LA LA LAND 90% แรกของเนื้อเรื่องคือภาพยนตร์ที่ดี แต่ฉากจบช่วง 10% สุดท้ายคือเหตุผลที่จะได้ออสการ์

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ หลังดู LA LA LAND จบ ว่าช่วงสุดท้ายคือที่สุดของการจบภาพยนตร์จริงๆ

หนังปูมาให้เห็นความสัมพันธ์ของคนสองคน ที่เริ่มรักกันตั้งแต่ยังไม่มีอะไรทั้งคู่ เป็นแรงผลักดันซึ่งกันและกัน เพราะโทรศัพท์ที่คุยกับแม่ของมีอา ทำให้เซบาสเตียน ทะเยอทะยานไปเป็นศิลปินวงป๊อป เก็บเงินจนเปิดร้านแจ๊ซซ์ได้

เพราะเซบาสเตียน ขับรถไปหาถึงเนวาด้า ทำให้มีอา ได้กลับมาแคสต์งาน และได้เป็นศิลปินอย่างที่หวังไว้

ทั้งคู่ เป็นพลังให้กันและกัน แม้จะมีความขัดแย้งกัน แต่ก็เป็นคนสำคัญของกันและกัน

แต่ในช่วงชีวิต บางครั้งแม้วันหนึ่งจะเคยรักกัน แต่บทสรุปมันอาจไม่ได้จบที่คนคนนั้น สิ่งที่จะเหลือก็เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น

เพลงสุดท้ายที่เซบาสเตียน เล่นเปียโน มันมีฉากหนึ่งที่ผมชอบมาก คือมีอา ไปถ่ายภาพยนตร์ที่ปารีส แล้วเซบาสเตียน ก็ตามไปปารีสด้วย ไปเล่นในผับเล็กๆ แถวนั้น คือตามมีอาไป ขอแค่มี มีอา อยู่ในชีวิต  แม้ความฝันตัวเองจะไม่เป็นจริงก็ตาม

ชีวิตในจินตนาการ ของเซบาสเตียน "ถ้าวันนั้นเขาเลือกมีอา มากกว่าความฝัน"  ก็จะมี มีอาเป็นภรรยา มีครอบครัว จากนั้นก็ไปดินเนอร์กันอย่างมีความสุข ไปนั่งฟังเพลงแจ๊ซซ์ที่ไหนสักที่ มันก็เป็นความสุขในรูปแบบหนึ่ง

แต่ในชีวิตจริง เซบาสเตียนเองก็มีความฝันเหมือนกัน เพื่อความฝันแล้ว สำหรับบางคน มันยิ่งใหญ่กว่าความรักด้วยซ้ำ

สุดท้ายเซบาสเตียน เลือกจะออนทัวร์กับวงของคีธ เก็บเงินเก็บทอง และเปิดร้าน Seb's ในที่สุด แต่สิ่งที่ต้องแลกมา ก็คือ "ชีวิตที่ไม่มี มีอา" อีกต่อไปแล้ว

(จริงๆ มีอา ก็เคยมีทางเลือกเหมือนกัน จำได้ไหมครับ ที่ เซบาสเตียน อบอกให้มีอา ไปซ้อมบทกับเขาตอนออนทัวร์ ให้ตามไปเลยทุกๆเมือง แต่มีอา ก็ไม่ไป เพราะชีวิตเธอก็อยู่ที่แอลเอ มีอา ก็ไม่ยอมแลกความฝันของตัวเอง เพื่อเซบาสเตียนเช่นกัน)

ทั้งหมดทั้งสิ้น สร้างมาเพื่อทำให้ ฉากสุดท้าย มันเศร้า มันอึน ในหัวใจจริงๆ

ในชีวิตของคนเราทุกคน ผมเชื่อว่า ต้องเคยเลือกอะไรสักอย่าง เพื่อจะได้สิ่งหนึ่งมา ก็จำเป็นต้องเสียสิ่งหนึ่งไป

ไม่มีใครที่จะได้อะไรทุกอย่างที่ต้องการ

สิ่งเดียวที่จะทำได้ก็คือต้องยอมรับความจริงและก้าวต่อไปเท่านั้น ยิ้มกับอดีตที่สวยงาม  

... ก็คงได้แต่คิดว่า ถ้าวันนี้ยังมีเธออยู่ ชีวิตเราจะดีกว่านี้หรือเปล่านะ
    
ช่วงแรกๆ จนถึงปลายเรื่องก็ถือว่าดูเพลิน เป็นภาพยนตร์ที่สนุก ทั้งตัว Musical และความทะเยอทะยานของทั้งสองคน

แต่ช่วงจบภาพยนตร์ มันขมวดปม จนผมคิดว่า ดีพอที่จะไปถึงออสการ์ได้เลยจริงๆ

ผู้กำกับคนนี้ ชำนาญการ "ปิดเกม" เหมือนอย่างเรื่อง Whiplash ที่ฉากจบก็สุดยอดมากๆ และเขาทำอีกครั้งใน LA LA LAND

สรุปคือประทับใจมากจริงๆ เป็นเรื่องที่ใครๆก็คงต้องพูดถึงแต่ฉากจบแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่