่างโกลาหล กลายเป็นศึกน้ำล้อมบ้าน
ในที่สุดผลกระทบขยายวงกว้าง พื้นที่ 17 อำเภอต้องประกาศเป็นเขตประสบภัยพิบัติ เจ้าหน้าที่ต้องเร่งช่วยเหลือให้ประชาชนมีชีวิตรอดเป็นอันดับแรกก่อน ส่วนความเสียหายยังไม่สามารถประเมินค่าทั้งหมดได้
นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำฝนมากครั้งนี้เกิดจากร่องความกดอากาศต่ำที่แช่อยู่นานถึง 7 วัน ครั้งแรกเข้ามาวันที่ 1-8 ธันวาคมอยู่ร่วม 8 วัน ครั้งที่ 2 อีก 10 วัน ทำให้ปริมาณน้ำฝนมีมากที่ จ.สุราษฎร์ธานี ปลายปี 2559 ประมาณ 725 มิลลิเมตร และต้นปี 2560 ประมาณ 700 มิลลิเมตร มากกว่าที่เคยตกถึง 2 เท่า และลักษณะการเกิดของฝนตกติดกัน 2 ครั้งในช่วง 2 เดือนนี้ (ธันวาคมและมกราคม) คล้ายกับที่เคยเกิดเมื่อปี 2541
JJNY : วิกฤต ‘น้ำท่วมใต้’ อ่วมหนักในรอบ 20 ปี กระทบทั้งประเทศ
ผลจากวิกฤตน้ำท่วมบางสะพานกลายเป็นรอยจารึกในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่ส่งกระทบในระยะยาวกับประชาชนจำนวนมากที่ใช้ถนนเพชรเกษม ทางหลวงหมายเลข 4 เส้นทางสายหลัก เพื่อเดินทางขึ้นล่องระหว่างภาคกลางกับ 14 จังหวัดภาคใต้ หลังจากน้ำป่าไหลบ่าเข้าท่วมบนผิวการจราจรที่สามแยกบางสะพานเมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 มกราคม ทำให้รถยนต์ที่ใช้เส้นทางบนถนนเพชรเกษมได้รับความเสียหายมากกว่า 100 คัน มูลค่าความเสียหายหลายสิบล้านบาท ไม่นับรวมความสูญเสียจากกรณีเด็กหญิงวัย 5 ขวบพลัดตกน้ำเสียชีวิตที่สามแยกบางสะพาน ขณะเดินทางจากสุพรรณบุรีกลับบ้านเกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช
แต่ในวิกฤตยังมีโอกาสจากน้ำใจของชาวบ้านใน อ.บางสะพาน และ อ.ทับสะแก ร่วมกันนำอาหารและน้ำดื่มมอบให้กับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการใช้เส้นทาง เป็นความประทับใจท่ามกลางภัยพิบัติครั้งร้ายแรง
ล่าสุด นาย อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เดินทางมาที่ อ.บางสะพาน พร้อมกับสั่งการให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์เพิ่มให้ครบทั้ง 4 ช่องทางบนสะพานทั้ง 2 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนขึ้นล่อง 14 จังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะถนนเพชรเกษม เนื่องจากเป็นถนนสายยุทธศาสตร์สำคัญด้านเศรษฐกิจ
น้ำท่วมบางสะพาน ไม่ใช่เรื่องใหม่
ในความเป็นจริง ปัญหาน้ำท่วม อ.บางสะพาน ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ครั้งนี้ถือว่ามีปริมาณน้ำฝนตกสะสมมากที่สุดในรอบ 100 ปี ทำให้กลายเป็นภัยพิบัติครั้งรุนแรง มากกว่าครั้งที่อ่างเก็บน้ำคลองลอยแตกที่ ต.ร่อนทอง เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2548 หลายเท่า หลังจากน้ำท่วมครั้งนั้นหน่วยงานรัฐได้เร่งแก้ไขปัญหา เพื่อทำโครงการขุดลอกระบายน้ำในคลองบางสะพานที่รับน้ำจากเทือกเขาตะนาวศรีให้ไหลลงทะเลโดยเร็วที่สุด แต่น่าเสียดายที่มีประชาชนบางกลุ่มออกมาต่อต้าน ทำให้โครงการดังกล่าวไม่คืบหน้า
รวมทั้งการบริหารจัดการปัญหารุกล้ำลำรางสาธารณะ เส้นทางน้ำผ่านทุกพื้นที่ไม่ประสบผลสำเร็จ การย่อหย่อนไม่ได้ให้ความสนใจตรวจสอบการใช้อำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ขุดดินถมดิน เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหาระยะยาวจากการถมดินปิดขวางลำรางธรรมชาติ
ดังนั้น หากทุกหน่วยงานไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่สรุปบทเรียนเพื่อบูรณาการอย่างเป็นระบบ ไม่มีการประเมินผลงานอย่างต่อเนื่อง วิกฤตน้ำท่วมบางสะพานครั้งล่าสุดจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
ร่องน้ำเปลี่ยน อีกปัจจัย ‘ท่วม’
นิพนธ์ สุวรรณนาวา ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ปัญหามาจากการใช้ถนนเพชรเกษมช่วงน้ำท่วม อ.บางสะพาน กระทบกับระบบโลจิสติกส์ทั่วภาคใต้ สร้างความเสียหายด้านการลงทุนค่อนข้างมาก และในระยะยาวนักลงทุนอาจขาดความมั่นใจ ดังนั้น รัฐบาลควรทบทวนโครงการเก่าเมื่อสิบปีก่อน ภายหลังสภาอุตสาหกรรมจังหวัดกาญจนบุรีได้เสนอให้ตัดถนนเส้นใหม่เลียบเทือกเขาตะนาวศรีให้ชายแดนด้านทิศตะวันตกเพื่อเชื่อมโยง 4 เหลี่ยมเศรษฐกิจจากทวายผ่าน จ.กาญจนบุรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ป่าละอู อ.หัวหิน ถึงด่านสิงขร อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ เพื่อเชื่อมต่อไปยังจังหวัดมะริด และจัดเส้นทางไปถึงถนนที่เดินทางระหว่างจังหวัดระนองและจังหวัดชุมพร
“แต่น่าเสียดายที่โครงการนี้ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่เคยมีการสำรวจเส้นทางเดิมไว้แล้ว เพียงแต่ภาครัฐใช้งบประมาณขยายผิวการจราจรให้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระความเสี่ยงจากการใช้ถนนเพชรเกษมเพียงเส้นเดียวเดินทางไปภาคใต้”
สุพจน์ เสริมทรัพย์ หัวหน้าหมวดทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีน้ำท่วมใหญ่ จะมีการตั้งข้อสังเกตว่าถนนเพชรเกษมทั้ง 4 ช่องการจราจรเป็นกำแพงกั้นขวางทางน้ำ จากปัญหาน้ำป่าไหลหลากจากเทือกเขาตะนาวศรีด้านทิศตะวันตกไหลบ่าลงทะเล หลายปีที่ผ่านมาหลังจากมีการก่อสร้างถนนเพชรเกษม 4 เลน และมีปัญหาน้ำท่วมผ่านผิวการจราจร ต่อมากรมทางหลวงได้สำรวจและดำเนินการก่อสร้างช่องทางน้ำผ่านลอดใต้ถนนเพชรเกษมทุกพื้นที่ที่มีช่องทางน้ำผ่านตามขอบเขตอำนาจหน้าที่
แต่หลังจากกรมทางหลวงก่อสร้างทางน้ำผ่านมานานหลายปี ล่าสุดมีการสำรวจพบว่าร่องน้ำเดิมทุกพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่หลายหน่วยงานต้องร่วมกันหาแนวทางในการแก้ไข
‘สงขลา’ เจอหนัก ฝนตกซ้ำซาก
ทางด้านจังหวัดสงขลา สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น 3 ระลอกในรอบ 1 เดือน นับตั้งแต่ระลอกแรก วันที่ 1-6 ธันวาคม 2559 บริเวณพื้นที่ริมทะเลสาบสงขลา ครอบคลุมทั้ง 4 อำเภอ ได้แก่ ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ และสิงหนคร รวม 38 ตำบล 251 หมู่บ้าน ระลอกที่ 2 เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2559 จนถึง 3 มกราคม 2560 ในพื้นที่อำเภอสะบ้าย้อย รัตภูมิ นาหม่อม คลองหอยโข่ง สะเดา และรอบนอกของอำเภอหาดใหญ่ ส่วนรอบที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อ 5 มกราคม ต่อเนื่องจนถึง 13 ธันวาคม ในพื้นที่ริมทะเลสาบสงขลา 5 อำเภอเดิม โดยสองรอบแรกปัญหาน้ำท่วมเกิดจากฝนตกหนักในพื้นที่ แต่ในรอบที่ 3 นั้นปัญหาเกิดจากน้ำท่วมหนักในจังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช ซึ่งน้ำจะไหลระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลาและทั้ง 5 อำเภอริมทะเลสาบสงขลา กลายเป็นแหล่งรองรับน้ำอีกครั้ง
แม้จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ซึ่งถือเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ ดังนั้น น้ำท่วมในครั้งนี้จึงไม่ได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจมากนัก แต่มีประชาชนเดือดร้อนกว่า 13,000 คน
โดยเฉพาะริมทะเลสาบสงขลานั้นถือเป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วมซ้ำซาก ไม่ว่าจะเกิดน้ำท่วมในพื้นที่เขตเมือง ทั้งอำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอคลองหอยโข่ง อำเภอเมือง ก็จะทำให้มวลน้ำทั้งหมดไหลระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลา
เช่นเดียวกัน เมื่อมีน้ำท่วมในจังหวัดพัทลุงและนครศรีธรรมราช มวลน้ำทั้งหมดก็จะไหลลงสู่อ่าวไทย ก่อนที่จะระบายออกสู่อ่าวไทย ระดับน้ำในทะเลสาบสงขลาที่สูงขึ้นก็จะไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ริมทะเลสาบสงขลา และยิ่งประสบปัญหาน้ำทะเลหนุนเข้ามาเสริมก็จะยิ่งทำให้มีปัญหาน้ำท่วมแช่ขังเป็นเวลานานมากขึ้น โดยทั้ง 3 รอบนั้นมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนไม่น้อยกว่า 50,000 คน ทรัพย์สินเสียหายทั้งในส่วนของประชาชนและราชการ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการสำรวจ
ไม่เพียงสงขลา แต่ภาคใต้ทั้งระบบ
สมพร สิริโปราณานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดสงขลาและพื้นที่ทางภาคใต้นั้นจะส่งผลกระทบต่อภาวะทางเศรษฐกิจในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน ในส่วนของจังหวัดสงขลา ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งท่วมเส้นทางสายกาญจนวนิช เชื่อมต่อระหว่างอำเภอหาดใหญ่ไปยังอำเภอสะเดา เมื่อวันที่ 1 ธันวาคมนี้ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ทำให้นักท่องเที่ยวมีความหวาดระแวงต่อการเดินทางเข้ามาในพื้นที่
“แม้ไม่ท่วมในเขตเมือง อย่างอำเภอหาดใหญ่และอำเภอเมืองสงขลา ทำให้ความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นไม่มาก แต่พื้นที่น้ำท่วมส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบสงขลา เป็นเรื่องของการเกษตร ประเมินว่าน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดสงขลาทั้ง 3 รอบนั้นสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่าหนึ่งพันล้านบาท และยังมีความเสียหายจากการขาดโอกาสทางการค้าและธุรกิจอีกส่วนหนึ่งด้วย”
“น้ำท่วมระลอกที่ 3 ไม่ได้ท่วมเฉพาะริมทะเลสาบสงขลาเท่านั้น แต่น้ำท่วมทั้งระบบในภาคใต้ ซึ่งในทางเศรษฐกิจนั้นส่งผลกระทบต่อระบบโลจิสติกส์ โดยเฉพาะน้ำท่วมในพื้นที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก การขนส่งสินค้าเป็นอัมพาต ซึ่งเป็นปัญหาในภาพรวม มองว่าส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท”
สมพรกล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางในการแก้ไขนั้น คงจะต้องดูทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ต้นน้ำนั้นคงจะต้องดูแลในเรื่องความสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้ กลางน้ำ ก็คงจะเป็นในเรื่องระบบการวางผังเมือง ที่จะต้องมีการพูดคุยกัน เพราะผังเมืองที่ไม่ได้มีการวางกันอย่างเป็นระเบียบ ทำให้น้ำหลงทาง การดูในเรื่องความคล่องตัวในการระบายน้ำของคูคลองต่าง ๆ และปลายน้ำ คือปัญหาทะเลสาบสงขลาตื้นเขิน ทำให้ไม่สามารถรับน้ำได้มากเพียงพอ จนทำให้ริมทะเลสาบสงขลาประสบปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง ซึ่งจะต้องมีการหารือกันหลายฝ่าย เพื่อที่จะให้มีการบริหารจัดการทะเลสาบสงขลาอย่างเป็นระบบ
“ในส่วนของปัญหาด้านโลจิสติกส์หลังจากมีปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน โดยจะเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการขยายถนนเอเชียเป็น 6 เลน และหาจุดเชื่อมถนนเอเชียกับถนนในฝั่งอันดามัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประสบปัญหาเรื่องการคมนาคมขนส่งเช่นนี้อีก ส่วนจะดำเนินการอย่างไรนั้น มองว่าคงจะต้องหาจุดลงตัวร่วมกันทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายเอกชน” สมพรกล่าว
สุราษฎร์ฯ อ่วมสุดในรอบ 20 ปี
ประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัดภาคใต้คิดว่าฝนที่ตกลงมาตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2559 เป็นฝนส่งท้ายปี แต่เมื่อสายฝนนั้นไม่ขาดสายก็ทำให้หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วม ส่วนทะเลก็มีคลื่นลมแรง
ฝนตกไม่ขาดสายนาน 5-6 วัน ปริมาณน้ำฝนมากกว่า 200 มิลลิเมตรในพื้นที่เสี่ยงภัย เช่น ที่บ้านในเขา ต.ประสงค์ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี วัดได้ 280 มิลลิเมตร บ้านปากฮาย ต.คลองสระ และบ้านเขาเคี่ยม ต.ป่าร่อน อ.กาญจนดิษฐ์ วัดได้ 200 มิลลิเมตร น้ำป่าได้ไหลหลากจากภูเขาลงเข้าท่วมพื้นที่ข้างล่างอย่างรวดเร็วในเช้ามืดวันที่ 5 มกราคม
น้ำป่าไหลทะลักเข้าท่วมอย่างรวดเร็วที่บ้านปากฮาย, บ้านม่วงลีบ ต.คลองสระ, ต.ป่าร่อน, ต.ช้างซ้าย อ.กาญจนดิษฐ์ รวม 10 หมู่บ้าน ชาวบ้านเกือบ 2,000 ครัวเรือนต้องอพยพออกไปอยู่บ้านญาติและขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง บางครอบครัวหนีขึ้นไปอยู่บนหลังคา ถนนในหมู่บ้านถูกตัดขาดทันที บ้านเรือนตกอยู่ในสภาพถูกดินสไลด์เป็นโคลนลงมาท่วมจำนวนมาก
นอกจากนี้ ความแรงของกระแสน้ำได้กัดเซาะเชิงสะพานข้ามคลอง ทำให้ทางหลวงเอเชีย 41 สายหลักของภาคใต้เป็นอัมพาต ผลกระทบกระจายเป็นวงกว้าง รางรถไฟขาดที่ อ.ท่าชนะ ขบวนรถไฟสายใต้ตกค้างอยู่ที่ จ.ชุมพร ส่วนพื้นที่ด้านทิศตะวันตกอย่าง อ.ชัยบุรี, พระแสง และเคียนซา กลายเป็นพื้นที่รับน้ำล้นหลากมาจาก จ.กระบี่ และ จ.นครศรีธรรมราช ผ่านแม่น้ำตาปี กระจายท่วมพื้นที่ 2 ริมฝั่งแม่น้ำและที่ลุ่ม ต้องอพยพออกจากหมู่บ้านกันอย่างโกลาหล กลายเป็นศึกน้ำล้อมบ้าน
ในที่สุดผลกระทบขยายวงกว้าง พื้นที่ 17 อำเภอต้องประกาศเป็นเขตประสบภัยพิบัติ เจ้าหน้าที่ต้องเร่งช่วยเหลือให้ประชาชนมีชีวิตรอดเป็นอันดับแรกก่อน ส่วนความเสียหายยังไม่สามารถประเมินค่าทั้งหมดได้
นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำฝนมากครั้งนี้เกิดจากร่องความกดอากาศต่ำที่แช่อยู่นานถึง 7 วัน ครั้งแรกเข้ามาวันที่ 1-8 ธันวาคมอยู่ร่วม 8 วัน ครั้งที่ 2 อีก 10 วัน ทำให้ปริมาณน้ำฝนมีมากที่ จ.สุราษฎร์ธานี ปลายปี 2559 ประมาณ 725 มิลลิเมตร และต้นปี 2560 ประมาณ 700 มิลลิเมตร มากกว่าที่เคยตกถึง 2 เท่า และลักษณะการเกิดของฝนตกติดกัน 2 ครั้งในช่วง 2 เดือนนี้ (ธันวาคมและมกราคม) คล้ายกับที่เคยเกิดเมื่อปี 2541