เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้วเราได้มีโอกาสไปตามรอยพ่อกันที่เส้นทางม่อนแจ่มและเส้นทางดอยปุย สำหรับครั้งนี้สายลมแห่งความหนาวได้พัดพาให้เราได้กลับมาที่เชียงใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้จะขอพาเพื่อนไปตามรอยพ่อกันที่เส้นทางดอยอินทนนท์ เส้นทางที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติและสัมผัสกับอากาศที่เย็นสบาย
สถานที่แรกที่เราจะพาไปนั้นถือว่าเป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดถ้าเพื่อนๆ คนไหนมาเที่ยวในเส้นทางดอยอินทนนท์แห่งนี้จะต้องขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดแห่งแดนสยามให้จงได้
การเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปจนถึงยอดดอยอินทนนท์ประมาณ 106 กิโลเมตร ออกจากตัวเมือง ตามทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-จอมทอง พอถึงหลักกิโลเมตรที่ 57 ก่อนถึงอำเภอจอมทอง 1 กิโลเมตร แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ระยะทาง 48 กิโลเมตรถึงยอดดอยอินทนนท์ เป็นถนนลาดยางอย่างดีแต่ทางค่อนข้างสูงชันเล็กน้อยควรขับด้วยความระมัดระวัง
ระยะทางจากด่านตรวจที่ 2 ขึ้นไปบนยอดดอยอินทนนท์ มีระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร ในเส้นทางที่ขึ้นไปเราจะผ่านจุดชมวิวกิ่วแม่ปาน ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์ของทริปนี้ที่เราจะพาเพื่อนๆ แวะไปเช็คอินกัน
ก่อนอื่นจะต้องซื้อบัตรผ่านเข้าไปในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์กันก่อน
ค่าบริการสำหรับผู้ใหญ่คนละ 50 บาท เด็ก 20 บาท รถยนต์ 30 บาท
ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 300 บาท เด็ก 150 บาท
เส้นทางดอยอินทนนท์นั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย ถ้าจะให้เที่ยวภายในหนึ่งวันคงเก็บไม่หมดแน่ๆ
แต่ตอนนี้ขอขึ้นไปยังจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์ก่อนแล้วกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเล้ยยย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่วาง และ อำเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ประมาณ 482.4 ตารางกิโลเมตร หรือ 301,500 ไร่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาอินทนนท์ (ทิวเขาถนนธงชัยตะวันออก) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย
สภาพภูมิประเทศทั่วไปประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร ยอดเขาที่มีระดับสูงรองลงมาคือ ดอยหัวมดหลวง สูงจากระดับน้ำทะเล 2,330 เมตร ป่าอินทนนท์นี้เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำแม่กลาง แม่ป่าก่อ แม่ปอน แม่หอย แม่ยะ แม่แจ่ม แม่ขาน และเป็นส่วนหนึ่งของต้นน้ำแม่ปิงที่ ให้พลังงานไฟฟ้าที่เขื่อนภูมิพล มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติที่สวยงาม เช่น น้ำตกต่างๆ โดยเฉพาะน้ำตกแม่ยะ ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดของประเทศ
ดอยอินทนนท์ เดิมมีชื่อว่า "ดอยหลวงอ่างกา" ต่อมาได้ตั้งชื่อตามพระนามของพระเจ้าอินทวิชยนนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C
เย่ เย่~ ถึงแล้วจ้า
จากจุดจอดรถ เราก็สามารถเดินศึกษาในเส้นทางศึกษาธรรมชาติกันได้เลย
เมื่อเดินเข้าไปแล้วสิ่งที่เพื่อนๆ จะเห็นเด่นชัดเลยก็คือ
V
V
V
หมุดหลักฐานจุดสูงสุดแห่งแดนสยาม ป้ายนี้ดังยิ่งกว่าดาราอีกนะเนี่ย เพราะใครไปใครมาก็ต้องเข้ามาถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆ กัน ว่าฉันคือผู้ที่ได้มาอยู่บนจุดสูงสุดของแดนสยามแล้ว เพราะบนพื้นที่แห่งนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร
ตลอดเส้นทางที่เดินทั้งสองข้างทางจะเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจี
ขณะนี้เป็นเวลา 13 นาฬิกา 22 นาที อุณหภูมิอยู่ที่ 13 องศา... โอ๊ยยยย ฟินจังเลยแก
เดินถ่ายรูปสูดอากาศบนจุดสูงสุดกันจนเต็มอิ่มแล้ว เราก็ขับรถย้อนลงมายังสถานที่ไฮไลต์ของการเดินทางในครั้งนี้ก็คือ กิ่วแม่ปาน สถานที่ที่ทุกคนต้องห้ามพลาดเป็นอันขาดเพราะตลอดเส้นทางที่เราจะพาเพื่อนไปเดินเสพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจากยอดดอยอินทนนท์ลงมาที่กิ่วแม่ปานมีระยะทางทั้งสิ้น 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น
กิ่วแม่ปานเป็นสถานที่ยอดฮิตที่ใครขึ้นมายังดอยอินทนนท์ต่างก็ต้องแวะมาเช็คอินที่นี่กันทั้งนั้น ด้วยจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างเต็มอิ่มและอากาศที่สดชื่นปอด จึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทุกคนห้ามพลาด
ก่อนที่เราจะมาพบวิวอันสวยงามของกิ่วแม่ปานแบบนี้
เราจะต้องมาติดต่อเจ้าหน้าที่กันก่อนจ้า
เมื่อมาถึงแล้วเราจะต้องไปติดต่อเพื่อขอไกด์นำทางโดยมีค่าบริการอยู่ที่ 200 บาท และช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาเที่ยวชมกิ่วแม่ปานแห่งนี้มากที่สุด คือช่วงเดือน ธันวาคม-มกราคม เพราะประมาณเดือนมิถุนายน-ตุลาคม เส้นทางศึกษาธรรมชาติแห่งนี้จะปิดให้บริการเพื่อให้เวลาธรรมชาติฟื้นตัว
สามารถมาได้ตั้งแต่ 6 โมงเช้าเลยนะ
และจะปิดตอน 4 โมงเย็นจ้า
คุณวิวรณ์ แสงวันทอง แต่เราจะขอเรียกเขาว่า “พรานรพินทร์ ไพรวัลย์” ซึ่งเป็นตัวละครที่มาจากหนังสือเรื่องเพชรพระอุมา จะเป็นผู้นำทางเดินเที่ยวชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน ให้กับเราและคุณชายเชษฐาในครั้งนี้ อิอิ
ระยะทางทั้งหมดรวมแล้วประมาณ 3 กิโลเมตร จะเป็นทางราบสลับทางสูงชัน ใช้เวลาในการเดินทั้งสิ้น 2-3 ชั่วโมง เส้นทางนี้อยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล คนที่มีโรคประจำตัวหรือรู้ตัวว่าสุขภาพไม่แข็งแรง ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า
เชิญเลยจ้า เชื่อเถอะว่านี่คือตัวช่วยที่ดีในการเดิน!
ก่อนที่จะเดินทางขึ้นไปเจ้าหน้าที่ได้มีการเตรียมไม้ค้ำยันเอาไว้ให้เป็นตัวช่วยในการเดิน ส่วนคนแข็งแรงแบบเราอะนะแน่นอนว่าม้งไม้อะไรพวกนี้อ่ะ... ต้องใช้อยู่แล้ว พร้อมแล้วก็หยิบให้ไวแล้วตามผู้นำทางของเราไปกันเถอะ
เมื่อเดินเข้ามาข้างในแล้วเรารู้สึกว่าเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งพงไพรอะไรประมาณนั้น สองข้างทางมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด
นี่แค่เริ่มต้นนะเส้นทางยังอีกไกลถามใจว่าไหวอ่ะป่าวเพ่
ระหว่างทางที่เราเดินก็ได้เจอกับพืชชนิดหนึ่งที่มีนามว่า เฟิร์น แต่เฟิร์นชนิดนี้ต่างจากเฟิร์นทั่วไปเพราะว่ามันคือเฟิร์นยุคโบราณซึ่งมีมาตั้งแต่สมัย 230 ล้านปีก่อน ด้วยใบที่หนาเพียงหนึ่งเซลล์จึงไม่มีปากใบมีแค่ช่องอากาศไว้แลกเปลี่ยนก๊าซและดูดซับน้ำจากหมอก
เฟิร์นยุคโบราณ~~ แสงแดดที่รำไรกลางสายหมอกก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของมันแล้ว
อุ๊ยยย! ด้วงสีน้ำเงินอมม่วง พรานรพินทร์บอกว่าเราโชคดีมากที่เจอเพราะด้วงชนิดนี้คือ ด้วงอินทนนท์ ซึ่งน้อยคนนักที่มาจะเจอ ต้องคอยสังเกตกันดีๆ มักจะอยู่ตามพื้นดินและต้นไม้
ใช้เวลาเดินไม่นานมากเราก็ได้ยินเสียงของน้ำ ซู่ซ่า ที่กำลังไหลอยู่และภาพที่อยู่ตรงหน้าเราก็คือน้ำตกที่ใสสะอาดนั่นเอง
ภายในเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานมีความหลากหลายทางธรรมชาติเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ แมลง และน้ำตก ที่นี่จึงเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งเลยแหละ
โอ้ววว ดูนั่นสิคุณชายเชษฐา น้ำตกมันช่างงดงามเหลือเกิน
จุดนี้ถือว่าเป็นจุดพักอีกแห่งหนึ่งที่ผู้คนต่างแวะถ่ายรูปชื่นชมความสวยงามของน้ำตกกัน เมื่อเราได้เห็นน้ำตกแล้วทำให้รู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมาทันที สายน้ำที่ไหลลงสู่โขดหินดูแล้วช่างเพลินตาเหลือเกิน
เมื่อพักถ่ายรูปกันจนหายเหนื่อยแล้วเราก็ออกเดินเท้าต่อไปยังจุดชมวิวกิ่วแม่ปาน ถึงแม้เส้นทางจะเดินลำบากแต่ด้วยความเขียวขจีของป่าบวกกับอากาศที่เย็นสบายทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในห้างแบบชิลล์
ต้นไม้ที่ไม่สมบูรณ์มันก็ยังใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ แล้วคนที่สมประกอบแบบเราจะมัวท้ออยู่ได้ยังไง
พอเดินหลุดออกมาจากดินแดนแห่งต้นไม้เราก็พับกบ เอ๊ย! พบกับสันกิ่วแม่ปาน ช่วงเวลาที่เรามาถึงนั้นคือช่วงบ่าย แต่ดูนี่สิไอหมอกที่กำลังลงมาปกคลุมพื้นที่ ถึงแม้ฟ้าจะไม่เปิดแต่ก็ได้ความรู้สึกในอีกแบบหนึ่ง และทางเดินช่วงนี้จะแคบเล็กน้อยแต่ก็พอเดินสวนกันได้
ถึงแล้วจุดชมวิวกิ่วแม่ปานบริเวณเป็นที่เปิดโล่งเราสามารถมองทัศนียภาพได้แบบเต็มอิ่มกันเลยที่เดียวแต่ว่าหมอกที่ลงจัดในช่วงที่เราไปจึงทำให้ท้องฟ้าดูหม่นหมองแต่ก็ให้ความรู้สึกเหงาๆ ดี
วะวะ ว้าววว ณ จุดๆ นี้บอกเลยว่าฟินพูดได้เต็มปากเลยว่า สดชื่นเหมือนยืนบนไหล่เขา
[SR] Pantip.com ร่วมกับ ททท. ตามรอยพ่อ ด้วยความคิดถึง เชียงใหม่#3 : เส้นทางดอยอินทนนท์
เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้วเราได้มีโอกาสไปตามรอยพ่อกันที่เส้นทางม่อนแจ่มและเส้นทางดอยปุย สำหรับครั้งนี้สายลมแห่งความหนาวได้พัดพาให้เราได้กลับมาที่เชียงใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้จะขอพาเพื่อนไปตามรอยพ่อกันที่เส้นทางดอยอินทนนท์ เส้นทางที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติและสัมผัสกับอากาศที่เย็นสบาย
สถานที่แรกที่เราจะพาไปนั้นถือว่าเป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดเด็ดขาดถ้าเพื่อนๆ คนไหนมาเที่ยวในเส้นทางดอยอินทนนท์แห่งนี้จะต้องขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดแห่งแดนสยามให้จงได้
การเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ขึ้นไปจนถึงยอดดอยอินทนนท์ประมาณ 106 กิโลเมตร ออกจากตัวเมือง ตามทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-จอมทอง พอถึงหลักกิโลเมตรที่ 57 ก่อนถึงอำเภอจอมทอง 1 กิโลเมตร แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ระยะทาง 48 กิโลเมตรถึงยอดดอยอินทนนท์ เป็นถนนลาดยางอย่างดีแต่ทางค่อนข้างสูงชันเล็กน้อยควรขับด้วยความระมัดระวัง
ระยะทางจากด่านตรวจที่ 2 ขึ้นไปบนยอดดอยอินทนนท์ มีระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร ในเส้นทางที่ขึ้นไปเราจะผ่านจุดชมวิวกิ่วแม่ปาน ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์ของทริปนี้ที่เราจะพาเพื่อนๆ แวะไปเช็คอินกัน
ค่าบริการสำหรับผู้ใหญ่คนละ 50 บาท เด็ก 20 บาท รถยนต์ 30 บาท
ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 300 บาท เด็ก 150 บาท
เส้นทางดอยอินทนนท์นั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย ถ้าจะให้เที่ยวภายในหนึ่งวันคงเก็บไม่หมดแน่ๆ
แต่ตอนนี้ขอขึ้นไปยังจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์ก่อนแล้วกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเล้ยยย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากจุดจอดรถ เราก็สามารถเดินศึกษาในเส้นทางศึกษาธรรมชาติกันได้เลย
เมื่อเดินเข้าไปแล้วสิ่งที่เพื่อนๆ จะเห็นเด่นชัดเลยก็คือ
V
V
V
หมุดหลักฐานจุดสูงสุดแห่งแดนสยาม ป้ายนี้ดังยิ่งกว่าดาราอีกนะเนี่ย เพราะใครไปใครมาก็ต้องเข้ามาถ่ายรูปไปอวดเพื่อนๆ กัน ว่าฉันคือผู้ที่ได้มาอยู่บนจุดสูงสุดของแดนสยามแล้ว เพราะบนพื้นที่แห่งนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร
เดินถ่ายรูปสูดอากาศบนจุดสูงสุดกันจนเต็มอิ่มแล้ว เราก็ขับรถย้อนลงมายังสถานที่ไฮไลต์ของการเดินทางในครั้งนี้ก็คือ กิ่วแม่ปาน สถานที่ที่ทุกคนต้องห้ามพลาดเป็นอันขาดเพราะตลอดเส้นทางที่เราจะพาเพื่อนไปเดินเสพบรรยากาศที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งจากยอดดอยอินทนนท์ลงมาที่กิ่วแม่ปานมีระยะทางทั้งสิ้น 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น
กิ่วแม่ปานเป็นสถานที่ยอดฮิตที่ใครขึ้นมายังดอยอินทนนท์ต่างก็ต้องแวะมาเช็คอินที่นี่กันทั้งนั้น ด้วยจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างเต็มอิ่มและอากาศที่สดชื่นปอด จึงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทุกคนห้ามพลาด
เราจะต้องมาติดต่อเจ้าหน้าที่กันก่อนจ้า
เมื่อมาถึงแล้วเราจะต้องไปติดต่อเพื่อขอไกด์นำทางโดยมีค่าบริการอยู่ที่ 200 บาท และช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาเที่ยวชมกิ่วแม่ปานแห่งนี้มากที่สุด คือช่วงเดือน ธันวาคม-มกราคม เพราะประมาณเดือนมิถุนายน-ตุลาคม เส้นทางศึกษาธรรมชาติแห่งนี้จะปิดให้บริการเพื่อให้เวลาธรรมชาติฟื้นตัว
และจะปิดตอน 4 โมงเย็นจ้า
คุณวิวรณ์ แสงวันทอง แต่เราจะขอเรียกเขาว่า “พรานรพินทร์ ไพรวัลย์” ซึ่งเป็นตัวละครที่มาจากหนังสือเรื่องเพชรพระอุมา จะเป็นผู้นำทางเดินเที่ยวชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน ให้กับเราและคุณชายเชษฐาในครั้งนี้ อิอิ
ระยะทางทั้งหมดรวมแล้วประมาณ 3 กิโลเมตร จะเป็นทางราบสลับทางสูงชัน ใช้เวลาในการเดินทั้งสิ้น 2-3 ชั่วโมง เส้นทางนี้อยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล คนที่มีโรคประจำตัวหรือรู้ตัวว่าสุขภาพไม่แข็งแรง ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า
ก่อนที่จะเดินทางขึ้นไปเจ้าหน้าที่ได้มีการเตรียมไม้ค้ำยันเอาไว้ให้เป็นตัวช่วยในการเดิน ส่วนคนแข็งแรงแบบเราอะนะแน่นอนว่าม้งไม้อะไรพวกนี้อ่ะ... ต้องใช้อยู่แล้ว พร้อมแล้วก็หยิบให้ไวแล้วตามผู้นำทางของเราไปกันเถอะ
เมื่อเดินเข้ามาข้างในแล้วเรารู้สึกว่าเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในดินแดนแห่งพงไพรอะไรประมาณนั้น สองข้างทางมีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด
ระหว่างทางที่เราเดินก็ได้เจอกับพืชชนิดหนึ่งที่มีนามว่า เฟิร์น แต่เฟิร์นชนิดนี้ต่างจากเฟิร์นทั่วไปเพราะว่ามันคือเฟิร์นยุคโบราณซึ่งมีมาตั้งแต่สมัย 230 ล้านปีก่อน ด้วยใบที่หนาเพียงหนึ่งเซลล์จึงไม่มีปากใบมีแค่ช่องอากาศไว้แลกเปลี่ยนก๊าซและดูดซับน้ำจากหมอก
เฟิร์นยุคโบราณ~~ แสงแดดที่รำไรกลางสายหมอกก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของมันแล้ว
อุ๊ยยย! ด้วงสีน้ำเงินอมม่วง พรานรพินทร์บอกว่าเราโชคดีมากที่เจอเพราะด้วงชนิดนี้คือ ด้วงอินทนนท์ ซึ่งน้อยคนนักที่มาจะเจอ ต้องคอยสังเกตกันดีๆ มักจะอยู่ตามพื้นดินและต้นไม้
ภายในเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานมีความหลากหลายทางธรรมชาติเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ แมลง และน้ำตก ที่นี่จึงเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์อีกแห่งหนึ่งเลยแหละ
จุดนี้ถือว่าเป็นจุดพักอีกแห่งหนึ่งที่ผู้คนต่างแวะถ่ายรูปชื่นชมความสวยงามของน้ำตกกัน เมื่อเราได้เห็นน้ำตกแล้วทำให้รู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมาทันที สายน้ำที่ไหลลงสู่โขดหินดูแล้วช่างเพลินตาเหลือเกิน
เมื่อพักถ่ายรูปกันจนหายเหนื่อยแล้วเราก็ออกเดินเท้าต่อไปยังจุดชมวิวกิ่วแม่ปาน ถึงแม้เส้นทางจะเดินลำบากแต่ด้วยความเขียวขจีของป่าบวกกับอากาศที่เย็นสบายทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในห้างแบบชิลล์
พอเดินหลุดออกมาจากดินแดนแห่งต้นไม้เราก็พับกบ เอ๊ย! พบกับสันกิ่วแม่ปาน ช่วงเวลาที่เรามาถึงนั้นคือช่วงบ่าย แต่ดูนี่สิไอหมอกที่กำลังลงมาปกคลุมพื้นที่ ถึงแม้ฟ้าจะไม่เปิดแต่ก็ได้ความรู้สึกในอีกแบบหนึ่ง และทางเดินช่วงนี้จะแคบเล็กน้อยแต่ก็พอเดินสวนกันได้
ถึงแล้วจุดชมวิวกิ่วแม่ปานบริเวณเป็นที่เปิดโล่งเราสามารถมองทัศนียภาพได้แบบเต็มอิ่มกันเลยที่เดียวแต่ว่าหมอกที่ลงจัดในช่วงที่เราไปจึงทำให้ท้องฟ้าดูหม่นหมองแต่ก็ให้ความรู้สึกเหงาๆ ดี