ทวีปอันเซีย คศ 4059 หลังเกิดเหตุภัยพิบัติปริศนาอันยาวนานร่วมพันปี ไม่มีใครรู้ตัวเลขที่แน่นอนและการรู้ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร โลกนี้ถูกปกคลุมด้วยอากาศหนาวเย็น บางพื้นที่เต็มไปด้วยกลุ่มซากไม้ยืนต้นแห้งตายที่เราเรียกว่าป่า บางพื้นที่หินผาสูงใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะที่เราเรียกว่าภูเขา มีเพียงพืชไม่กี่ชนิดที่เราเรียกว่าหญ้าที่สามารถงอกเงยอยู่ท่ามกลางโลกแห่งนี้ได้ แต่รสชาติของดอกไม้ใบหญ้าคงไม่ถูกปากเหล่าสิ่งมีชีวิตกระหายเลือด"มิวท์" พวกมันจึงได้ออกไล่เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตเพื่อกินเป็นอาหาร ถึงแม้โลกนี้จะเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนและสิ้นหวัง ถึงกระนั้นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารก็ยังคงเป็นพวกเรา "มนุษย์" อยู่ดี อย่างไรก็ตามพวกเราก็ไม่ได้สงบสุขกันเสียทีเดียว เพราะที่ใดมีมนุษย์แล้วละก็ ที่นั่นย่อมมีการค้า การเมือง และ สงคราม
และไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็เป็นปลาใหญ่ ที่ได้กินปลาเล็ก เสมอมา
ณ ฐานบัญชาการกองกำลังทหารรับจ้างหน่วยที่ 15
ผมชื่อ เอดจ์ เรมอนด์ นายกอง ผู้มียศสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหน่วยชั้นนอก ที่กำลังพลไม่มากนัก แต่ก็นับเป็นตำแหน่งที่น่าอิจฉาอยู่ดี
ในมือของผมมี อาร์ค แผ่นม้วนทำจากหนังสัตว์ฃึ่งถูกวาดลวดลายเป็นวงกลมขนาดเล็กใหญ่บนเส้นขีดบางๆจำนวนทั้งสิ้น 14บรรทัด
มันอาจดูไร้ความหมาย แต่วงกลมแต่ละวงมีช่วงจังหวะการเว้นที่แน่นอน ส่วนขนาด ก็ไม่ได้เป็นการไล่จากเล็กไปใหญ่ หรือจากใหญ่ไปเล็ก และด้วยเหตุผลที่ว่ามา หากใครหน้าไหนดูไม่ออกว่ามันคืออนุกรมรหัสลับ ก็คงจะโง่เกินกว่าจะอยู่รอดในหน้าหนาวในทวีปอันเซียได้
ผมเพ่งมองมันพลางจิบชาเอ้อหลาน มันเป็นชาที่ให้กลิ่นหอมมากที่สุดในบรรดาชาที่ยังสามารถเจริญเติบโตบนสภาพอากาศและพื้นดินที่ย่ำแย่บนโลกนี้โดยไม่ต้องอาศัยเรือนกระจกเพาะเลี้ยง หากจะจัดคะแนนให้มันละก็ คงจะได้เกรด Aเลยทีเดียวเชียว ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วเราจะอยากปลูกต้นข้าวขึ้นมากกว่าต้นชานี่ก็ตามที
หลังจากที่ชาเอ้อหลานของผมหมดไปเป็นแก้วที่2 คิ้วที่ขมวดเป็นปมของผมก็คลายออก มันเป็นอนุกรมรหัสลับประเภทอาศัยตัวหลอก หากสังเกตุดีๆก็จะพบรูปแบบที่ปรากฎซ้ำๆในแต่ละบรรทัด ซึ่งนั่นแหละ ลักษณะของชิ้นส่วนที่เราควรจะตัดทิ้งไปก่อนได้เลย
ภายในเนื้อหาได้ใจความว่าเป็นตารางเวลาที่มีลักษณะค่อนข้างถี่ เป็นไปได้ว่าจะเป็นการหาทรัพยากร
หลังจากที่ได้ข้อมูลเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินหมากตาถัดไปเสียที เป้าหมายครั้งนี้ ค่อนข้างทำเงินได้ดีทีเดียว และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือฐานอำนาจการต่อรองของผมต่อ “รูเลอร์” ก็จะมากขึ้นด้วย เพียงแค่คิดมันก็ทำให้ผมยิ้มแก้มปริแล้ว จากนี้ไป การเจรจาติดต่อขอซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกคงจะราบรื่นขึ้นเยอะ
“ท่านครับ มีรายงานด่วนครับ” ชายแก่คนหนึ่งของผมโผล่พรวดเข้ามาในห้องโดยไม่มีการขออนุญาตใดๆ เขาชื่อ ออกุสตาฟ วลาด มียศเป็นถึงรองหัวหน้ากอง สามารถออกคำสั่งควบคุมทั้งหน่วยแทนผมได้เลยทีเดียว ตาแก่นี่มีระเบียบวินัย ขยัน อดทน และโง่ ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ควบคุมง่าย
ผมพยักหน้าเป็นนัยว่า ผมพร้อมจะรับฟัง
“คือว่า นักโทษ รหัส A 001 ของเราหลบหนีออกไปแล้วครับ”ชายแก่คนนั้นกล่าวด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก และเสียงสั่นเพราะนักโทษที่หลบหนีออกไปได้นั้น มีค่ามากพอจะสั่งถลกหนังผู้ดูแลตั้งแต่ยามหน้าประตูไปจนถึงหัวหน้าหน่วย นำไปปิ้ง ทาเกลือ และโยนให้พวกทาสกินต่อหน้าได้เลยซะด้วยซ้ำ ไม่บ่อยนักที่เราจะได้กักขังขักโทษระดับ A พวกเขาถือเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม
“อ่าหะ แล้ว ความเสียหายล่ะ?” ผมเอ่ยถามเสียงเรียบ โดยที่รอยยิ้มยังไม่หายไปจากใบหน้า
“พวกเราตายไป2คน บาดเจ็บสาหัสอีก3 และอีกคนหนึ่งถูกจับไปเป็นตัวประกันขณะหลบหนีครับ”ชายแก่คนนั้นดูท่าทีผ่อนคลายลง เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ได้มีท่าทีหัวเสียแต่อย่างใด
“เป็นเพราะ ท่านสั่งไว้ว่า ห้ามฆ่าเด็ดขาด เลยทำให้พ..”
“เออ รู้แล้ว!” ผมตวาดตัดรำคาญไปโดยที่มันยังไม่ทันจะพูดจบดี
“ไอ้ที่โดนจับไปน่ะ นับว่าตายไปเลย มันคงไม่โง่ปล่อยตัวประกันกลับมาหรอก แล้วที่ถามน่ะ หมายถึงมันเอาอะไรติดตัวไปได้บ้างต่างหากโว้ย” รอยยิ้มของผมหายไปแล้ว และปรากฎรอยขมวดที่คิ้วแทน
“ขออภัยครับ! จำนวนทหารที่ตายมีทั้งสิ้น3คน บาดเจ็บสาหัสอีก3 และไม่พบอุปกรณ์ที่หายไปจากศพครับ!”ชายแก่คนนั้นก้มหัวลงและรีบแก้ผลรายงานใหม่อีกครั้ง
“ดี ส่งหน่วยที่1ออกสอดแนม ติดตามเส้นทางการหนี และเรียกหน่วยที่ 2 3 5 7 มาเข้าพบผมที ในอีก5นาที อย่าให้ช้าล่ะ”
“ย่าห์!”ชายแก่คนนั้นเหยียดตัวตรงเปล่งเสียงออกมาพร้อมกับตบฝ่ามือขวาเข้าที่ไหล่ซ้ายด้วยท่าทีแข็งขันประหนึ่งทหารหนุ่มจบใหม่เป็นการทำความเคารพ ก่อนจะรีบออกจากห้องไป
อืมม กรณีถูกจับเป็นเชลยแล้วหลบหนี โดยหลักทั่วไปตามตำราแล้ว ควรจะสร้างความปั่นป่วนภายในค่ายและหลบซ่อนรอจนกำลังเสริมเข้ามาทำการช่วยเหลือ ระหว่างนั้นก็สร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด การที่หนีออกไปโดยไม่แม้แต่จะหยิบฉวยอุปกรณ์ไปด้วย แสดงว่า จะต้องรีบมากๆ เช่น เพื่อไปให้ทันกำหนดการณ์ออกหาทรัพยากร...
ความคิดผมแล่นทันที การหนีออกไปของนักโทษคนนี้ยิ่งเป็นการยืนยันความถูกต้องในการถอดรหัสของผม เพราะเส้นทางที่จะออกเดินทางครั้งถัดไปมันจะถึงที่หมายในอีก3ชั่วโมง ระยะห่างจากที่นี่ก็น่าจะราวๆ 60 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ในเมื่อกองกำลังของผมมียานเกราะเข้าประจำการแล้วถึง3คัน
“ขออนุญาตเข้าพบครับ”มีเสียงดังขึ้นจากนอกห้องแทรกระหว่างที่ผมกำลังคิดแผนการ
“เข้ามาได้” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จากนั้น ชายหนุ่ม 4คนก็ได้เข้ามายืนต่อหน้าผม พวกเขาแต่ละคนเป็นหัวหน้าหน่วยที่ผมได้ประกาศเรียกตัวไปเมื่อสักครู่นี้เอง
“เอาล่ะ ผมมีงานสำคัญจะให้พวกคุณทำ” รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของผมอีกครั้ง
คืนเดือนมืด
เวลา 2.40 น.
เวลาล่วงเลยไปกว่า 2ชั่วโมงครึ่ง หลังจากระบุพิกัดที่น่าจะเป็นจุดนัดพบ ผมและลูกน้องก็รีบเข้าประจำการเพื่อดักรอ ยานเกราะสีดำที่ถูกพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความมืดสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งยังเป็นคืนเดือนมืดอีกด้วย ทุกอย่างช่างเหมาะเจาะแก่การซุ่มโจมตี ตอนนี้ผมได้จัดวางกำลังพลกระจายตัวกัน3หมู่ตามแนวพุ่มไม้ทางด้านซ้ายมือของถนน เพื่อให้แน่ใจว่ากระสุนพลาสม่าที่ยิงออกไปจะไม่โดนพวกเดียวกันเอง และกรณีแผนบุกโจมตีล้มเหลว ผมก็จัดการโค่นต้นไม้ดักเส้นทางไว้ก่อนแล้ว เหตุผลที่ต้องลงทุนขนาดนี้ก็เพราะว่า ค่าหัวสำหรับ”เป็น”จะมีค่ากว่า”ตาย”
เวลา 3.20 น.
ตอนนี้มันผ่านมา5นาทีแล้ว ทุกคนในหน่วยอยู่ในสภาวะกดดัน เสียงลมหายใจเงียบสนิท สมาธิของทุกคนเพ่งอยู่ที่สัมผัสทั้งการมองเห็นและได้ยิน เพราะเป้าหมายเราอาจจะโผล่มาได้ทุกเมื่อ และมันจะไม่มีครั้งที่สองแน่ๆ แต่ถ้าหากเป้าหมายไม่โผล่มา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอย่างน้อยผมก็จะจับตัวนักโทษคนนั้นกลับไปได้อยู่ดี
ถึงแม้ว่าความน่าเชื่อถือของผมจะเละเทะต่อหน้าลูกน้องก็ตามทีเถอะ
เวลา 3.25 น.
ทุกๆนาทีๆที่เพิ่มขึ้นบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือของผม มันได้ลดความมั่นใจของผมลงไปเรื่อยๆ แผนปฏิบัติการครั้งนี้ มันกำลังจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมพากำลังพลทุกหน่วย ยานเกราะทุกคัน อาวุธทุกชิ้นออกมาไกลถึง60กิโลเมตร เพื่อที่จะมาจับนักโทษชั้นเยี่ยมคนเดียว? ให้ตายเถอะ ข้ออ้างนี้มันห่วยแตก ผมคงได้มีฉายาเป็นไอ้โง่ ไอ้โง่ประจำหน่วยที่15 ผู้ซึ่งโดนปั่นหัวเสียเละเทะ นี่มันเลวร้ายมากๆ เลวร้ายยิ่งกว่าโดนนักโทษฆ่าตายขณะหลบหนีเป็นร้อยเท่า
ดูเหมือนหลังจากจับนักโทษคนที่ว่าได้ หลังกลับไปที่หน่วยการทรมาณเค้นความจริงที่มันจะได้เจอ คงจะรุนแรงเป็นพิเศษแน่ๆ
เวลา 4.00 น.
ลูกน้องของผมเริ่มผ่อนคลายตัวลง หลังจากที่ระยะเวลาผ่านมากว่า 40นาที แต่ก็ยังไร้วี่แววของเป้าหมาย ถึงแม้จะกลับไปแสดงท่าทีแข็งขันทุกครั้งที่ผมถลึงตาใส่ แต่เมื่อละสายตาได้ไม่นาน พวกเขาก็เริ่ม ลดการป้องกันลงเหมือนเก่า
จนกระทั่ง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ทุกคนกลับไปตื่นตัวอีกครั้ง แต่ก็แค่ชั่วครู่เดียว เพราะภาพที่ปรากฎ สู่สายตาก็คือ นักโทษสาว A 001 ได้ปรากฎตัวขึ้นบนถนนด้วยจังหวะการเดินที่ไม่มั่นคง และลมหายใจที่เริ่มระส่ำระส่าย ดูเหมือนเธอจะวิ่งมาตลอด4ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เธอสวมชุดเดียวกันกับที่เรายึดไว้ก่อนจะโยนเธอเข้าห้องขัง เหอะ!ไม่มีอะไรอุปกรณ์ใดของศพที่สูญหายงั้นเรอะ ไอ้งี่เง่าวลาด ทำไมไม่ตรวจดูอุปกรณ์ในคลังวะ ผมสบถในใจด้วยความหัวเสีย และเหลือบไปมองรองหัวหน้าด้วยสายตาเอาเรื่อง ดูเหมือนรายงานตาแก่นั่นจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว
ใครจะรู้กันล่ะว่านอกจากชุด เธอได้อะไรติดมือไปบ้าง
เธอเดินมาและทิ้งตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรงบนถนนเบื้องหน้าเราพอดี ห่างออกไปแค่10เมตร ก็มีกระบอกปืน พลาสม่าเล็งเป้าไปที่เธออยู่ หากเธอรู้เข้า คงจะใช้แรงทั้งหมดที่มีรีบหนีไปจากที่นี่แน่นอน
และทันใดนั้นเอง เราก็ได้ยินเสียงที่พวกเราเฝ้ารอ เสียงเครื่องยนต์รถขนาดใหญ่ ที่มีไว้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือบรรจุทรัพยากร พวกมันปรากฎขึ้นในสายตาของผมโดยรอบข้างประกบด้วยกำลังพลเดินเท้า และนำหน้าด้วยยานเกราะลำเลียงพลขนาดเล็ก"จี๊ป" และแน่นอนว่า แทบไม่มีอาวุธหนักประจำการเลย อันที่จริง ไม่มีเลยด้วยซ้ำ อาวุธที่อันตรายที่สุดที่พวกมันพกมา กลับเป็นเพียงดาบประจำกาย และมีจำนวนคนทั้งสิ้น 15คน ในขณะที่กองกำลังผมมี มากกว่าเกือบๆสามเท่า
แต่ค่าหัวที่สูงลิบของอีกฝ่าย ทำให้ผมได้สติและไม่คิดจะประมาทพวกเขาอย่างเด็ดขาด เมื่อคิดถึงจำนวนผู้รับภารกิจที่ล้มเหลว
และสูญหายแล้ว หากพวกเขาจะสามารถใช้ดาบตัดกระสุนได้ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักนิด
B : SMILE PROJECT มหันตภัยโครงการชำระบาป ตอนที่ 1
และไม่ว่าเมื่อไหร่ ก็เป็นปลาใหญ่ ที่ได้กินปลาเล็ก เสมอมา
ณ ฐานบัญชาการกองกำลังทหารรับจ้างหน่วยที่ 15
ผมชื่อ เอดจ์ เรมอนด์ นายกอง ผู้มียศสูงสุดของสถานที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นหน่วยชั้นนอก ที่กำลังพลไม่มากนัก แต่ก็นับเป็นตำแหน่งที่น่าอิจฉาอยู่ดี
ในมือของผมมี อาร์ค แผ่นม้วนทำจากหนังสัตว์ฃึ่งถูกวาดลวดลายเป็นวงกลมขนาดเล็กใหญ่บนเส้นขีดบางๆจำนวนทั้งสิ้น 14บรรทัด
มันอาจดูไร้ความหมาย แต่วงกลมแต่ละวงมีช่วงจังหวะการเว้นที่แน่นอน ส่วนขนาด ก็ไม่ได้เป็นการไล่จากเล็กไปใหญ่ หรือจากใหญ่ไปเล็ก และด้วยเหตุผลที่ว่ามา หากใครหน้าไหนดูไม่ออกว่ามันคืออนุกรมรหัสลับ ก็คงจะโง่เกินกว่าจะอยู่รอดในหน้าหนาวในทวีปอันเซียได้
ผมเพ่งมองมันพลางจิบชาเอ้อหลาน มันเป็นชาที่ให้กลิ่นหอมมากที่สุดในบรรดาชาที่ยังสามารถเจริญเติบโตบนสภาพอากาศและพื้นดินที่ย่ำแย่บนโลกนี้โดยไม่ต้องอาศัยเรือนกระจกเพาะเลี้ยง หากจะจัดคะแนนให้มันละก็ คงจะได้เกรด Aเลยทีเดียวเชียว ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วเราจะอยากปลูกต้นข้าวขึ้นมากกว่าต้นชานี่ก็ตามที
หลังจากที่ชาเอ้อหลานของผมหมดไปเป็นแก้วที่2 คิ้วที่ขมวดเป็นปมของผมก็คลายออก มันเป็นอนุกรมรหัสลับประเภทอาศัยตัวหลอก หากสังเกตุดีๆก็จะพบรูปแบบที่ปรากฎซ้ำๆในแต่ละบรรทัด ซึ่งนั่นแหละ ลักษณะของชิ้นส่วนที่เราควรจะตัดทิ้งไปก่อนได้เลย
ภายในเนื้อหาได้ใจความว่าเป็นตารางเวลาที่มีลักษณะค่อนข้างถี่ เป็นไปได้ว่าจะเป็นการหาทรัพยากร
หลังจากที่ได้ข้อมูลเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินหมากตาถัดไปเสียที เป้าหมายครั้งนี้ ค่อนข้างทำเงินได้ดีทีเดียว และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือฐานอำนาจการต่อรองของผมต่อ “รูเลอร์” ก็จะมากขึ้นด้วย เพียงแค่คิดมันก็ทำให้ผมยิ้มแก้มปริแล้ว จากนี้ไป การเจรจาติดต่อขอซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และเครื่องอำนวยความสะดวกคงจะราบรื่นขึ้นเยอะ
“ท่านครับ มีรายงานด่วนครับ” ชายแก่คนหนึ่งของผมโผล่พรวดเข้ามาในห้องโดยไม่มีการขออนุญาตใดๆ เขาชื่อ ออกุสตาฟ วลาด มียศเป็นถึงรองหัวหน้ากอง สามารถออกคำสั่งควบคุมทั้งหน่วยแทนผมได้เลยทีเดียว ตาแก่นี่มีระเบียบวินัย ขยัน อดทน และโง่ ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ควบคุมง่าย
ผมพยักหน้าเป็นนัยว่า ผมพร้อมจะรับฟัง
“คือว่า นักโทษ รหัส A 001 ของเราหลบหนีออกไปแล้วครับ”ชายแก่คนนั้นกล่าวด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก และเสียงสั่นเพราะนักโทษที่หลบหนีออกไปได้นั้น มีค่ามากพอจะสั่งถลกหนังผู้ดูแลตั้งแต่ยามหน้าประตูไปจนถึงหัวหน้าหน่วย นำไปปิ้ง ทาเกลือ และโยนให้พวกทาสกินต่อหน้าได้เลยซะด้วยซ้ำ ไม่บ่อยนักที่เราจะได้กักขังขักโทษระดับ A พวกเขาถือเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม
“อ่าหะ แล้ว ความเสียหายล่ะ?” ผมเอ่ยถามเสียงเรียบ โดยที่รอยยิ้มยังไม่หายไปจากใบหน้า
“พวกเราตายไป2คน บาดเจ็บสาหัสอีก3 และอีกคนหนึ่งถูกจับไปเป็นตัวประกันขณะหลบหนีครับ”ชายแก่คนนั้นดูท่าทีผ่อนคลายลง เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ได้มีท่าทีหัวเสียแต่อย่างใด
“เป็นเพราะ ท่านสั่งไว้ว่า ห้ามฆ่าเด็ดขาด เลยทำให้พ..”
“เออ รู้แล้ว!” ผมตวาดตัดรำคาญไปโดยที่มันยังไม่ทันจะพูดจบดี
“ไอ้ที่โดนจับไปน่ะ นับว่าตายไปเลย มันคงไม่โง่ปล่อยตัวประกันกลับมาหรอก แล้วที่ถามน่ะ หมายถึงมันเอาอะไรติดตัวไปได้บ้างต่างหากโว้ย” รอยยิ้มของผมหายไปแล้ว และปรากฎรอยขมวดที่คิ้วแทน
“ขออภัยครับ! จำนวนทหารที่ตายมีทั้งสิ้น3คน บาดเจ็บสาหัสอีก3 และไม่พบอุปกรณ์ที่หายไปจากศพครับ!”ชายแก่คนนั้นก้มหัวลงและรีบแก้ผลรายงานใหม่อีกครั้ง
“ดี ส่งหน่วยที่1ออกสอดแนม ติดตามเส้นทางการหนี และเรียกหน่วยที่ 2 3 5 7 มาเข้าพบผมที ในอีก5นาที อย่าให้ช้าล่ะ”
“ย่าห์!”ชายแก่คนนั้นเหยียดตัวตรงเปล่งเสียงออกมาพร้อมกับตบฝ่ามือขวาเข้าที่ไหล่ซ้ายด้วยท่าทีแข็งขันประหนึ่งทหารหนุ่มจบใหม่เป็นการทำความเคารพ ก่อนจะรีบออกจากห้องไป
อืมม กรณีถูกจับเป็นเชลยแล้วหลบหนี โดยหลักทั่วไปตามตำราแล้ว ควรจะสร้างความปั่นป่วนภายในค่ายและหลบซ่อนรอจนกำลังเสริมเข้ามาทำการช่วยเหลือ ระหว่างนั้นก็สร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด การที่หนีออกไปโดยไม่แม้แต่จะหยิบฉวยอุปกรณ์ไปด้วย แสดงว่า จะต้องรีบมากๆ เช่น เพื่อไปให้ทันกำหนดการณ์ออกหาทรัพยากร...
ความคิดผมแล่นทันที การหนีออกไปของนักโทษคนนี้ยิ่งเป็นการยืนยันความถูกต้องในการถอดรหัสของผม เพราะเส้นทางที่จะออกเดินทางครั้งถัดไปมันจะถึงที่หมายในอีก3ชั่วโมง ระยะห่างจากที่นี่ก็น่าจะราวๆ 60 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ในเมื่อกองกำลังของผมมียานเกราะเข้าประจำการแล้วถึง3คัน
“ขออนุญาตเข้าพบครับ”มีเสียงดังขึ้นจากนอกห้องแทรกระหว่างที่ผมกำลังคิดแผนการ
“เข้ามาได้” ผมตอบรับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
จากนั้น ชายหนุ่ม 4คนก็ได้เข้ามายืนต่อหน้าผม พวกเขาแต่ละคนเป็นหัวหน้าหน่วยที่ผมได้ประกาศเรียกตัวไปเมื่อสักครู่นี้เอง
“เอาล่ะ ผมมีงานสำคัญจะให้พวกคุณทำ” รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของผมอีกครั้ง
คืนเดือนมืด
เวลา 2.40 น.
เวลาล่วงเลยไปกว่า 2ชั่วโมงครึ่ง หลังจากระบุพิกัดที่น่าจะเป็นจุดนัดพบ ผมและลูกน้องก็รีบเข้าประจำการเพื่อดักรอ ยานเกราะสีดำที่ถูกพรางตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความมืดสุดลูกหูลูกตา อีกทั้งยังเป็นคืนเดือนมืดอีกด้วย ทุกอย่างช่างเหมาะเจาะแก่การซุ่มโจมตี ตอนนี้ผมได้จัดวางกำลังพลกระจายตัวกัน3หมู่ตามแนวพุ่มไม้ทางด้านซ้ายมือของถนน เพื่อให้แน่ใจว่ากระสุนพลาสม่าที่ยิงออกไปจะไม่โดนพวกเดียวกันเอง และกรณีแผนบุกโจมตีล้มเหลว ผมก็จัดการโค่นต้นไม้ดักเส้นทางไว้ก่อนแล้ว เหตุผลที่ต้องลงทุนขนาดนี้ก็เพราะว่า ค่าหัวสำหรับ”เป็น”จะมีค่ากว่า”ตาย”
เวลา 3.20 น.
ตอนนี้มันผ่านมา5นาทีแล้ว ทุกคนในหน่วยอยู่ในสภาวะกดดัน เสียงลมหายใจเงียบสนิท สมาธิของทุกคนเพ่งอยู่ที่สัมผัสทั้งการมองเห็นและได้ยิน เพราะเป้าหมายเราอาจจะโผล่มาได้ทุกเมื่อ และมันจะไม่มีครั้งที่สองแน่ๆ แต่ถ้าหากเป้าหมายไม่โผล่มา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะอย่างน้อยผมก็จะจับตัวนักโทษคนนั้นกลับไปได้อยู่ดี
ถึงแม้ว่าความน่าเชื่อถือของผมจะเละเทะต่อหน้าลูกน้องก็ตามทีเถอะ
เวลา 3.25 น.
ทุกๆนาทีๆที่เพิ่มขึ้นบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือของผม มันได้ลดความมั่นใจของผมลงไปเรื่อยๆ แผนปฏิบัติการครั้งนี้ มันกำลังจะล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมพากำลังพลทุกหน่วย ยานเกราะทุกคัน อาวุธทุกชิ้นออกมาไกลถึง60กิโลเมตร เพื่อที่จะมาจับนักโทษชั้นเยี่ยมคนเดียว? ให้ตายเถอะ ข้ออ้างนี้มันห่วยแตก ผมคงได้มีฉายาเป็นไอ้โง่ ไอ้โง่ประจำหน่วยที่15 ผู้ซึ่งโดนปั่นหัวเสียเละเทะ นี่มันเลวร้ายมากๆ เลวร้ายยิ่งกว่าโดนนักโทษฆ่าตายขณะหลบหนีเป็นร้อยเท่า
ดูเหมือนหลังจากจับนักโทษคนที่ว่าได้ หลังกลับไปที่หน่วยการทรมาณเค้นความจริงที่มันจะได้เจอ คงจะรุนแรงเป็นพิเศษแน่ๆ
เวลา 4.00 น.
ลูกน้องของผมเริ่มผ่อนคลายตัวลง หลังจากที่ระยะเวลาผ่านมากว่า 40นาที แต่ก็ยังไร้วี่แววของเป้าหมาย ถึงแม้จะกลับไปแสดงท่าทีแข็งขันทุกครั้งที่ผมถลึงตาใส่ แต่เมื่อละสายตาได้ไม่นาน พวกเขาก็เริ่ม ลดการป้องกันลงเหมือนเก่า
จนกระทั่ง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ทุกคนกลับไปตื่นตัวอีกครั้ง แต่ก็แค่ชั่วครู่เดียว เพราะภาพที่ปรากฎ สู่สายตาก็คือ นักโทษสาว A 001 ได้ปรากฎตัวขึ้นบนถนนด้วยจังหวะการเดินที่ไม่มั่นคง และลมหายใจที่เริ่มระส่ำระส่าย ดูเหมือนเธอจะวิ่งมาตลอด4ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม เธอสวมชุดเดียวกันกับที่เรายึดไว้ก่อนจะโยนเธอเข้าห้องขัง เหอะ!ไม่มีอะไรอุปกรณ์ใดของศพที่สูญหายงั้นเรอะ ไอ้งี่เง่าวลาด ทำไมไม่ตรวจดูอุปกรณ์ในคลังวะ ผมสบถในใจด้วยความหัวเสีย และเหลือบไปมองรองหัวหน้าด้วยสายตาเอาเรื่อง ดูเหมือนรายงานตาแก่นั่นจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว
ใครจะรู้กันล่ะว่านอกจากชุด เธอได้อะไรติดมือไปบ้าง
เธอเดินมาและทิ้งตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรงบนถนนเบื้องหน้าเราพอดี ห่างออกไปแค่10เมตร ก็มีกระบอกปืน พลาสม่าเล็งเป้าไปที่เธออยู่ หากเธอรู้เข้า คงจะใช้แรงทั้งหมดที่มีรีบหนีไปจากที่นี่แน่นอน
และทันใดนั้นเอง เราก็ได้ยินเสียงที่พวกเราเฝ้ารอ เสียงเครื่องยนต์รถขนาดใหญ่ ที่มีไว้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือบรรจุทรัพยากร พวกมันปรากฎขึ้นในสายตาของผมโดยรอบข้างประกบด้วยกำลังพลเดินเท้า และนำหน้าด้วยยานเกราะลำเลียงพลขนาดเล็ก"จี๊ป" และแน่นอนว่า แทบไม่มีอาวุธหนักประจำการเลย อันที่จริง ไม่มีเลยด้วยซ้ำ อาวุธที่อันตรายที่สุดที่พวกมันพกมา กลับเป็นเพียงดาบประจำกาย และมีจำนวนคนทั้งสิ้น 15คน ในขณะที่กองกำลังผมมี มากกว่าเกือบๆสามเท่า
แต่ค่าหัวที่สูงลิบของอีกฝ่าย ทำให้ผมได้สติและไม่คิดจะประมาทพวกเขาอย่างเด็ดขาด เมื่อคิดถึงจำนวนผู้รับภารกิจที่ล้มเหลว
และสูญหายแล้ว หากพวกเขาจะสามารถใช้ดาบตัดกระสุนได้ ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักนิด