มีประสบการณ์ตรงจะเล่าให้ฟัง
มีญาติคนหนึ่งสมมติชื่อนายA ถูกตั้งข้อหาร่วมกับพวกพยายามฆ่าคนตาย
เรื่องเกิดจากการยกพวกตีกันนี่แหล่ะ
ตอนนั้นนายA เรียนอยู่ม.ปลาย
นายA ไม่ได้ทำแต่เป็นพวกเดียวกับผู้ต้องหาคนอื่นที่ถูกจับ
ก็เลยถูกมัดรวมเป็นผู้ต้องหาไปด้วย
ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกผู้ต้องหาคนอื่นทุกคนมีนายA คนเดียวศาลยกฟ้อง
ต่อมาโจทย์ยื่นอุทธรณ์ตอนนั้นนายA เรียนต่อมหาวิทยาลัย
มีหนังสือให้แก้อุทธรณ์มาที่บ้าน
พ่อแม่ของนายA เอาหนังสือที่ศาลส่งมาไปถามตำรวจที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน
ตำรวจบอกว่าเป็นปกติของกฎหมาย พ่อแม่นายA ถามว่าต้องทำยังไง
ตำรวจว่าไม่ต้องทำอะไร ทางพ่อแม่ของนายA เชื่อเลยไม่ทำอะไร
ในเมื่อไม่แก้อุทธรณ์ พอศาลนัดให้ไปฟังคำตัดสิน
ศาลอุทธรณ์ก็ตัดสินให้จำคุก สี่ปีกว่า
ญาติต้องวิ่งวุ่นประกันออกมาสู้ฎีกา
เรื่องยังไม่จบ
ตอนที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินนายA เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว
และได้มาทำงานกับองค์กรทางการเมืองแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ
สุดท้ายก็ได้ทนายความขององค์กรทางเมืองแห่งนี้ที่ประจำอยู่ที่จังหวัดที่เป็นคดีแก้ฎีกาให้
แต่ตลกร้ายเกิดขึ้น ทนายความได้ยื่นขอเลื่อนการยื่นแก้ฎีกาหลายครั้ง
อ้างว่าเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองที่กรุงเทพฯ
และองค์กรแห่งนี้มีผลกระทบด้วย
ศาลอนุญาตให้เลื่อนหลายครั้ง จนที่สุดศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนอีก
และศาลก็มีหนังสือส่งตัวจำเลยไปที่นายประกันที่เป็นญาติของนายA
ทุกครั้งที่ได้หมายศาล นายA ก็กลับบ้านแล้วคุยกับทนายความทุกครั้ง
ทนายความก็พูดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจะเคลียร์กับทางศาลเอง
กี่ครั้งๆ ก็จะพูดอย่างนี้
และเรื่องก็เงียบไป
ทางญาติรวมถึงนายA ก็คิดว่าเรื่องคงเรียบร้อย
และเชื่อใจเพราะเป็นทนายขององค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่ด้วย
แต่แล้ว เรื่องมาแดงตอนที่มีจดหมายมาว่าจะขายทอดตลาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน
เพราะจำเลยไม่ยื่นแก้ฎีกาและนายประกันไม่ส่งตัวจำเลย
สรุปก็คือทนายความที่รับแก้ฎีกาให้เอาเงินไปแล้วไม่ยื่นแก้ฎีกาให้
โดยที่ทั้งตัวจำเลยและญาติไม่รู้มาก่อนเลย
จนศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาและออกหมายจับจำเลยให้มาฟังคำพิพากษา
สรุปนายA ถูกตัดสินคดียืนตามศาลอุทธรณ์
ถ้านายA ยื่นแก้อุทธรณ์ก็คงจะไม่ติดคุกเพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
พอไม่ยื่นอุทธรณ์ก็เหมือนยอมรับคำอุทธรณ์ของโจทย์
ยิ่งมาถึงศาลฎีกาทนายความดันไม่ยื่นแก้ฎีกาให้และไม่บอกด้วยว่าต้องทำอย่างไร
ถามทีไรก็บอกคำเดียวไม่เป็นไรเดี๋ยวจะเคลียร์ให้เอง
สุดท้ายก็ติดคุก
กรณีคุณครูที่เป็นข่าวก็เหมือนกัน
ครูถูกตัดสินจำคุกชั้นต้น แต่พออุทธรณ์ศาลยกฟ้อง
โจทย์ยื่นฎีกาแต่ครูไม่ยอมยื่นแก้ฎีกาเพราะคิดว่าศาลยกฟ้องและตัวเองก็ไม่ได้ทำผิด
แต่การไม่แก้คำฎีกาก็เหมือนการยอมรับฎีกาที่โจทย์ยื่น
ศาลก็ต้องพิพากษาตามที่เขาฎีกามา
ถ้าครูยื่นฎีกาอาจจะไม่ต้องติดคุกก็ได้
สรุป ถ้ามีคดีความเกิดขึ้นอย่าละเลยและไม่ใส่ใจเด็ดขาด
ถ้าใช้ทนายต้องปรึกษาและถามทนายทุกขั้นตอน
ไม่งั้นความยุ่งยากจะตามมาอย่างที่เห็น
ผมว่าครูติดคุกเพราะประมาทในกฎหมายครับ
มีญาติคนหนึ่งสมมติชื่อนายA ถูกตั้งข้อหาร่วมกับพวกพยายามฆ่าคนตาย
เรื่องเกิดจากการยกพวกตีกันนี่แหล่ะ
ตอนนั้นนายA เรียนอยู่ม.ปลาย
นายA ไม่ได้ทำแต่เป็นพวกเดียวกับผู้ต้องหาคนอื่นที่ถูกจับ
ก็เลยถูกมัดรวมเป็นผู้ต้องหาไปด้วย
ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกผู้ต้องหาคนอื่นทุกคนมีนายA คนเดียวศาลยกฟ้อง
ต่อมาโจทย์ยื่นอุทธรณ์ตอนนั้นนายA เรียนต่อมหาวิทยาลัย
มีหนังสือให้แก้อุทธรณ์มาที่บ้าน
พ่อแม่ของนายA เอาหนังสือที่ศาลส่งมาไปถามตำรวจที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน
ตำรวจบอกว่าเป็นปกติของกฎหมาย พ่อแม่นายA ถามว่าต้องทำยังไง
ตำรวจว่าไม่ต้องทำอะไร ทางพ่อแม่ของนายA เชื่อเลยไม่ทำอะไร
ในเมื่อไม่แก้อุทธรณ์ พอศาลนัดให้ไปฟังคำตัดสิน
ศาลอุทธรณ์ก็ตัดสินให้จำคุก สี่ปีกว่า
ญาติต้องวิ่งวุ่นประกันออกมาสู้ฎีกา
เรื่องยังไม่จบ
ตอนที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินนายA เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว
และได้มาทำงานกับองค์กรทางการเมืองแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ
สุดท้ายก็ได้ทนายความขององค์กรทางเมืองแห่งนี้ที่ประจำอยู่ที่จังหวัดที่เป็นคดีแก้ฎีกาให้
แต่ตลกร้ายเกิดขึ้น ทนายความได้ยื่นขอเลื่อนการยื่นแก้ฎีกาหลายครั้ง
อ้างว่าเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองที่กรุงเทพฯ
และองค์กรแห่งนี้มีผลกระทบด้วย
ศาลอนุญาตให้เลื่อนหลายครั้ง จนที่สุดศาลไม่อนุญาตให้เลื่อนอีก
และศาลก็มีหนังสือส่งตัวจำเลยไปที่นายประกันที่เป็นญาติของนายA
ทุกครั้งที่ได้หมายศาล นายA ก็กลับบ้านแล้วคุยกับทนายความทุกครั้ง
ทนายความก็พูดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจะเคลียร์กับทางศาลเอง
กี่ครั้งๆ ก็จะพูดอย่างนี้
และเรื่องก็เงียบไป
ทางญาติรวมถึงนายA ก็คิดว่าเรื่องคงเรียบร้อย
และเชื่อใจเพราะเป็นทนายขององค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่ด้วย
แต่แล้ว เรื่องมาแดงตอนที่มีจดหมายมาว่าจะขายทอดตลาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน
เพราะจำเลยไม่ยื่นแก้ฎีกาและนายประกันไม่ส่งตัวจำเลย
สรุปก็คือทนายความที่รับแก้ฎีกาให้เอาเงินไปแล้วไม่ยื่นแก้ฎีกาให้
โดยที่ทั้งตัวจำเลยและญาติไม่รู้มาก่อนเลย
จนศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาและออกหมายจับจำเลยให้มาฟังคำพิพากษา
สรุปนายA ถูกตัดสินคดียืนตามศาลอุทธรณ์
ถ้านายA ยื่นแก้อุทธรณ์ก็คงจะไม่ติดคุกเพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
พอไม่ยื่นอุทธรณ์ก็เหมือนยอมรับคำอุทธรณ์ของโจทย์
ยิ่งมาถึงศาลฎีกาทนายความดันไม่ยื่นแก้ฎีกาให้และไม่บอกด้วยว่าต้องทำอย่างไร
ถามทีไรก็บอกคำเดียวไม่เป็นไรเดี๋ยวจะเคลียร์ให้เอง
สุดท้ายก็ติดคุก
กรณีคุณครูที่เป็นข่าวก็เหมือนกัน
ครูถูกตัดสินจำคุกชั้นต้น แต่พออุทธรณ์ศาลยกฟ้อง
โจทย์ยื่นฎีกาแต่ครูไม่ยอมยื่นแก้ฎีกาเพราะคิดว่าศาลยกฟ้องและตัวเองก็ไม่ได้ทำผิด
แต่การไม่แก้คำฎีกาก็เหมือนการยอมรับฎีกาที่โจทย์ยื่น
ศาลก็ต้องพิพากษาตามที่เขาฎีกามา
ถ้าครูยื่นฎีกาอาจจะไม่ต้องติดคุกก็ได้
สรุป ถ้ามีคดีความเกิดขึ้นอย่าละเลยและไม่ใส่ใจเด็ดขาด
ถ้าใช้ทนายต้องปรึกษาและถามทนายทุกขั้นตอน
ไม่งั้นความยุ่งยากจะตามมาอย่างที่เห็น