นวบริขาร! สำหรับสงฆ์ยุคใหม่



สองวันก่อน โฆษกอัยการฯ ท่านออกมาแถลงถึงเรื่องคดีรถหรู(แต่เถื่อน) ของสมเด็จช่วง โดยคร่าวๆ กล่าวถึงการสั่งไม่ฟ้องหลวงพี่แป๊ะ เลขานุการสมเด็จช่วง ที่ทาง DSI ฟ้องรวมเข้าไปเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้ต้องหาให้อัยการพิจารณา

พออัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง...หลายคนในนี้เริงร่า...แถมออกอาการกระหยิ่ม ..บ้างถึงกับตั้งกระทู้แนะนำให้คนที่เคยกล่าวหาพระเร่งไปหาธูปเทียนแพรแห่กันไปขอขมาหลวงพ่อหลวงพี่กันซะ!

เรื่อง "รถ" กับ "สงฆ์" ...ดูจะเป็นเรื่องปกติที่พบเห็นกันบ่อยขึ้น.... ต่างจังหวัดก็มีไม่น้อย...พระเล็กหน่อยใช้โตโยต้า...ใหญ่ขึ้นมาฟอร์จูนเนอร์...กระเถิบชั้นก็ว่ากันไปสังฆานุศักดิ์

จากที่พุทธองค์ทรงให้ภิกขุ  มีชีวิตด้วยบริขาร 8 ว่าด้วย ผ้าสี่..เหล็กสาม.น้ำหนึ่งอย่างที่ทราบกัน
บัดนี้..มันจะเป็น  "นวบริขาร" ที่จำเป็นอีกสิ่งอย่าง  “รถ” เข้ามาซะแล้ว
  
จริงๆ  เรื่องรถนำเข้าจดประกอบ และหลีกเลี่ยงภาษี ไม่ได้เป็นคดีใหญ่โตอะไร....ถูกจับถูกฟ้องถูกปรับกันถมถืดไป  
แต่นี่บังเอิญว่า รถเถื่อนมันดันมาอยู่ในความครอบครองของพระสงฆ์องคเจ้าที่มีตำแหน่งใหญ่โต ระดับชั้นสมเด็จที่เกือบจะแคนดิเดทได้ถึงตำแหน่ง “สังฆบิดร”  นี่ซิ

และเพราะเป็นถึงสมเด็จ..ลูกศิษย์ลูกหามากมาย เฉพาะแค่ลูกศิษย์เอก อย่างธัมมชโยรายเดียว สาวก..สาวิกา ก็แทบจะเหลือเฟือเผื่อให้กำลังใจในยามยาก  ...DSI จึงต้องลำบากเข้ามาทำเรื่องที่แทบไม่อยากทำนี้

หลายคนยังสับสนว่า...คดีนี้มันซับซ้อนแสนกลอย่างไรเชียว ...ก็ต้องขอทบทวนให้สมาชิกพันทิพ ผู้ติดตามได้ลองใคร่ครวญกันอีกที

ลองนึกตามกันดูว่า.... คนเรากว่าจะมีงานทำ ..ดาวน์รถคันเล็ก ๆ สักคัน ก็แสนจะยากเข็ญ  เพราะรถขนาดคันเล็กกระจึ๋งยังต้องพึ่งเงินตั้งสี่ส้าห้าแสนบาท...อาศัยเค้าเห็นว่ายังจน ก็เลยให้ผ่อนชำระ ..จะสี่ปี ห้าปี หรือเจ็ดปี ก็ว่ากันตามกำลัง

คนธรรมดาสามัญเวลาซื้อรถ...ก็ต้องไปซื้อตามห้างที่เค้าขายรถ หรือลงมานิดก็เดินดูเอาตามเต้นท์รถ...หรือกระเป๋าลดลงมาหน่อยก็อาจจะไปสอยรถเอาแถบที่เค้าจอดข้างทางพะกระดาษบนกระจกบอกว่า “ขาย”  

และเมืองไทยถ้าเป็นคนทั่วไป... คงไม่มีใครเดินดุ่ย ๆ เข้าไปในอู่ที่เค้าซ่อม,ปะผุรถ และเอาแค่ภาพรถที่ตนอยากได้ยื่นให้บอกว่า   “ฉันจะซื้อรถคันนี้”   เท่าไหร่?  

ก็แน่ละ...มีแต่คนเกินปกติเท่านั้นที่จะซื้อรถยนต์แบบพิเศษนี้  เพราะเอาเข้าจริงมันไม่มี หรือมีก็ต้องแพงระยับแบบพิเศษ หรือไม่ก็ "เถื่อน"

ก็เพราะอู่ซ่อมรถมันไม่ได้เปิดขายรถเป็นธุรกิจ!  

กรณีรถหรูคันดัง  ...เริ่มจาก  ใครคนหนึ่งเกิดอยากได้รถยนต์แบบพิเศษที่ไม่มีในเมืองไทย... เดินเข้าไปคุยกับอู่ซ่อมรถว่า แบบนี้ ๆ ทำได้มั้ย?  เพราะเคยมีแบบนี้มาก่อนแต่มันดันพลิกคว่ำสูญไป ..ก็อยากจะเอามาไว้เป็นที่คิดถึง(ไม่ได้ใช้สอยว่างั้น)

อู่ซ่อม ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า เชี่ยวชาญด้านการประกอบ,ซ่อมรถโบราณ ก็บอกประมาณว่าถ้ามีของมาครบก็ไม่เกินกำลังจะเชื่อมนั่น.ปะนี่..เย็บเบาะใหม่..ใส่เครื่องยนต์..พ่นสี ฯลฯ  มันก็ออกมาเป็นรถยนต์ในความเข้าใจของคนเป็นช่างซ่อมประกอบรถ

มันก็เลยกำเนิดขั้นตอนการนำเข้า โครงรถ,เครื่องยนต์ เพื่อนำมาเตรียมประกอบและแจ้งจดประกอบ .....ซึ่งถ้าจะว่ากันให้ครบคงยาวเหยียด  แต่เอาเป็นแบบสรุปก็คือ  ผิดตั้งแต่กระบวนการนำเข้า..แจ้งข้อมูลเท็จ...หลีกเลี่ยงภาษีทั้งศุลกากรและสรรพสามิต

จริง ๆ รายละเอียดเรื่องนี้มันไม่ได้ซับซ้อนซ่อนลึก.... ซึ่งนักกฎหมายที่เคยผ่านคดีพวกนี้ ก็ทราบกันดีว่า  ไม่ได้ยากเย็นอะไร!

ติ้งต่างง่าย ๆ     ถ้ารถที่มีปัญหาเสียภาษีไม่ถูกต้อง เกิดมีการตรวจสอบพบว่าอยู่ในการครอบครองของผู้ใด  คนนั้นก็เป็นอันเดือดร้อน
มันก็แห๋งซิครับ...เพราะรถยนต์มันเป็นทรัพย์สินที่ต้องทำนิติกรรม ..ต้องจดทะเบียน ดังนั้น ..แค่เปิดคู่มือรถก็พบแล้วว่าใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์...ใครเป็นผู้ครอบครอง

เมื่อเจอแบบนี้....ตำรวจก็ต้องแจ้งขอหาให้เจ้าของรถตามสมุดทราบว่า รถคันนี้มันผิด เพราะนั่นนี่ตามที่สืบทราบและมีพยานหลักฐาน
เจ้าของรถก็มีหน้าที่ต้องขึ้นศาล...เสียค่าปรับตามแต่ละรายทางที่หลีกเลี่ยงมา ทั้งศุลกากร...สรรพสามิต เมื่อค่าปรับเสียเรียบร้อยแล้วก็ว่ากันที่อาญาว่าศาลท่านจะเมตตาลดโทษหรือไม่ตามขั้นตอน

เมื่อรู้ว่ารถตัวเองมีที่มาไม่ดี และตนถูกจับเพราะรถ...มันก็เป็นธรรมดาที่มีหน้าที่ต้องไปไล่ฟ้องไล่เบี้ยเอากับอู่หรือเตนท์หรือที่ตนเองหลงเชื่อไปซื้อมา  ...ฟ้องได้เงินคืนกับที่ตนเสียค่าปรับไปเพียงใดหรือไม่ก็เป็นอีกกรณี

เรื่องก็มีกระบวนการแค่นี้!


แต่คดีนี้....รายชื่อที่ถูกฟ้องโดย DSI ไปยังอัยการ มันไม่มีสมเด็จช่วง.....ทั้งที่สมุดก็ยังพะชื่อหราว่าท่านครอบครองรถคันนี้
แปลกอีกทีก็ตรงที่ DSI  เลือกที่จะฟ้องหลวงพี่แป๊ะเข้าไปใน 7 คน แทนที่จะเป็น 8 คน!

คดีมันเลยยากตรงนี้.... เพราะถ้าฟ้อง 8 คนครบ...วงจรกระบวนการรถคันนี้มันก็สมบูรณ์  แต่เมื่อตัดหัวขบวนออก ...มันก็คงโทษอัยการท่านไม่ได้ เพราะหลวงพี่แป๊ะ ท่านก็เลยเป็นแค่ตัวละครลอย ๆ ที่ตัวเชื่อมให้มันวงกลมของกระบวนการมันขาดหายไป

ดังนั้นจึงเป็นคดีที่น่าสนใจ เพราะตัดพระออก...ฟ้องแต่โยม!

คดีนี้คงยังไม่จบง่าย......เพราะ อู่ที่รับซ่อมประกอบรถ ถูกหวยสรรพสามิตให้จ่ายภาษีเกือบ 7 ล้าน!  แถมหลวงพี่แป๊ะยังฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายอีก 10 ล้าน!

จำไว้.......   อยู่ใกล้พระ ใช่จะดี................. เจอแบบนี้  ก็คิดกันเอาเอง.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่