โหลๆ สำหรับทุกท่านที่ติดตามคดีนี้อยู่ เนื่องจากเราได้อ่านคำพพษ. ทั้งสามศาลแล้ว จึงอยากจะสรุปเหตุผลที่ศาลลงโทษจำเลย
เนื่องจากเห็นหลายท่านยังมีข้อสงสัย และเอาไว้เป็นข้อมูลในการติดตามคดีต่อไปค่ะ
-------------
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับขี่รถกระบะด้วยความประมาทชนผู้ตายที่ขี่รถจักรยานสวนมาถึงแก่ความตาย
เหตุเกิดวันที่ 11 มีค 48 ที่ อ. เรณูนคร จ. นครพนม เวลา 20 น.
ศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกข้อหาประมาททำให้คนตาย 3 ปี ข้อหาไม่หยุดช่วยและไม่ไปรายงานตัวกับจนท. 2 เดือน รวม คุก 3 ปี 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง
ศาลฎีกา พิพากษากลับ (ลงตามศาลชั้นต้น)
ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เพราะโจทก์จำเลยมีพิรุธทั้งคู่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ส่วนศาลชั้นต้นและศาลฎีกาวินิจฉัยตรงกัน โดยวินิจฉัย 2 ประเด็น คือ
1) รถที่ชนคือรถคันใด
- โจทก์มีประจักษ์พยานคือนาง ท. ยืนยันว่ารถที่ชนหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ซึ่งตรวจพบว่าเป็นรถของนาย ป.(เป็นทั้งพยานโจทก์และพยานจำเลย)
- นาย ป.ให้การว่าซื้อและรับโอนรถมาจากจำเลยในวันที่เกิดเหตุ แต่จำเลยขอเอารถไปใช้ต่อ ตอนเย็นจะเอามาคืนให้ แต่ก็ไม่ได้คืน
จนนาย ป. ไปรับรถตอนเช้าอีกวัน และพบว่ารถมีรอยครูดใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
- ตำรวจได้นำรถไปตรวจสอบพบว่าที่ฝากระโปรงรถมีรอยครูดเก่าสนิมขึ้น กับรอยครูดใหม่ รวม 2 รอย
- กองพิสูจน์หลักฐานตรวจชิ้นส่วนของรถจักรยานผู้ตายที่มีสีเขียวติดอยู่ กับ แผ่นป้ายทะเบียนรถกระบะ พบว่าเป็นสีเขียวชนิดเดียวกัน
- พยานหลักฐานทั้งหมดมีน้ำหนักเชื่อว่า รถคันก่อเหตุคือรถกระบะ บค 56 สกลนคร ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลย
2) ใครคือคนขับ
- แม้นาง ท. จะเบิกความว่าเห็นผู้ชายลงมาจากรถ และ นาย ท. ซึ่งเป็นญาติผู้ตาย ก็เบิกความว่านาง ท. มาเล่าให้ฟังเช่นนั้น
แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของทั้งสองคน ซึ่งได้ให้การใกล้ชิดกับวันเวลาที่เกิดเหตุ ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ
โดยนาง ท. เบิกความว่าได้แจ้ง พนส. แล้ว แต่ พนส. ไม่บันทึก ศาลเห็นว่าในบันทึกคำให้การระบุรายละเอียดเหตุการณ์อย่างละเอียดเป็นขั้นตอน
จึงไม่มีเหตุผลที่ พนส. จะไม่บันทึกเรื่องสำคัญเช่นนั้น และไม่เชื่อว่า พนส. จะจงใจไม่บันทึกให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย เนื่องจากในขณะสอบปากคำ
ยังไม่ทราบว่าเจ้าของรถเพศอะไร เพราะสอบสวนเมื่อวันที่ 13 มีค 48(หลังเกิดเหตุ 2 วัน) แต่หนังสือแจ้งชื่อเจ้าของรถจาก สนง. ขนส่งสกลนครลงวันที่ 16 มีค 48
คำให้การในชั้นสอบสวนจึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา
- จำเลยมีแค่นาง ย. เบิกความเป็นพยานเรื่องที่อยู่ แต่เป็นญาติกัน น้ำหนักน้อย
- แม้พยานจำเลยที่เป็นหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบสภาพรถ สนง. ขนส่งนครพนม จะเบิกความว่าสีเขียวที่ใช้ที่ขอบป้ายทะเบียนรถนั้นเหมือนกันทั่วประเทศ
แม้เป็นความจริง แต่พยานหลักฐานโจทก์มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งศาลวินิจฉัยอย่างละเอียดไม่ได้รับฟังแค่ผลการพิสูจน์สีเขียว
- จำเลยมีบันทึกยืนยันสภาพรถว่ารอยครูดเป็นรอยเก่า ไม่มีรอยใหม่ ก็ไม่ปรากฏว่าทำบันทึกเมื่อใด ไม่พอฟังหักล้างโจทก์ได้
- จากทั้งหมดนี้ ศาลปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
--------
"คดีครูแพะ" สรุปจากคำพิพากษา เหตุใดศาลฎีกาจึงตัดสินลงโทษ
เนื่องจากเห็นหลายท่านยังมีข้อสงสัย และเอาไว้เป็นข้อมูลในการติดตามคดีต่อไปค่ะ
-------------
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับขี่รถกระบะด้วยความประมาทชนผู้ตายที่ขี่รถจักรยานสวนมาถึงแก่ความตาย
เหตุเกิดวันที่ 11 มีค 48 ที่ อ. เรณูนคร จ. นครพนม เวลา 20 น.
ศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกข้อหาประมาททำให้คนตาย 3 ปี ข้อหาไม่หยุดช่วยและไม่ไปรายงานตัวกับจนท. 2 เดือน รวม คุก 3 ปี 2 เดือน
ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง
ศาลฎีกา พิพากษากลับ (ลงตามศาลชั้นต้น)
ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง เพราะโจทก์จำเลยมีพิรุธทั้งคู่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ส่วนศาลชั้นต้นและศาลฎีกาวินิจฉัยตรงกัน โดยวินิจฉัย 2 ประเด็น คือ
1) รถที่ชนคือรถคันใด
- โจทก์มีประจักษ์พยานคือนาง ท. ยืนยันว่ารถที่ชนหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ซึ่งตรวจพบว่าเป็นรถของนาย ป.(เป็นทั้งพยานโจทก์และพยานจำเลย)
- นาย ป.ให้การว่าซื้อและรับโอนรถมาจากจำเลยในวันที่เกิดเหตุ แต่จำเลยขอเอารถไปใช้ต่อ ตอนเย็นจะเอามาคืนให้ แต่ก็ไม่ได้คืน
จนนาย ป. ไปรับรถตอนเช้าอีกวัน และพบว่ารถมีรอยครูดใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
- ตำรวจได้นำรถไปตรวจสอบพบว่าที่ฝากระโปรงรถมีรอยครูดเก่าสนิมขึ้น กับรอยครูดใหม่ รวม 2 รอย
- กองพิสูจน์หลักฐานตรวจชิ้นส่วนของรถจักรยานผู้ตายที่มีสีเขียวติดอยู่ กับ แผ่นป้ายทะเบียนรถกระบะ พบว่าเป็นสีเขียวชนิดเดียวกัน
- พยานหลักฐานทั้งหมดมีน้ำหนักเชื่อว่า รถคันก่อเหตุคือรถกระบะ บค 56 สกลนคร ที่อยู่ในความครอบครองของจำเลย
2) ใครคือคนขับ
- แม้นาง ท. จะเบิกความว่าเห็นผู้ชายลงมาจากรถ และ นาย ท. ซึ่งเป็นญาติผู้ตาย ก็เบิกความว่านาง ท. มาเล่าให้ฟังเช่นนั้น
แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของทั้งสองคน ซึ่งได้ให้การใกล้ชิดกับวันเวลาที่เกิดเหตุ ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ
โดยนาง ท. เบิกความว่าได้แจ้ง พนส. แล้ว แต่ พนส. ไม่บันทึก ศาลเห็นว่าในบันทึกคำให้การระบุรายละเอียดเหตุการณ์อย่างละเอียดเป็นขั้นตอน
จึงไม่มีเหตุผลที่ พนส. จะไม่บันทึกเรื่องสำคัญเช่นนั้น และไม่เชื่อว่า พนส. จะจงใจไม่บันทึกให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย เนื่องจากในขณะสอบปากคำ
ยังไม่ทราบว่าเจ้าของรถเพศอะไร เพราะสอบสวนเมื่อวันที่ 13 มีค 48(หลังเกิดเหตุ 2 วัน) แต่หนังสือแจ้งชื่อเจ้าของรถจาก สนง. ขนส่งสกลนครลงวันที่ 16 มีค 48
คำให้การในชั้นสอบสวนจึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา
- จำเลยมีแค่นาง ย. เบิกความเป็นพยานเรื่องที่อยู่ แต่เป็นญาติกัน น้ำหนักน้อย
- แม้พยานจำเลยที่เป็นหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบสภาพรถ สนง. ขนส่งนครพนม จะเบิกความว่าสีเขียวที่ใช้ที่ขอบป้ายทะเบียนรถนั้นเหมือนกันทั่วประเทศ
แม้เป็นความจริง แต่พยานหลักฐานโจทก์มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งศาลวินิจฉัยอย่างละเอียดไม่ได้รับฟังแค่ผลการพิสูจน์สีเขียว
- จำเลยมีบันทึกยืนยันสภาพรถว่ารอยครูดเป็นรอยเก่า ไม่มีรอยใหม่ ก็ไม่ปรากฏว่าทำบันทึกเมื่อใด ไม่พอฟังหักล้างโจทก์ได้
- จากทั้งหมดนี้ ศาลปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดจริงตามฟ้อง
--------