La La Land
.
"ทางของฉัน ฝันของเธอ"
.
เป็นการดูภาพยนตร์เพลงเรื่องแรกในชีวิตที่ประทับใจและอิ่มเอมใจมาก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าภาพยนตร์ที่มีแต่เพลงจะดูเพลินได้ขนาดนี้และทำให้ 120 กว่านาทีมันไม่มีคำว่าเบื่อหน่ายเลย
.
การเดินเรื่องของ La La Land ก็จะมาในสไตล์ละครเวทีคือการร้องเพลงไปด้วยและพูดคุยธรรมดากันไปด้วยแต่แทนที่มันจะดูขัด ๆ ขาด ๆ เกิน ๆ กลับพบว่าไม่ว่าตัวละครจะร้องเพลงหรือพูดคุยหรือทำอะไรก็ตามทุกอย่างมันดูน่าดึงดูดและน่าสนใจจนไม่อยากจะละสายตาไปได้เลย
.
ขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์แนวละครเพลงแล้วแน่นอว่าบทเพลงในเรื่องนี้ขนกันมาให้ฟังเพียบชนิดที่ว่าต่อให้เข้ามาฟังเพลงอย่างเดียวก็คุ้มค่าแล้วล่ะ ซึ่งเพลงแต่ละเพลงที่ใส่มาก็มีความหมายต่อฉากนั้น ๆ มากหรือจะเป็นช่วงเวลาที่นักแสดงร้องเพลงก็ไพเราะสุด ๆ จนไม่อยากให้เขา/เธอหยุดร้องเพลงเลย นอกจากนี้ก็ยังมีดนตรีแจ๊สที่บอกตรง ๆ ว่าเมื่อก่อนฟังไม่รู้เรื่องแต่พอมาดู La La Land ก็เหมือนได้เปิดโลกดนตรีอีกแขนงที่ทำให้เพลงแจ๊สไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
.
นอกจากเพลงแล้วก็มีเรื่องราวความรักของคู่พระ-นางที่โรแมนติก ม๊ากกกก ชวนเพ้อฝันแต่ก็ดูเรียลจับต้องได้เหมือนกันมีโมเม้นท์กุ๊กกิ๊กมุ้งมิ้งน่ารักเคมีของ ไรอัล กอสลิ่ง และ เอ็มม่า สโตน เข้าขากันมากมายในเวลาที่ทั้งคู่เข้าฉากดูแล้วรู้สึกน่ารักซะมากกว่าหวานเลี่ยนและยังทำให้รู้ว่าการแสดงซ้อนการแสดงอีกทีมันเป็นอะไรที่ยากมาก ๆ ทีเดียวแต่ว่าทั้งสองทำได้และทำได้ดีมาก ๆ เสียด้วย
.
จะเป็นความรักก็ดีหรือบทเพลงก็ดีอีกอย่างที่ La La Land สื่อได้ชัดเจนก็คือความฝัน ความหวัง การไปให้ถึงจุดหมายในแบบอเมริกันดรีมซึ่งหนังเรื่องนี้สื่อว่าอย่ายอมแพ้กับอุปสรรคหรือทุกความห่าเหวที่เข้ามานะแค่ยิ้มรับและสู้ต่อไปแล้วความสำเร็จก็จะเข้ามาหาเอง
.
ยังมีอีกมากที่ต้องชมในเรื่องของฉากประกอบที่ออกแบบทำอกกมาได้ย้อนยุคมากทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในยุค 70s-80s อะไรทำนองนั้นหรือเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเรากำลังดูหนังเพลงยุคเก่าจริง ๆ (แต่ก็ดูร่วมสมัยไม่เชยด้วยนะ) งานภาพการถ่ายภาพในเรื่องนี้ก็สวยมาก ๆ ลงตัวจนแทบอยากจะแคปเจอร์บางฉากไปเป็นภาพพื้นหลังบนมือถือหรือจอคอมกันเลยทีเดียวหรือจะเป็นการจัดแสงสีของเรื่องที่ฉูดฉาดแต่ลงตัวดูสบายตาอย่างบอกไม่ถูกเชื่อว่าต่อให้ดูภาพเฉย ๆ ไม่ต้องมีบทพูดอะไรก็สามารถสื่อได้เลยว่ามันกำลังสื่อถึงอะไร
.
ขอชมในเรื่องของเพลง/ฉาก/งานภาพ อีกหน่อยที่นอกจากจะสวยงามลงตัวแล้วยังให้ความอลังการ EPIC มากมันเล่นกับความรู้สึกของคนดูให้เพลิดเพลินสุด ๆ ทุกอย่างดูเล่นใหญ่แต่ก็ไม่โอเว่อร์เกินไปเหมือนผู้กำกับรู้ว่าจุดนี้ควรใส่อะไรลงไปหรือจุดนั้นควรเสริมอะไรเข้าไป
.
สิ่งพิเศษที่หนังหลายเรื่องไม่อาจมอบให้ได้แต่ La La Land ทำได้ก็คือการเดินเรื่องที่ถือว่าไม่มีจุดพีคสูง ๆ ใด ๆ แต่กลับดูได้เพลินน่าติดตามอย่างไม่น่าเชื่อเป็น 2 ชั่วโมง 8 นาทีที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม และก็ยอดเยี่ยมจริง ๆ และอยากจะให้หนังยืดเวลาไปอีก 1 ชั่วโมงไปเลย (ถ้าทำได้น่ะนะ)
.
เทคนิคการถ่ายทำเด่น ๆ ก็คงไม่พ้นการถ่ายแบบ Long Take ซึ่งก็มาให้เห็นกันอีกแล้วแม้จะไม่เยอะมหาศาลเท่า Bird Man แต่ก็ดูเพอร์เฟ็คและส่วนตัวชอบการถ่ายทำแบบนี้อยู่แล้วพอมาเจออะไรแบบนี้ในหนังก็ยิ่งเพิ่มความชอบเข้าไปอีก
.
ก็สมกับการที่หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำไปมากมายเป็นการทำภาพยนตร์อีกเรื่องที่โหด เล่นใหญ่ อลังการแต่ก็นุ่มนวลกลมกล่อมเพลิดเพลินจนลืมเวลา เพลงเพราะ นักแสดงเล่นได้เข้าถึงโดดเด่นเจิดจรัสบนจอไม่ว่าจะเป็น เอ็มม่า สโตน หรือ ไรอัล กอสลิ่ง งานภาพแสงสีสุดยอดก็ไม่รู้จะชมอะไรอีกแล้วนอกจากจะบอกว่า....
.
I LOVE THIS MOVIE!!
.
“ฝันให้ไกลก็ต้องไปให้ถึง”
.
“S Rank” (10/10)
ที่มา -
https://www.facebook.com/myinnermovie/
[Review] - La La Land
.
"ทางของฉัน ฝันของเธอ"
.
เป็นการดูภาพยนตร์เพลงเรื่องแรกในชีวิตที่ประทับใจและอิ่มเอมใจมาก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าภาพยนตร์ที่มีแต่เพลงจะดูเพลินได้ขนาดนี้และทำให้ 120 กว่านาทีมันไม่มีคำว่าเบื่อหน่ายเลย
.
การเดินเรื่องของ La La Land ก็จะมาในสไตล์ละครเวทีคือการร้องเพลงไปด้วยและพูดคุยธรรมดากันไปด้วยแต่แทนที่มันจะดูขัด ๆ ขาด ๆ เกิน ๆ กลับพบว่าไม่ว่าตัวละครจะร้องเพลงหรือพูดคุยหรือทำอะไรก็ตามทุกอย่างมันดูน่าดึงดูดและน่าสนใจจนไม่อยากจะละสายตาไปได้เลย
.
ขึ้นชื่อว่าเป็นภาพยนตร์แนวละครเพลงแล้วแน่นอว่าบทเพลงในเรื่องนี้ขนกันมาให้ฟังเพียบชนิดที่ว่าต่อให้เข้ามาฟังเพลงอย่างเดียวก็คุ้มค่าแล้วล่ะ ซึ่งเพลงแต่ละเพลงที่ใส่มาก็มีความหมายต่อฉากนั้น ๆ มากหรือจะเป็นช่วงเวลาที่นักแสดงร้องเพลงก็ไพเราะสุด ๆ จนไม่อยากให้เขา/เธอหยุดร้องเพลงเลย นอกจากนี้ก็ยังมีดนตรีแจ๊สที่บอกตรง ๆ ว่าเมื่อก่อนฟังไม่รู้เรื่องแต่พอมาดู La La Land ก็เหมือนได้เปิดโลกดนตรีอีกแขนงที่ทำให้เพลงแจ๊สไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป
.
นอกจากเพลงแล้วก็มีเรื่องราวความรักของคู่พระ-นางที่โรแมนติก ม๊ากกกก ชวนเพ้อฝันแต่ก็ดูเรียลจับต้องได้เหมือนกันมีโมเม้นท์กุ๊กกิ๊กมุ้งมิ้งน่ารักเคมีของ ไรอัล กอสลิ่ง และ เอ็มม่า สโตน เข้าขากันมากมายในเวลาที่ทั้งคู่เข้าฉากดูแล้วรู้สึกน่ารักซะมากกว่าหวานเลี่ยนและยังทำให้รู้ว่าการแสดงซ้อนการแสดงอีกทีมันเป็นอะไรที่ยากมาก ๆ ทีเดียวแต่ว่าทั้งสองทำได้และทำได้ดีมาก ๆ เสียด้วย
.
จะเป็นความรักก็ดีหรือบทเพลงก็ดีอีกอย่างที่ La La Land สื่อได้ชัดเจนก็คือความฝัน ความหวัง การไปให้ถึงจุดหมายในแบบอเมริกันดรีมซึ่งหนังเรื่องนี้สื่อว่าอย่ายอมแพ้กับอุปสรรคหรือทุกความห่าเหวที่เข้ามานะแค่ยิ้มรับและสู้ต่อไปแล้วความสำเร็จก็จะเข้ามาหาเอง
.
ยังมีอีกมากที่ต้องชมในเรื่องของฉากประกอบที่ออกแบบทำอกกมาได้ย้อนยุคมากทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในยุค 70s-80s อะไรทำนองนั้นหรือเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเรากำลังดูหนังเพลงยุคเก่าจริง ๆ (แต่ก็ดูร่วมสมัยไม่เชยด้วยนะ) งานภาพการถ่ายภาพในเรื่องนี้ก็สวยมาก ๆ ลงตัวจนแทบอยากจะแคปเจอร์บางฉากไปเป็นภาพพื้นหลังบนมือถือหรือจอคอมกันเลยทีเดียวหรือจะเป็นการจัดแสงสีของเรื่องที่ฉูดฉาดแต่ลงตัวดูสบายตาอย่างบอกไม่ถูกเชื่อว่าต่อให้ดูภาพเฉย ๆ ไม่ต้องมีบทพูดอะไรก็สามารถสื่อได้เลยว่ามันกำลังสื่อถึงอะไร
.
ขอชมในเรื่องของเพลง/ฉาก/งานภาพ อีกหน่อยที่นอกจากจะสวยงามลงตัวแล้วยังให้ความอลังการ EPIC มากมันเล่นกับความรู้สึกของคนดูให้เพลิดเพลินสุด ๆ ทุกอย่างดูเล่นใหญ่แต่ก็ไม่โอเว่อร์เกินไปเหมือนผู้กำกับรู้ว่าจุดนี้ควรใส่อะไรลงไปหรือจุดนั้นควรเสริมอะไรเข้าไป
.
สิ่งพิเศษที่หนังหลายเรื่องไม่อาจมอบให้ได้แต่ La La Land ทำได้ก็คือการเดินเรื่องที่ถือว่าไม่มีจุดพีคสูง ๆ ใด ๆ แต่กลับดูได้เพลินน่าติดตามอย่างไม่น่าเชื่อเป็น 2 ชั่วโมง 8 นาทีที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม และก็ยอดเยี่ยมจริง ๆ และอยากจะให้หนังยืดเวลาไปอีก 1 ชั่วโมงไปเลย (ถ้าทำได้น่ะนะ)
.
เทคนิคการถ่ายทำเด่น ๆ ก็คงไม่พ้นการถ่ายแบบ Long Take ซึ่งก็มาให้เห็นกันอีกแล้วแม้จะไม่เยอะมหาศาลเท่า Bird Man แต่ก็ดูเพอร์เฟ็คและส่วนตัวชอบการถ่ายทำแบบนี้อยู่แล้วพอมาเจออะไรแบบนี้ในหนังก็ยิ่งเพิ่มความชอบเข้าไปอีก
.
ก็สมกับการที่หนังเรื่องนี้ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำไปมากมายเป็นการทำภาพยนตร์อีกเรื่องที่โหด เล่นใหญ่ อลังการแต่ก็นุ่มนวลกลมกล่อมเพลิดเพลินจนลืมเวลา เพลงเพราะ นักแสดงเล่นได้เข้าถึงโดดเด่นเจิดจรัสบนจอไม่ว่าจะเป็น เอ็มม่า สโตน หรือ ไรอัล กอสลิ่ง งานภาพแสงสีสุดยอดก็ไม่รู้จะชมอะไรอีกแล้วนอกจากจะบอกว่า....
.
I LOVE THIS MOVIE!!
.
“ฝันให้ไกลก็ต้องไปให้ถึง”
.
“S Rank” (10/10)
ที่มา - https://www.facebook.com/myinnermovie/