กระทู้นี้เป็นการแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองต่อชีวิตและอื่นๆของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธและได้มีประสบการณ์นั่งวิปัสสนาที่โกเอนก้า ไม่ใช่การริวิวทริปปฏิบัติธรรม(ซึ่งมีมากมายอยู่แล้ว) ดังนั้น จึงจะข้ามรายละเอียด ขั้นตอน กฏระเบียบต่างๆของโกเอนก้าไปนะครับ
ถ้าจะละเลยที่มาที่ไปว่าทำไม ผมถึงได้ไปนั่งวิปัสสนาที่โกเอนก้า กระทู้คงจะไม่สมบูรณ์ เพราะจู่ๆทำไมคนที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาจะไปนั่งวิปัสสนา คงจะเป็นที่คาใจของผู้ที่มาอ่านกระทู้
ผมเกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมทวิศาสนา คือ 2 ศาสนา โตมาในโรงเรียนพุทธ สังคมพุทธ เข้าวัดเวียนเทียน กราบพระ ถวายสังฆทาน ทำอะไรทุกอย่างที่คนพุทธทำ แถมทำได้อย่างกลมกลืน สมัยนี้ใช้คำว่าเนียน คือ ทำได้เนียนกว่าเพื่อนๆที่เป็นคนพุทธด้วยซ้ำ แต่ผมก็คงมีความเชื่อ และ ปฏิบัติศาสนกิจของผมเป็นประจำตามโอกาสอำนวย
สำหรับผมความเชื่อและศาสนาอยู่ที่ใจ กิจกรรมทางศาสนาเป็นเพียงเครื่องหมายภายนอก
ต่อมาได้ไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่เรียนจบ เริ่มที่การเร่ร่อนในย่านอัฟริกาและตะวันออกกลางหลายปี หลายประเทศ ก็จะรู้จัก มีเพื่อน เรียนรู้ ซึมซับ แนวคิด วัฒนธรรม ของศาสนาอิสลาม และ ชาวอาหรับ
หลังจากตะวันออกกลางก็มามีบ้านหลังที่สองที่อินเดีย คือมาประจำถาวรที่อินเดียนานหลายปี ก็ได้สัมผัสแนวคิด ศาสนาฮินดู พรามณ์ ซิกซ์ เต๋า รวมไปถึง ลัทธิแปลกๆมากมาย เช่น บูชาหนุมาน บูชาไฟ เจ้าแม่กาลี ไสบาบา ฤาษี นักพรต และ ความเชื่อยิบย่อยเยอะแยะ
"ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม"
วลีนี้คงเคยได้ยินกันมาบ่อยๆ ผมเองก็ได้ยินมาตั้งแต่เรียนสังคม ม.ต้น (สมัยผมวิชาพุทธศาสนาแทรกอยู่ในวิชาสังคม) ... รู้ แต่ไม่เคยเข้าใจ
วันหนึ่งวิกฤติเข้ามาในชีวิต ทุกข์มาก เจ็บใจ โศกเศร้า เสียใจ ผิดหวัง โกรธ เกลียด แค้น และ อยากล้างแค้น วันๆคิดแต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้คนๆนั้นรู้สึกเหมือนเรา หรือ เจ็บยิ่งกว่าเรา ... แต่ทำอะไรไม่ได้
ถึงแม้หน้าที่ และ ความรับผิดชอบยังคงไม่ถูกกระทบ ยังทำหน้าที่และรับผิดชอบในสิ่งที่ต้องทำ ควรทำ ก็ยังคงทำได้อย่างไม่บกพร่อง แต่น้ำหนักลดฮวบ (อาจจะเป็นข้อดี เพราะตอนนั้นน้ำหนักเกินอยู่เยอะ 555) หน้าตานี่เพื่อนร่วมงานทักเลยว่าพี่เป็นอะไรไป นอนไม่ค่อยหลับ ต้องพึ่งยาคลายกังวล
... ไวน์และยาไม่ได้ช่วยอะไร แค่ทำให้หลับ แต่ตื่นมาก็ยังคงทุกข์ หันหน้าเข้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจทั้งของศาสนาตัวเอง และ เปิดรับแนวคิดของทุกๆสรรพวิชาคลายทุกข์
เริ่มขุดหนังสือธรรมมาอ่าน ไล่ไปจากของท่านพุทธทาส ท่าน ป. ท่านไพศาลฯ ก็พอรู้มาบ้างว่า ทุกข์ คืออะไร ทางดับทุกข์คืออะไร เพราะท่องเข้าห้องสอบมาตั้งแต่ใส่ขาสั้นเรียนหนังสือ ... แต่ไม่ได้ช่วยอะไร
ก่อนหน้าที่จะพบความทุกข์ มีน้องที่ทำงานไปปฏิบัติที่โกเอนก้า มาเล่าให้ฟังว่าเขาพบอะไรที่นั่น เขาเปลี่ยนไปอย่างไร ทุกคนในบริษัทก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน้องคนนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เขาชวนให้ไป ... แต่ไม่ได้ไป ... เพราะ ตอนนั้นยังไม่ทุกข์ !
วันที่ทุกข์จัดๆเลยคิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับเรา อายุก็จะครึ่งศตวรรษอยู่แล้ว ความรู้และประสบการณ์มากมาย แต่ทำไม เกิดอะไรขึ้น
คิดถึงคำพูดที่น้องคนนั้นมาชวนไปปฏิบัติธรรม ก็เลยคิดว่าอยากจะลองดูซิว่ามันดีจริงหรือ มันช่วยได้จริงหรือ ในใจลึกๆก็คิดว่าต้องจริงซิ ถ้าไม่จริงจะผ่านการพิสูจน์มาได้ถึงสองพันหกร้อยปีแล้วได้อย่างไร
มาถึงตรงนี้ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้คิดจะเปลี่ยนศาสนานะครับ ผมแค่มองว่า "สิ่ง" ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาบอกพวกเราให้ "ทำ" ตามนั้นแล้วจะได้ "อะไร" นั้น ไม่ได้เป็นของพระองค์ เป็น "ความจริง" ที่มีอยู่ก่อนแล้วแต่ดั่งเดิมคู่มากับจักรวาลนี้ เพียงแต่ท่านพบแล้วนำมาบอก
อุปมาหยาบๆเหมือนกับ หมอบอกว่า ออกกำลังกายซิแล้วจะแข็งแรง หรือ กาลิเลโลบอกว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์นั่นแหละ หมอบอกหรือไม่บอก กาลิเลโลบอกหรือไม่บอก ถ้าออกกำลังกายร่างกายมันก็แข็งแรง โลกมันก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ อยู่ดี หมอและกาลิเลโอไม่ได้ทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น แต่ค้นพบ --> รู้ --> แล้วเอามาบอก
คำว่า "ทุกข์" นั่นคือเหตุผลที่ผมขึ้นเขาสังขบุรีไปปฏิบัติอยู่ 10 วัน เมื่อปลายปี 2558
ไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะได้อะไรกลับมา เททุกอย่างในสมองออกให้หมด ขึ้นเขาไปแบบไม่มีชาในถ้วย ไปทำอย่างที่อาจารย์โอเอนก้าบอกให้ทำ ไม่สงสัย ไม่ตั้งคำถาม "ทำ" เพื่อ "ทำ" อย่างเดียว จะให้ทำอะไรก็ทำ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด ถ้าจะได้อะไรติดลงเขามาก็ถือว่าเป็นของแถม
เมื่อไม่หวัง ก็คงไม่ผิดหวัง คิดแค่นั้นจริงๆ เอาเสื้อผ้า 10 ชุดยัดใส่กระเป๋าลากไปขึ้นรถบัสฟรีของชมรมฯที่จัดให้แถวๆสายใต้ใหม่อย่างคนอมทุกข์ สภาพตอนนั้นอย่างซอมบี้ไม่ผิดเลยครับ
ถ้าอารมณ์และคลื่นสมองเป็นกราฟแท่ง ... วันแรกนี้ความปรี๊ดพุ่งขึ้นสูงสุดทะลุสเกลเลยครับ
ไม่ได้พูดจากอะไรกับใคร ปิดมือถือ จด เขียน อ่าน อะไรไม่ได้เลย นั่งสมาธิวันล่ะ 10 ชม. ตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง สังเกตุลมหายใจอย่างเดียวเลย ถ้าความคิดผมเหมือนลิง ก็คงเป็นลิงป่า ไม่เคยถูกฝึก พล่านเหมือนฟองน้ำเวลาน้ำเดือด กระจายเหมือนเอามือกำฝุ่นแล้วปาออกไปทวนกระแสลมที่พัดเข้ามา ฝุ่นมันก็เข้าหูเข้าตา แสบไปหมด อุปมาหยาบๆได้ราวๆนี้ ไม่ทราบจะอธิบายความ "ฟุ้ง" ของความคิดได้อย่างไรในวันแรก บอกเลยว่าเกิดมาจะครึ่งศตวรรษเพิ่งรู้ว่าความฟุ้งของความคิดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ในเมื่อตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใส่ใจในผลลัพธ์ มา "ทำ" เพื่อ "ทำ" เท่านั้น ก็ทำไปตามตารางเวลา อย่างดีที่สุด ลิงมันวิ่งไป ก็จับมันมานั่ง มันนั่งได้เสี้ยววินาทีเดียวมันก็วิ่งไปอีก ผมก็จับมันมานั่งอีก อาจารย์ที่สอนบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่และความรับผิดชอบของเราที่ลิงจะนั่งได้นานแค่ไหน เพราะมันมีหลายปัจจัย (ภาษาวิศวกรอย่างผมเรียกว่า "ตัวแปร") ที่กำหนดว่าลิงจะนั่งได้นานแค่ไหน หน้าที่เราคือ เมื่อลิงมันลุกไป ก็ไปตามจับมันมานั่ง อาจารย์บอกให้ทำแค่นั้น ผมก็ทำอยู่แค่นั้น ทำอยู่ 3 วัน
ลิงผมมันก็อยู่กับที่ได้นานขึ้น แต่ก็ไม่ได้นานมากอะไร ซึ่งผมก็ไม่แคร์ ผมก็ทำไปเท่าที่อาจารย์ให้ทำ ... กราฟแท่งของอารมณ์และคลื่นสมองที่ว่ามันก็เตี้ยลงๆ
บทเรียนข้อแรกที่ผมได้จาก 3 วันแรกนี่คือสิ่งที่ผม "รู้" มาตั้งแต่เด็กเพราะท่องเข้าห้องสอบมาตลอด แต่ไม่เคย "เข้าใจ" เลย
"มันเกิดขึ้น มันคงอยู่ แล้วมันก็ไป"
... เพราะในระหว่างจับลิงให้นั่งนั้น ทุกขณะจะเกิดทุกข์ จากความเจ็บปวดร่างกาย ตรงโน้นบ้างนี้บ้าง ทุกข์ทางจิตใจ เพราะ ยังโศกเศร้า เจ็บ เสียใจ แค้น ฯลฯ จับลิงไปก็เห็นไปว่า ความทุกข์กายทุกข์ใจเหล่านี้ มันเกิดขึ้นมาใน "ใจ" เป็นพักๆ มันอยู่กับ "ใจ" ผมเป็นพักๆ แล้ว มันก็หายไป แล้วมันก็มาอีก วนไปเรื่อยๆ
ในบางขณะก็รู้สึกปิติ มีความสุขมากๆเพราะอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆน้ำตาก็ไหล คิดถึงแม่คิดถึงพ่อ สักพัก มันก็หายไป ทุกอย่างมันวนไปวนมาอยู่แบบนี้ จบวันที่ 3 ถึงได้พอ "เข้าใจ" เค้าลางๆว่า อ๋อ มันก็เป็นอย่างนั้นของมัน มันเป็นธรรมชาติของมันแบบนั้นจริงๆ มัน "มา" มัน "อยู่" แล้วมันก็ "ไป" เราไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย พอเริ่มเข้าใจแบบนี้แล้วผมก็ก้มหน้าก้มตาจับลิงของผมต่อไป 555
วันที่ 4 เป็นที่เริ่มใช้ลิงทำงาน
... โถๆ จับมันนั่งเฉยๆ มันยังไม่ค่อยจะนั่งเฉยๆได้นานเลย แต่ไม่เป็นไร อาจารย์บอกให้ทำก็ทำ คราวนี้ก็วิปัสสนาล่ะ ผมคงไม่อธิบายนะครับ เพลี้ยเหาไรไต่ตามขอบตาลปัตรอย่างผมคงไม่บังอาจจะอธิบายอะไรเกี่ยวกับ "วิปัสสนา" เอาว่า เป็นงานช้างอีกอย่างหนึ่งของลิงผม
"ทำ" เพื่อ "ทำ" ผมก็ท่องของผมแบบนี้ตลอด 10 วัน ก็พิจารณาเวทนา ไล่มันไปตั้งแต่กลางกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้า ไล่กลับขึ้นมา วนมันอยู่นั่นแหละ ทุกข์เพียบ พูดเลย มากระปริดกระปรอยบ้าง ถาโถมประดังเข้ามาบ้าง มาในทุกรูปแบบ หนาว ร้อน เจ็บ ปวด สั่น กระตุก คัน โอ้ย สารพัดครับ อาจาย์บอกว่า ทุกข์มาหาเราน่ะดีแล้ว เอามันมาเป็นเครื่องมือ มาเลยๆ ฉันจะมองเธอ ทุกข์ได้ทุกข์ไป ฉันเห็นฉันรู้แต่ไม่ทุกข์กับเธอหรอก ช่วงสุขก็เช่นกัน ฉันเห็นฉันรู้แต่ไม่สุขกับเธอหรอก
2600 ปีแล้วครับที่มีคนเป็นล้าน ฟัง อ่าน และ เรียน แต่ ณ.จุดนี้ ถ้าไม่ลงมือทำ ไม่มีทางเข้าใจประโยคนี้ "ฉันเห็นฉันรู้แต่ไม่ทุกข์(หรือสุข)กับเธอหรอก" ถึงวันนี้ผมไม่ได้บอกว่าผมเข้าใจ 100% นะครับ ผมแค่บอกว่า ผม "เริ่ม" เข้าใจบ้างแล้ว ยกระดับนิดหนึ่งจากแค่ "รู้" แต่รู้อะไรไหมครับ แค่เขยิบนิดเดียวกระพีกเดียวว่าเริ่มเข้าใจ ความรู้สึกทุกข์มันจางไปเยอะเลย ผมเลยไม่สงสัยเลยว่าคนที่เข้าใจมากๆลึกซึ้งจริงๆเขาจะสงบแค่ไหน
เข้าวันที่ 7 ใจผมรู้สึกเบามากๆ มันเงียบๆ สงบๆ บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ ว่างๆ โล่งๆ งงๆ ความรู้สึกตัวเอง แต่รวมๆแล้วก็ดีกว่าวันแรก
วันที่ 8 - 10 เป็นอะไรที่สบายๆชิวๆ ทุกข์กายทุกข์ใจมันก็ยังอยู่นะ ไม่ได้หายไปไหน มันก็มา มันก็อยู่ของมัน ผมก็เฉยๆ สักพักมันก็ไป เดี๋ยวมันก็มาอีก ผมเลย ช่างๆมัน
มีประสบการณ์แปลกๆอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมเรียกว่าเป็นครั้งแรกของชิวิตที่ผมรู้สึก คือ ผมรู้สึกว่าผมมี "ใบหู" เพราะปกติ ใบหูเป็นชิ้นเนื้อที่แบบว่า ถ้าไม่มีอะไรมาตกกระทบแล้วจะรู้สึกว่ามีชิ้นเนื้อนั้นอยู่ วันหนึ่งในขณะที่วิปัสสนา พิจารณาส่วนต่างๆของกาย ไล่ไปจนถึงใบหู จู่ๆจังหวะนั้นลิงผมคงนิ่งพอมังครับ ผมรู้สึกได้เลยว่ามีใบหูอยู่ตรงนั้น รู้ได้ถึงเส้นขอบ(profile) รูปร่าง(figure) ของมัน แต่แป๊บเดียวเองครับที่รู้สึกได้ ลิงผมมันก็ไปซะแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจครับ เฉยๆ อาจารย์บอกว่า ให้แค่รู้ แต่อย่าไปคาดหวังหรือดีใจไปกับมัน(ความรู้สึกดีๆที่มันมา) อย่างไปเสียใจไปกับมัน(ความรู้สึกแย่ๆที่มันไป)
จบ 10 วัน ...
ตอนผมขึ้นเขาไป ผมไปเหมือนซอมบี้ คิดแต่ว่า "ทำ" เพื่อ "ทำ" ถึงจะไม่ได้อะไรก็ได้ "ทำ" (ว่ะ) ถ้าจะได้อะไรลงมาก็เป็น "ของแถม" ติดก้นถ้วยชาของผมก็แล้วกัน กลายเป็นว่า ผมลงมาเป็นคนใหม่เลยครับ ของแถมที่ว่านั้น ผมยังใช้จนถึงทุกวันนี้ ผลข้างเคียงคือ นน.เพิ่มขึ้น (นน.กลับที่เดิม ฮือๆ) ไม่ต้องพึ่งยาคลายกังวล นอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิพิจารณาเวทนาสักพัก ก็สามารถหลับได้
ถามว่าทุกข์มันหายไปไหม มันไม่หาย มันก็อยู่ของมัน แต่วิธีที่ผมเอาใจผมไปเกี่ยวกับมันนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ภาษาเท่ห์ๆก็ต้องบอกว่า 10 รู้ ไม่เท่า 1 ทำ ต่อให้คนมาบอกผม แต่ถ้าผมไม่ขึ้นเขาไปทำ ผมก็ไม่เข้าใจ
คิดๆไปก็น่าแปลก ทุกข์ของคนล้านคนมันก็ล้านสาเหตุ ล้านที่มา(แห่งทุกข์) แต่กุญแจหรือมีธีแก้มันเป็นวิธีเดียวกัน ... แปลกดีเนอะ
จากความโกรธ แค้น กลายเป็นขอบคุณ ทุกวันนี้ผมขอบคุณทั้งเธอและเขาที่ทำให้ผมทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ถ้าไม่มีทุกข์นั้นที่เธอและเขานำมามอบให้ วันนี้ผมคงไม่เห็นไม่เข้าใจสิ่งที่ชาวพุทธเรียกว่า "ธรรม" ...
มีบางเรื่อง บางมุม ผมยังไม่กระจ่างนัก คงเพราะผมมันแค่บัวกลางๆน้ำ (ค่อนไปทางก้นๆสระบัว จวนๆจะได้เป็นอาหารเต่าที่ก้นสระ 555) และ ปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ เหมือนออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอนั่นแหละครับ ติดขัดอะไรก็ไม่มีใครให้ถาม สงกรานต์นี้จะไปอีกครั้ง คราวๆนี้ไม่ขึ้นเขาแล้ว ขออยู่ที่ราบบ้าง สงการนต์นี้ที่ธรรมอาภา ครับ
ยาวพอแล้ว ผมหวังว่าประสบการณ์เล็กๆของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธนี้คงจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ ผิดถูกอย่างไร ผมอาจจะไม่สามารถชี้แจงถ่ายทอดได้ดีนัก ผมก็แค่คนเคยทรมานเพราะความทุกข์คนหนึ่ง (ตอนนี้ก็ยังทุกข์อยู่แต่ทรมานน้อยลงมาก) เอาประสบการณ์มาแบ่งปัน และ ยืนยันนอนยันว่า เพื่อนๆชาวพุทธจงภูมิใจเถิดครับว่าพวกคุณมี "ของจริง" และ "ของดี" อยู่กับตัวแล้ว
ปล.ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนศาสนาและความเชื่อผมนะครับ "ของจริง" และ "ของดี" ของพวกคุณนั้นในความคิดผม มันคือ "ของกลาง หรือ ของสากล" ด้วยเช่นกัน หวังว่าพวกคุณคงไม่หวงและแบ่งปันให้คนต่างศาสนาใช้บ้างนะครับ
แบ่งปันประสบการณ์ เมื่อคนที่ไม่นับถือศาสนาพุทธไปนั่งวิปัสสนาที่โกเอนก้า
ถ้าจะละเลยที่มาที่ไปว่าทำไม ผมถึงได้ไปนั่งวิปัสสนาที่โกเอนก้า กระทู้คงจะไม่สมบูรณ์ เพราะจู่ๆทำไมคนที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาจะไปนั่งวิปัสสนา คงจะเป็นที่คาใจของผู้ที่มาอ่านกระทู้
ผมเกิดและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมทวิศาสนา คือ 2 ศาสนา โตมาในโรงเรียนพุทธ สังคมพุทธ เข้าวัดเวียนเทียน กราบพระ ถวายสังฆทาน ทำอะไรทุกอย่างที่คนพุทธทำ แถมทำได้อย่างกลมกลืน สมัยนี้ใช้คำว่าเนียน คือ ทำได้เนียนกว่าเพื่อนๆที่เป็นคนพุทธด้วยซ้ำ แต่ผมก็คงมีความเชื่อ และ ปฏิบัติศาสนกิจของผมเป็นประจำตามโอกาสอำนวย
สำหรับผมความเชื่อและศาสนาอยู่ที่ใจ กิจกรรมทางศาสนาเป็นเพียงเครื่องหมายภายนอก
ต่อมาได้ไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่เรียนจบ เริ่มที่การเร่ร่อนในย่านอัฟริกาและตะวันออกกลางหลายปี หลายประเทศ ก็จะรู้จัก มีเพื่อน เรียนรู้ ซึมซับ แนวคิด วัฒนธรรม ของศาสนาอิสลาม และ ชาวอาหรับ
หลังจากตะวันออกกลางก็มามีบ้านหลังที่สองที่อินเดีย คือมาประจำถาวรที่อินเดียนานหลายปี ก็ได้สัมผัสแนวคิด ศาสนาฮินดู พรามณ์ ซิกซ์ เต๋า รวมไปถึง ลัทธิแปลกๆมากมาย เช่น บูชาหนุมาน บูชาไฟ เจ้าแม่กาลี ไสบาบา ฤาษี นักพรต และ ความเชื่อยิบย่อยเยอะแยะ
"ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม"
วลีนี้คงเคยได้ยินกันมาบ่อยๆ ผมเองก็ได้ยินมาตั้งแต่เรียนสังคม ม.ต้น (สมัยผมวิชาพุทธศาสนาแทรกอยู่ในวิชาสังคม) ... รู้ แต่ไม่เคยเข้าใจ
วันหนึ่งวิกฤติเข้ามาในชีวิต ทุกข์มาก เจ็บใจ โศกเศร้า เสียใจ ผิดหวัง โกรธ เกลียด แค้น และ อยากล้างแค้น วันๆคิดแต่จะทำอย่างไรที่จะทำให้คนๆนั้นรู้สึกเหมือนเรา หรือ เจ็บยิ่งกว่าเรา ... แต่ทำอะไรไม่ได้
ถึงแม้หน้าที่ และ ความรับผิดชอบยังคงไม่ถูกกระทบ ยังทำหน้าที่และรับผิดชอบในสิ่งที่ต้องทำ ควรทำ ก็ยังคงทำได้อย่างไม่บกพร่อง แต่น้ำหนักลดฮวบ (อาจจะเป็นข้อดี เพราะตอนนั้นน้ำหนักเกินอยู่เยอะ 555) หน้าตานี่เพื่อนร่วมงานทักเลยว่าพี่เป็นอะไรไป นอนไม่ค่อยหลับ ต้องพึ่งยาคลายกังวล
... ไวน์และยาไม่ได้ช่วยอะไร แค่ทำให้หลับ แต่ตื่นมาก็ยังคงทุกข์ หันหน้าเข้าหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจทั้งของศาสนาตัวเอง และ เปิดรับแนวคิดของทุกๆสรรพวิชาคลายทุกข์
เริ่มขุดหนังสือธรรมมาอ่าน ไล่ไปจากของท่านพุทธทาส ท่าน ป. ท่านไพศาลฯ ก็พอรู้มาบ้างว่า ทุกข์ คืออะไร ทางดับทุกข์คืออะไร เพราะท่องเข้าห้องสอบมาตั้งแต่ใส่ขาสั้นเรียนหนังสือ ... แต่ไม่ได้ช่วยอะไร
ก่อนหน้าที่จะพบความทุกข์ มีน้องที่ทำงานไปปฏิบัติที่โกเอนก้า มาเล่าให้ฟังว่าเขาพบอะไรที่นั่น เขาเปลี่ยนไปอย่างไร ทุกคนในบริษัทก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน้องคนนี้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เขาชวนให้ไป ... แต่ไม่ได้ไป ... เพราะ ตอนนั้นยังไม่ทุกข์ !
วันที่ทุกข์จัดๆเลยคิดว่า เกิดอะไรขึ้นกับเรา อายุก็จะครึ่งศตวรรษอยู่แล้ว ความรู้และประสบการณ์มากมาย แต่ทำไม เกิดอะไรขึ้น
คิดถึงคำพูดที่น้องคนนั้นมาชวนไปปฏิบัติธรรม ก็เลยคิดว่าอยากจะลองดูซิว่ามันดีจริงหรือ มันช่วยได้จริงหรือ ในใจลึกๆก็คิดว่าต้องจริงซิ ถ้าไม่จริงจะผ่านการพิสูจน์มาได้ถึงสองพันหกร้อยปีแล้วได้อย่างไร
มาถึงตรงนี้ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้คิดจะเปลี่ยนศาสนานะครับ ผมแค่มองว่า "สิ่ง" ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วนำมาบอกพวกเราให้ "ทำ" ตามนั้นแล้วจะได้ "อะไร" นั้น ไม่ได้เป็นของพระองค์ เป็น "ความจริง" ที่มีอยู่ก่อนแล้วแต่ดั่งเดิมคู่มากับจักรวาลนี้ เพียงแต่ท่านพบแล้วนำมาบอก
อุปมาหยาบๆเหมือนกับ หมอบอกว่า ออกกำลังกายซิแล้วจะแข็งแรง หรือ กาลิเลโลบอกว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์นั่นแหละ หมอบอกหรือไม่บอก กาลิเลโลบอกหรือไม่บอก ถ้าออกกำลังกายร่างกายมันก็แข็งแรง โลกมันก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ อยู่ดี หมอและกาลิเลโอไม่ได้ทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น แต่ค้นพบ --> รู้ --> แล้วเอามาบอก
คำว่า "ทุกข์" นั่นคือเหตุผลที่ผมขึ้นเขาสังขบุรีไปปฏิบัติอยู่ 10 วัน เมื่อปลายปี 2558
ไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะได้อะไรกลับมา เททุกอย่างในสมองออกให้หมด ขึ้นเขาไปแบบไม่มีชาในถ้วย ไปทำอย่างที่อาจารย์โอเอนก้าบอกให้ทำ ไม่สงสัย ไม่ตั้งคำถาม "ทำ" เพื่อ "ทำ" อย่างเดียว จะให้ทำอะไรก็ทำ ตั้งใจทำให้ดีที่สุด ถ้าจะได้อะไรติดลงเขามาก็ถือว่าเป็นของแถม
เมื่อไม่หวัง ก็คงไม่ผิดหวัง คิดแค่นั้นจริงๆ เอาเสื้อผ้า 10 ชุดยัดใส่กระเป๋าลากไปขึ้นรถบัสฟรีของชมรมฯที่จัดให้แถวๆสายใต้ใหม่อย่างคนอมทุกข์ สภาพตอนนั้นอย่างซอมบี้ไม่ผิดเลยครับ
ถ้าอารมณ์และคลื่นสมองเป็นกราฟแท่ง ... วันแรกนี้ความปรี๊ดพุ่งขึ้นสูงสุดทะลุสเกลเลยครับ
ไม่ได้พูดจากอะไรกับใคร ปิดมือถือ จด เขียน อ่าน อะไรไม่ได้เลย นั่งสมาธิวันล่ะ 10 ชม. ตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง สังเกตุลมหายใจอย่างเดียวเลย ถ้าความคิดผมเหมือนลิง ก็คงเป็นลิงป่า ไม่เคยถูกฝึก พล่านเหมือนฟองน้ำเวลาน้ำเดือด กระจายเหมือนเอามือกำฝุ่นแล้วปาออกไปทวนกระแสลมที่พัดเข้ามา ฝุ่นมันก็เข้าหูเข้าตา แสบไปหมด อุปมาหยาบๆได้ราวๆนี้ ไม่ทราบจะอธิบายความ "ฟุ้ง" ของความคิดได้อย่างไรในวันแรก บอกเลยว่าเกิดมาจะครึ่งศตวรรษเพิ่งรู้ว่าความฟุ้งของความคิดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ในเมื่อตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ใส่ใจในผลลัพธ์ มา "ทำ" เพื่อ "ทำ" เท่านั้น ก็ทำไปตามตารางเวลา อย่างดีที่สุด ลิงมันวิ่งไป ก็จับมันมานั่ง มันนั่งได้เสี้ยววินาทีเดียวมันก็วิ่งไปอีก ผมก็จับมันมานั่งอีก อาจารย์ที่สอนบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่และความรับผิดชอบของเราที่ลิงจะนั่งได้นานแค่ไหน เพราะมันมีหลายปัจจัย (ภาษาวิศวกรอย่างผมเรียกว่า "ตัวแปร") ที่กำหนดว่าลิงจะนั่งได้นานแค่ไหน หน้าที่เราคือ เมื่อลิงมันลุกไป ก็ไปตามจับมันมานั่ง อาจารย์บอกให้ทำแค่นั้น ผมก็ทำอยู่แค่นั้น ทำอยู่ 3 วัน
ลิงผมมันก็อยู่กับที่ได้นานขึ้น แต่ก็ไม่ได้นานมากอะไร ซึ่งผมก็ไม่แคร์ ผมก็ทำไปเท่าที่อาจารย์ให้ทำ ... กราฟแท่งของอารมณ์และคลื่นสมองที่ว่ามันก็เตี้ยลงๆ
บทเรียนข้อแรกที่ผมได้จาก 3 วันแรกนี่คือสิ่งที่ผม "รู้" มาตั้งแต่เด็กเพราะท่องเข้าห้องสอบมาตลอด แต่ไม่เคย "เข้าใจ" เลย
"มันเกิดขึ้น มันคงอยู่ แล้วมันก็ไป"
... เพราะในระหว่างจับลิงให้นั่งนั้น ทุกขณะจะเกิดทุกข์ จากความเจ็บปวดร่างกาย ตรงโน้นบ้างนี้บ้าง ทุกข์ทางจิตใจ เพราะ ยังโศกเศร้า เจ็บ เสียใจ แค้น ฯลฯ จับลิงไปก็เห็นไปว่า ความทุกข์กายทุกข์ใจเหล่านี้ มันเกิดขึ้นมาใน "ใจ" เป็นพักๆ มันอยู่กับ "ใจ" ผมเป็นพักๆ แล้ว มันก็หายไป แล้วมันก็มาอีก วนไปเรื่อยๆ
ในบางขณะก็รู้สึกปิติ มีความสุขมากๆเพราะอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆน้ำตาก็ไหล คิดถึงแม่คิดถึงพ่อ สักพัก มันก็หายไป ทุกอย่างมันวนไปวนมาอยู่แบบนี้ จบวันที่ 3 ถึงได้พอ "เข้าใจ" เค้าลางๆว่า อ๋อ มันก็เป็นอย่างนั้นของมัน มันเป็นธรรมชาติของมันแบบนั้นจริงๆ มัน "มา" มัน "อยู่" แล้วมันก็ "ไป" เราไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย พอเริ่มเข้าใจแบบนี้แล้วผมก็ก้มหน้าก้มตาจับลิงของผมต่อไป 555
วันที่ 4 เป็นที่เริ่มใช้ลิงทำงาน
... โถๆ จับมันนั่งเฉยๆ มันยังไม่ค่อยจะนั่งเฉยๆได้นานเลย แต่ไม่เป็นไร อาจารย์บอกให้ทำก็ทำ คราวนี้ก็วิปัสสนาล่ะ ผมคงไม่อธิบายนะครับ เพลี้ยเหาไรไต่ตามขอบตาลปัตรอย่างผมคงไม่บังอาจจะอธิบายอะไรเกี่ยวกับ "วิปัสสนา" เอาว่า เป็นงานช้างอีกอย่างหนึ่งของลิงผม
"ทำ" เพื่อ "ทำ" ผมก็ท่องของผมแบบนี้ตลอด 10 วัน ก็พิจารณาเวทนา ไล่มันไปตั้งแต่กลางกระหม่อมลงไปถึงปลายเท้า ไล่กลับขึ้นมา วนมันอยู่นั่นแหละ ทุกข์เพียบ พูดเลย มากระปริดกระปรอยบ้าง ถาโถมประดังเข้ามาบ้าง มาในทุกรูปแบบ หนาว ร้อน เจ็บ ปวด สั่น กระตุก คัน โอ้ย สารพัดครับ อาจาย์บอกว่า ทุกข์มาหาเราน่ะดีแล้ว เอามันมาเป็นเครื่องมือ มาเลยๆ ฉันจะมองเธอ ทุกข์ได้ทุกข์ไป ฉันเห็นฉันรู้แต่ไม่ทุกข์กับเธอหรอก ช่วงสุขก็เช่นกัน ฉันเห็นฉันรู้แต่ไม่สุขกับเธอหรอก
2600 ปีแล้วครับที่มีคนเป็นล้าน ฟัง อ่าน และ เรียน แต่ ณ.จุดนี้ ถ้าไม่ลงมือทำ ไม่มีทางเข้าใจประโยคนี้ "ฉันเห็นฉันรู้แต่ไม่ทุกข์(หรือสุข)กับเธอหรอก" ถึงวันนี้ผมไม่ได้บอกว่าผมเข้าใจ 100% นะครับ ผมแค่บอกว่า ผม "เริ่ม" เข้าใจบ้างแล้ว ยกระดับนิดหนึ่งจากแค่ "รู้" แต่รู้อะไรไหมครับ แค่เขยิบนิดเดียวกระพีกเดียวว่าเริ่มเข้าใจ ความรู้สึกทุกข์มันจางไปเยอะเลย ผมเลยไม่สงสัยเลยว่าคนที่เข้าใจมากๆลึกซึ้งจริงๆเขาจะสงบแค่ไหน
เข้าวันที่ 7 ใจผมรู้สึกเบามากๆ มันเงียบๆ สงบๆ บอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ ว่างๆ โล่งๆ งงๆ ความรู้สึกตัวเอง แต่รวมๆแล้วก็ดีกว่าวันแรก
วันที่ 8 - 10 เป็นอะไรที่สบายๆชิวๆ ทุกข์กายทุกข์ใจมันก็ยังอยู่นะ ไม่ได้หายไปไหน มันก็มา มันก็อยู่ของมัน ผมก็เฉยๆ สักพักมันก็ไป เดี๋ยวมันก็มาอีก ผมเลย ช่างๆมัน
มีประสบการณ์แปลกๆอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมเรียกว่าเป็นครั้งแรกของชิวิตที่ผมรู้สึก คือ ผมรู้สึกว่าผมมี "ใบหู" เพราะปกติ ใบหูเป็นชิ้นเนื้อที่แบบว่า ถ้าไม่มีอะไรมาตกกระทบแล้วจะรู้สึกว่ามีชิ้นเนื้อนั้นอยู่ วันหนึ่งในขณะที่วิปัสสนา พิจารณาส่วนต่างๆของกาย ไล่ไปจนถึงใบหู จู่ๆจังหวะนั้นลิงผมคงนิ่งพอมังครับ ผมรู้สึกได้เลยว่ามีใบหูอยู่ตรงนั้น รู้ได้ถึงเส้นขอบ(profile) รูปร่าง(figure) ของมัน แต่แป๊บเดียวเองครับที่รู้สึกได้ ลิงผมมันก็ไปซะแล้ว ไม่ดีใจ ไม่เสียใจครับ เฉยๆ อาจารย์บอกว่า ให้แค่รู้ แต่อย่าไปคาดหวังหรือดีใจไปกับมัน(ความรู้สึกดีๆที่มันมา) อย่างไปเสียใจไปกับมัน(ความรู้สึกแย่ๆที่มันไป)
จบ 10 วัน ...
ตอนผมขึ้นเขาไป ผมไปเหมือนซอมบี้ คิดแต่ว่า "ทำ" เพื่อ "ทำ" ถึงจะไม่ได้อะไรก็ได้ "ทำ" (ว่ะ) ถ้าจะได้อะไรลงมาก็เป็น "ของแถม" ติดก้นถ้วยชาของผมก็แล้วกัน กลายเป็นว่า ผมลงมาเป็นคนใหม่เลยครับ ของแถมที่ว่านั้น ผมยังใช้จนถึงทุกวันนี้ ผลข้างเคียงคือ นน.เพิ่มขึ้น (นน.กลับที่เดิม ฮือๆ) ไม่ต้องพึ่งยาคลายกังวล นอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิพิจารณาเวทนาสักพัก ก็สามารถหลับได้
ถามว่าทุกข์มันหายไปไหม มันไม่หาย มันก็อยู่ของมัน แต่วิธีที่ผมเอาใจผมไปเกี่ยวกับมันนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ภาษาเท่ห์ๆก็ต้องบอกว่า 10 รู้ ไม่เท่า 1 ทำ ต่อให้คนมาบอกผม แต่ถ้าผมไม่ขึ้นเขาไปทำ ผมก็ไม่เข้าใจ
คิดๆไปก็น่าแปลก ทุกข์ของคนล้านคนมันก็ล้านสาเหตุ ล้านที่มา(แห่งทุกข์) แต่กุญแจหรือมีธีแก้มันเป็นวิธีเดียวกัน ... แปลกดีเนอะ
จากความโกรธ แค้น กลายเป็นขอบคุณ ทุกวันนี้ผมขอบคุณทั้งเธอและเขาที่ทำให้ผมทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ถ้าไม่มีทุกข์นั้นที่เธอและเขานำมามอบให้ วันนี้ผมคงไม่เห็นไม่เข้าใจสิ่งที่ชาวพุทธเรียกว่า "ธรรม" ...
มีบางเรื่อง บางมุม ผมยังไม่กระจ่างนัก คงเพราะผมมันแค่บัวกลางๆน้ำ (ค่อนไปทางก้นๆสระบัว จวนๆจะได้เป็นอาหารเต่าที่ก้นสระ 555) และ ปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ เหมือนออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอนั่นแหละครับ ติดขัดอะไรก็ไม่มีใครให้ถาม สงกรานต์นี้จะไปอีกครั้ง คราวๆนี้ไม่ขึ้นเขาแล้ว ขออยู่ที่ราบบ้าง สงการนต์นี้ที่ธรรมอาภา ครับ
ยาวพอแล้ว ผมหวังว่าประสบการณ์เล็กๆของคนที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธนี้คงจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ ผิดถูกอย่างไร ผมอาจจะไม่สามารถชี้แจงถ่ายทอดได้ดีนัก ผมก็แค่คนเคยทรมานเพราะความทุกข์คนหนึ่ง (ตอนนี้ก็ยังทุกข์อยู่แต่ทรมานน้อยลงมาก) เอาประสบการณ์มาแบ่งปัน และ ยืนยันนอนยันว่า เพื่อนๆชาวพุทธจงภูมิใจเถิดครับว่าพวกคุณมี "ของจริง" และ "ของดี" อยู่กับตัวแล้ว
ปล.ผมก็ไม่ได้เปลี่ยนศาสนาและความเชื่อผมนะครับ "ของจริง" และ "ของดี" ของพวกคุณนั้นในความคิดผม มันคือ "ของกลาง หรือ ของสากล" ด้วยเช่นกัน หวังว่าพวกคุณคงไม่หวงและแบ่งปันให้คนต่างศาสนาใช้บ้างนะครับ