สวัสดีค่ะ วันนี้เราไปเที่ยว
'ปีนัง' กันดีกว่าค่ะ
จริง ๆ แล้วทริปนี้ไปมานานพอสมควรแล้ว รวมระยะเวลาทั้งหมดทั้งมวลก็ 9 วัน เอาแบบคร่าว ๆ เลยก็คือ
นั่งรถไฟไปมาเลเซีย - ข้ามเรือไปปีนัง - นั่งรถทัวร์เข้ากัวลาลัมเปอร์ - นั่งรถทัวร์ต่อไปมะละกา - นั่งรถทัวร์ข้ามด่าน Woodland ไปสิงคโปร์
แต่วันนี้เราว่ามากันด้วยปีนังกันก่อนดีกว่า อิอิ
ด้วยความที่เป็นทริปแรกที่เดินทางไปต่างประเทศคนเดียว ก็เลยเตรียมตัวด้วยการอ่านรีวิวรัว ๆ ๆ ๆ ใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 1 เดือนสำหรับทั้งทริป ต้องขอขอบคุณข้อมูลต่าง ๆ ในห้องบลูแพลเน็ตนี่แหล่ะค่ะ ได้อะไรเยอะเลย
ทำความรู้จักปีนัง
ปีนังจริง ๆ แล้วเป็นเกาะ ๆ หนึ่งของประเทศมาเลเซีย แต่ก็มีสถานะมีเป็นรัฐ ๆ หนึ่งด้วยเช่นกัน (อาจจะเปรียบได้เหมือนกันเกาะภูเก็ตบ้านเราอ่ะ) ประชากรส่วนใหญ่ของปีนังแบ่งออกได้เป็น 3 เชื้อชาติหลัก ๆ คือ มาเล อินเดีย และจีน โดยทั้ง 3 เชื้อชาตินี้เป็นประชากรหลักของมาเลเซีย ส่วนสัดส่วนความมากน้อยยังไงก็ขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติมาอยู่รวมกันทำให้เกิดวัฒนธรรมและหลายสิ่งหลายอย่างที่มีความหลากหลายมากขึ้น จึงเรียกได้ว่า ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบผสม
รู้จักกันพอหอมปากหอมคอ เราไปเที่ยวปีนังก่อนดีกว่า !
ทริปนี้เริ่มต้นที่ 'หัวลำโพง' สถานีรถไฟหลัก อันเก่าแก่ของประเทศไทยเรา เราจะเดินทางไปเมือง Butterworth ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของรถไฟระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ - บัตเตอร์เวิร์ธ ขบวนที่ 35 ของเรานี้เอง รถไฟขบวนนี้ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 22 ชั่วโมง ผ่านด่านที่ด่านบาดังเบซา จากนั้นรถจะเปลี่ยนหัวรถจักรเป็นของประเทศมาเลเซีย หลังจากนั้นแล้วเราจะต้องเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกันแล้วนะจ๊ะ
ค่าตั๋ว : เรานอนเตียงล่าง ราคา 1,210 บาท เตียงบนก็จะถูกกว่านิดหน่อย
แนะนำ : จองที่นั่งตั้งแต่ 18 - 22 จะอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นปลั๊กไฟได้
ขึ้นมาบนรถแล้วตอนแรกก็คิดนะว่าจะเบื่อ แต่จริง ๆ แล้วไม่เลย แม้ว่าจะต้องนั่งนานเกือบ 1 วัน เพราะว่าระหว่างทางมีอะไรให้ดูมากมายเหลือเกิน มีความสุขไปวิวข้างทาง นั่งคุยกับเพื่อนใหม่ เดินเล่นไปโบกี้อาหาร (ราคาแรงพอสมควร)
แนะนำ : ควรเตรียมอาหารการกิน ขนมขบเคี้ยวเอาไว้ซักหน่อย เพราะว่าอาหารที่โบกี้อาหาร ราคาแพงพอสมควร แต่ระหว่างทางตอนแวะตามสถานีต่าง ๆ ก็จะมีแม่ค้าพ่อขายขึ้นมาขายของอยู่บ้าง

...
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ก็ถึงสถานีหาดใหญ่ อันนี้คือมีความอยากส่วนตัวในการกิน 'ไก่ทอดหาดใหญ่' ได้ยินมานานแล้ว แม้จะมาถึงแค่สถานีรถไฟก็อยากจะลองกินดูซักที
ชุดนี้ราคา 40 บาท มีไก่ทอดและข้าวเหนียว ใครอยากจะได้น้ำหวานมาล้างปาก ก็มีให้เลือกหลายน้ำเลย

เมื่อเดินทางมาถึงด่านบาดังเบซา เราจะต้อง
ขนของทุกสิ่งอันของเราลงไปกับเราด้วยเพื่อทำเรื่องผ่านแดน บางคนอาจจะโดนรื้อของบ้าง แต่เราก็ทำหน้าซื่อตาใสผ่านมาแบบชิว ๆ 555+
...
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกอีกเช่นเคย ประมาณ 12 นาฬิกาบ้านเรา หรือ บ่ายโมงที่มาเลเซีย (เวลาเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง) เราก็เดินทางกันมาถึงเมือง Butterworth กันแล้ว !!!! เย้ คราวนี้ก็เดินออกมาจากรถแบบงง ๆ ... ไปทางไหนต่อล่ะเนี่ยยยย
... เดินตามคนอื่นไป จะต้องเดินขึ้นไปบนสถานีก่อน คราวนี้เป้าหมายต่อไปของเราคือข้ามเรือไปเกาะปีนัง ดังนั้นก่อนอื่นเราจะต้องหาท่าเรือ
จากสถานีรถไฟให้เดินออกมาด้านนอก ข้ามฝั่งไปจะเจอสถานีรถบัส (เราซื้อตั๋วรอบเที่ยงคืนของอีกคืนเพื่อไปกัวลาลัมเปอร์เอาไว้เลย) จากนั้นจะเห็นคำว่า FERRY แล้วหลังจากนั้น จงยึดคติที่ว่า
จงตาม FERRY ไป แล้วทุกอย่างจะดีเอง
ระยะทางไปถึงท่าเรือ FERRY ค่อนข้างไกลพอสมควร หลังจากนั้นเราจะต้องนั่งรอจนกว่าเรือจะมา เรือจะออกทุก ๆ 1 ชั่วโมงและรอบสุดท้ายจากเกาะปีนังข้ามมาฝั่งพื้นดินคือ 5 ทุ่ม เราจำราคาตั๋วไม่ได้ แต่ว่าไม่แพง
แนะนำ : ค่าตั๋วเรือ FERRY ไม่แพง ถ้ามีเหรียญเติมให้พอดีจำนวนจะไม่ต้องไปต่อคิวเข้าแถวแลกเหรียญ ซึ่งก็ไม่ได้ยาวมากเท่าไหร่
ตั๋วเรือ ซื้อแค่ครั้งเดียว คือ ขาข้ามไปปีนัง ขากลับมาจากเกาะ ไม่ต้องซื้อแล้วไปรอขึ้นเรือได้เลย
... ขึ้นเรือมาแว้ววว ... ใช้เวลาประมาณ 30 - 45 นาที แล้วแต่แรงลมและกระแสคลื่น แต่ว่าเรือใหญ่ไม่น่ากลัว เป็นเรือที่สามารถเอารถขึ้นไปได้อ่ะ

เหยียบแผ่นดิน ปีนัง !!!!!!!
ปีนังแล้วจ้าา เดินขึ้นฝั่งมาก็ตามหา Bus Station เลย เราจะไปเข้าที่พักกันก่อนที่จองผ่านแอพเอาไว้ เราใช้ Booking นะ พอดีใช้ตัวนี้เป็นประจำอยู่แล้ว สิ่งที่เรามองหาคือสาย 101 แต่พอดีไปเจอพี่คนไทยและน้องคนไทย 2 คน แกก็พาขั้นรถ CAM ซึ่งจะวิ่งวนรอบเมืองแบบ
ฟรี ด้วยรถสายนี้เราจะผ่านไปลงสถานีที่ 5 หน้าโบสถ์ St.จอร์จกัน ซึ่งเป็นถนนคือคู่ขนานไปกับถนนจูเลีย เดินต่อไปอีกนิดจะเจอ Love lane สถานที่ยอดฮิตของเหล่า Backpacker อย่างเรา ๆ ...หราาา 555+

...
เช็คอินเรียบร้อย เก็บข้าว เก็บของ เรียบร้อย คืนนี้นอน hostel มี Roommate มาจากออสเตรเลียและอเมริกา Dorm หญิงนะ 55+
คราวนี้เราใช้ Couchsurfing มาก่อนหน้านี้แล้ว นัดกับเพื่อนเรียบร้อย ว่าจะมาเจอกันที่หน้า 711 ถนน Love lane ระหว่างรอเราก็ไปจัดแจงหาซื้อซิมโทรศัพท์ ถามจากเจ้าของ hostel มาแล้ว เขาบอกว่า 711 ได้ เราก็จัดไปจ่ะ
แนะนำ : เราซื้อซิมเน็ตเพราะว่าเน้นใช้เน็ตมากกว่าโทร ... ก็ไม่รู้จะโทรหาใครอ่ะนะ 555+ เวลาซื้อจะต้องใช้ passport ด้วย หลังจากนั้นพนักงานจะดำเนินการให้ทุกอย่างจนใช้ได้เลย
ระหว่างรอเพื่อนก็ไปเดินเล่นซะหน่อย อยากจะบอกว่า แดดร้อนแรงขนาดดด ฮ้อนแต้ฮ้อนว่า บ่เคยเห็น ! คือ หาเมฆแทบไม่เจอเลย เดินไปซักพักน้ำที่เอามาจากที่พักก็หมดขวดซะล่ะ ประกอบกับใกล้เวลานัดพอดีเลยกลับไปซื้อน้ำขวดใหญ่ที่ 711 ซะเลย แล้วก็เจอเพื่อนพอดี๊พอดี

เพื่อนพาไปกินของหวานชื่อว่า Kendal หรือ Cendal ของขึ้นชื่อของมาเลเซีย รสชาดออกแนวเหมือนลอดช่องบ้านเรา แต่ว่าจะใส่ถั่วแดงบดและน้ำตาลทรายแดงด้วยด้านบน น้ำกระทิ น้ำเชื่อมนิด ๆ หน่อย ๆ อร่อยดี สดชื่นเลยล่ะ หลังจากที่เดินผ่าแดดมา แนะนำเลยว่า ไปมาเลเซียจะต้องลองเจ้าสิ่งนี้ !

ตะวันเริ่มตกดิน เราก็ไปกันแถว ๆ ริมทะเล เพื่อไปดู หอนาฬิกาควีนวิคเตอเรีย ด้วยความที่ปีนังเคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษมาก่อน ดังนั้นจะพบได้ว่ามีตึกที่หน้าตาออกแนวยุโรปมาก ๆ อยู่มากมาย โดยเฉพาะในย่านที่ใกล้กับทะเล


ตอนเย็นเข้าหน่อยเราก็ไปนั่งเล่นริมทะเล ที่ปีนังมีสวนสาธารณะริมทะเล ซึ่งตอนเย็น ๆ มีจะมีคนมาทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่นี่เยอะมาก ไม่ว่าจะจ็อกกิ้ง เล่นดนตรี ทำกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ มากมาย อากาศดีมากมาย เพราะว่ามีลมทะเลพัดตลอดเวลา
ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า แสงสีส้มของพระอาทิตย์ตกกำลังจะหายไป
...ภาพประทับใจแรกในปีนัง...
ทั้งความรู้สึกของการได้ออกเดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรก และสิ่งที่ได้รับมันช่างดีเหลือเกิน

หลังจากตะวันตกดิน เราก็ได้เวลาหาอะไรกิน 5555+ เริ่มปากท้องไม่เคยเข้าใครออกใคร ใกล้ ๆ กันนั้นจะมีตลาดที่ เขาเคลมมว่าเป็น local market แต่เพื่อนก็บอกว่าจริง ๆ ตอนนี้มันกลายเป็น tourist trap ไปแล้วเพราะว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวเข้าไปหาอะไรกิน ทำให้ราคาของที่ตลาดนี้เริ่มแพงมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็น local food ที่ราคาพอรับได้ เรียกว่า
โรจัก ไม่รู้จักเรียกว่าเป็นของหวานหรือของคาวดี ...อาจจะค่อนไปทางของหวานมากกว่า ในจานนี้มี แอปเปิ้ล ฝรั่ง สัปปะรด แตงกวา และปลาหมึกกรอบ ราดด้วยซอสหวาย ๆ โรยด้วยถั่วลิสงป่นและพริกป่น มันอาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่ว่ามันอร่อยดีนะ ของแบบนี้ต้องลอง ๆ

...
ทำไงดียังพอมีที่ว่างในกระเพาะ อาหารจานหลักยังไม่ได้กินเลย คราวนี้เป็นทีของคนที่กินมังสวัติ เราจะพาไปกินอาหารญี่ปุ่นแบบฉบับมังฯกันที่ร้าน Sushi Kitchen ร้านอาหารที่ให้ความรู้สึกสบาย ๆ เหมือนอยู่ที่บ้าน และมีน้ำผึ้งผสมมะนาวที่อร่อยชุ่มคอมาก ๆ

...
คืนนั้นเราก็แยกจากกันหลังจากทานมื้อนั้นเสร็จ ตอนกลางคืนหากใครอยากจะฟังเพลงชิว ๆ หน้าถนน Love lane จะมีร้านนั่งชิว ๆ อยู่ อารมณ์แบบฮิปปี้ ๆ หน่อย คือเราก็ไม่ได้เข้าไปหรอก มีแต่ฝรั่งเต็มไปหมด (เอ๊ะ เราก็ฝรั่งสำหรับคนมาเล... รึป่าว) แต่เดินผ่านไปผ่านมา ส่องไปเรื่อย อิอิ งานดี๊ดี
คืนนั้นเราก็จบ สลบร่างเราลงที่เตียงนอน เก็บแรงเอาไว้ผจญภัยวันพรุ่งนี้ ...
มาปีนังทั้งทีเราจะพลาดไม่ได้เลยคือ Street Art Hunting !!!!
[CR] นั่งรถไฟไปปีนัง
จริง ๆ แล้วทริปนี้ไปมานานพอสมควรแล้ว รวมระยะเวลาทั้งหมดทั้งมวลก็ 9 วัน เอาแบบคร่าว ๆ เลยก็คือ
นั่งรถไฟไปมาเลเซีย - ข้ามเรือไปปีนัง - นั่งรถทัวร์เข้ากัวลาลัมเปอร์ - นั่งรถทัวร์ต่อไปมะละกา - นั่งรถทัวร์ข้ามด่าน Woodland ไปสิงคโปร์
แต่วันนี้เราว่ามากันด้วยปีนังกันก่อนดีกว่า อิอิ
ด้วยความที่เป็นทริปแรกที่เดินทางไปต่างประเทศคนเดียว ก็เลยเตรียมตัวด้วยการอ่านรีวิวรัว ๆ ๆ ๆ ใช้เวลาเตรียมตัวประมาณ 1 เดือนสำหรับทั้งทริป ต้องขอขอบคุณข้อมูลต่าง ๆ ในห้องบลูแพลเน็ตนี่แหล่ะค่ะ ได้อะไรเยอะเลย
ค่าตั๋ว : เรานอนเตียงล่าง ราคา 1,210 บาท เตียงบนก็จะถูกกว่านิดหน่อย
แนะนำ : จองที่นั่งตั้งแต่ 18 - 22 จะอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นปลั๊กไฟได้
แนะนำ : ควรเตรียมอาหารการกิน ขนมขบเคี้ยวเอาไว้ซักหน่อย เพราะว่าอาหารที่โบกี้อาหาร ราคาแพงพอสมควร แต่ระหว่างทางตอนแวะตามสถานีต่าง ๆ ก็จะมีแม่ค้าพ่อขายขึ้นมาขายของอยู่บ้าง
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ก็ถึงสถานีหาดใหญ่ อันนี้คือมีความอยากส่วนตัวในการกิน 'ไก่ทอดหาดใหญ่' ได้ยินมานานแล้ว แม้จะมาถึงแค่สถานีรถไฟก็อยากจะลองกินดูซักที
ชุดนี้ราคา 40 บาท มีไก่ทอดและข้าวเหนียว ใครอยากจะได้น้ำหวานมาล้างปาก ก็มีให้เลือกหลายน้ำเลย
...
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกอีกเช่นเคย ประมาณ 12 นาฬิกาบ้านเรา หรือ บ่ายโมงที่มาเลเซีย (เวลาเร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง) เราก็เดินทางกันมาถึงเมือง Butterworth กันแล้ว !!!! เย้ คราวนี้ก็เดินออกมาจากรถแบบงง ๆ ... ไปทางไหนต่อล่ะเนี่ยยยย
... เดินตามคนอื่นไป จะต้องเดินขึ้นไปบนสถานีก่อน คราวนี้เป้าหมายต่อไปของเราคือข้ามเรือไปเกาะปีนัง ดังนั้นก่อนอื่นเราจะต้องหาท่าเรือ
จากสถานีรถไฟให้เดินออกมาด้านนอก ข้ามฝั่งไปจะเจอสถานีรถบัส (เราซื้อตั๋วรอบเที่ยงคืนของอีกคืนเพื่อไปกัวลาลัมเปอร์เอาไว้เลย) จากนั้นจะเห็นคำว่า FERRY แล้วหลังจากนั้น จงยึดคติที่ว่า
จงตาม FERRY ไป แล้วทุกอย่างจะดีเอง
แนะนำ : ค่าตั๋วเรือ FERRY ไม่แพง ถ้ามีเหรียญเติมให้พอดีจำนวนจะไม่ต้องไปต่อคิวเข้าแถวแลกเหรียญ ซึ่งก็ไม่ได้ยาวมากเท่าไหร่
ตั๋วเรือ ซื้อแค่ครั้งเดียว คือ ขาข้ามไปปีนัง ขากลับมาจากเกาะ ไม่ต้องซื้อแล้วไปรอขึ้นเรือได้เลย
... ขึ้นเรือมาแว้ววว ... ใช้เวลาประมาณ 30 - 45 นาที แล้วแต่แรงลมและกระแสคลื่น แต่ว่าเรือใหญ่ไม่น่ากลัว เป็นเรือที่สามารถเอารถขึ้นไปได้อ่ะ
เช็คอินเรียบร้อย เก็บข้าว เก็บของ เรียบร้อย คืนนี้นอน hostel มี Roommate มาจากออสเตรเลียและอเมริกา Dorm หญิงนะ 55+
คราวนี้เราใช้ Couchsurfing มาก่อนหน้านี้แล้ว นัดกับเพื่อนเรียบร้อย ว่าจะมาเจอกันที่หน้า 711 ถนน Love lane ระหว่างรอเราก็ไปจัดแจงหาซื้อซิมโทรศัพท์ ถามจากเจ้าของ hostel มาแล้ว เขาบอกว่า 711 ได้ เราก็จัดไปจ่ะ
แนะนำ : เราซื้อซิมเน็ตเพราะว่าเน้นใช้เน็ตมากกว่าโทร ... ก็ไม่รู้จะโทรหาใครอ่ะนะ 555+ เวลาซื้อจะต้องใช้ passport ด้วย หลังจากนั้นพนักงานจะดำเนินการให้ทุกอย่างจนใช้ได้เลย
ระหว่างรอเพื่อนก็ไปเดินเล่นซะหน่อย อยากจะบอกว่า แดดร้อนแรงขนาดดด ฮ้อนแต้ฮ้อนว่า บ่เคยเห็น ! คือ หาเมฆแทบไม่เจอเลย เดินไปซักพักน้ำที่เอามาจากที่พักก็หมดขวดซะล่ะ ประกอบกับใกล้เวลานัดพอดีเลยกลับไปซื้อน้ำขวดใหญ่ที่ 711 ซะเลย แล้วก็เจอเพื่อนพอดี๊พอดี
ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า แสงสีส้มของพระอาทิตย์ตกกำลังจะหายไป
...ภาพประทับใจแรกในปีนัง...
ทั้งความรู้สึกของการได้ออกเดินทางคนเดียวเป็นครั้งแรก และสิ่งที่ได้รับมันช่างดีเหลือเกิน
โรจัก ไม่รู้จักเรียกว่าเป็นของหวานหรือของคาวดี ...อาจจะค่อนไปทางของหวานมากกว่า ในจานนี้มี แอปเปิ้ล ฝรั่ง สัปปะรด แตงกวา และปลาหมึกกรอบ ราดด้วยซอสหวาย ๆ โรยด้วยถั่วลิสงป่นและพริกป่น มันอาจจะฟังดูแปลก ๆ แต่ว่ามันอร่อยดีนะ ของแบบนี้ต้องลอง ๆ
ทำไงดียังพอมีที่ว่างในกระเพาะ อาหารจานหลักยังไม่ได้กินเลย คราวนี้เป็นทีของคนที่กินมังสวัติ เราจะพาไปกินอาหารญี่ปุ่นแบบฉบับมังฯกันที่ร้าน Sushi Kitchen ร้านอาหารที่ให้ความรู้สึกสบาย ๆ เหมือนอยู่ที่บ้าน และมีน้ำผึ้งผสมมะนาวที่อร่อยชุ่มคอมาก ๆ
คืนนั้นเราก็แยกจากกันหลังจากทานมื้อนั้นเสร็จ ตอนกลางคืนหากใครอยากจะฟังเพลงชิว ๆ หน้าถนน Love lane จะมีร้านนั่งชิว ๆ อยู่ อารมณ์แบบฮิปปี้ ๆ หน่อย คือเราก็ไม่ได้เข้าไปหรอก มีแต่ฝรั่งเต็มไปหมด (เอ๊ะ เราก็ฝรั่งสำหรับคนมาเล... รึป่าว) แต่เดินผ่านไปผ่านมา ส่องไปเรื่อย อิอิ งานดี๊ดี
คืนนั้นเราก็จบ สลบร่างเราลงที่เตียงนอน เก็บแรงเอาไว้ผจญภัยวันพรุ่งนี้ ...
มาปีนังทั้งทีเราจะพลาดไม่ได้เลยคือ Street Art Hunting !!!!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น