สาวน้อยพลังจิต
ตอนที่ 3 กุญแจปริศนา
คืนนั้นทรายพยายามไม่นอน เพื่อจะได้ไม่ต้องฝัน เธอพยายามครุ่นคิดหาวิธีตีความหมายจากฝัน แต่เมื่อพยายามเรียบเรียงเรื่องราวก็รู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวทุกที ภาพของการต่อสู้ที่ชายคนเดียวใช้ดาบฆ่าฟันคนทั้ง 8 แม้จะใช้เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวแต่เป็นภาพที่สยดสยองมาก เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรุนแรงแห่งความอาฆาต เคียดแค้น และพยาบาทที่ออกมาจากทุกๆคนที่เสียชีวิตในความฝันนั้นทุกครั้ง
ทรายคิดอยู่แต่เพียงว่าถ้ามีใครสักคนช่วยไขปริศนาความฝันให้แก่เธอได้ ก็คงช่วยทำให้เธอแสวงหาวิธีหยุดความฝันนี้ได้ แล้วใครล่ะ และด้วยวิธีไหน เธอวนเวียนครุ่นคิดกลับไปกลับมา หรือว่าเป็นเรื่องของเทพต้องการมาใช้ร่างเพื่อลงทรงจริงๆ เธอวนเวียนครุ่นคิดจนเผลอหลับไป
“ลูกทราย ลูก.........”
เสียงแม่อรปลุก เธอก้มลงลูบศีรษะทรายอย่างเอ็นดูที่ข้างเตียงนอน
ทรายสะดุ้งตื่นขึ้น แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เป็นอะไรลูก พอเห็นแม่ก็ถอนหายใจเลยนะ”
“เปล่าค่ะแม่ หนูโล่งใจต่างหาก เมื่อคืนหนูไม่ได้หลับเลย พยายามบังคับไม่ให้หลับ จะได้ไม่ต้องฝัน”
ทรายลุกขึ้นพูด ดวงตาแดงก่ำจากการอดนอน
“ลูกแม่........”
แม่อรโอบทรายไว้กับอก ท่าทีเห็นอกเห็นใจทุกร้อนกับปัญหาของทรายอย่างที่สุด
ทรายชันตัวขึ้นนั่งแล้วพูดต่อ
“แล้วก็ฝันจนได้ กำลังจะถึงตอนที่เขาเตรียมจะฆ่ากันอีกแล้ว แม่ก็มาปลุกพอดี หนูเลยโล่งใจที่วันนี้ไม่ต้องเห็นภาพที่น่ากลัวนั้นอีก”
“ดีแล้วลูก แม่ดีใจที่พอจะช่วยอะไรหนูได้บ้าง แม่ก็กลุ้มใจนะ ไม่รู้จะช่วยหนูยังไงให้อ้ายโรคฝันร้ายนี่หายไปซะที................” พูดถึงตรงนี้ แม่ลูกกอดคอกันร้องไห้
แม่อรใช้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มของทราย แววตาที่อ่อนโยนและวิตกทุกข์ร้อนแทน ทำให้ทรายคลายความเศร้าและเซ็งไปได้มากทีเดียว
“ไปลูก วันนี้ไปโรงพยาบาลคนเดียวนะ แม่อยากไปกับหนู แต่แม่ก็ต้องไปทำงาน แม่เป็นห่วงหนูจริงๆ........” พูดจบทั้งแม่ทั้งลูกก็กอดคอกันร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง
“หนูต้องเข้มแข็งนะ อย่าถือสาพ่อเขานะ แม่รักหนูมากนะ...........”
เสียงของแม่อรอู้อี้ เพราะน้ำมูกน้ำตาไหลลงคอลงจมูก
ทรายเงยหน้าขึ้นสบตาแม่อร แววตาส่งสัญญาณให้รู้ว่าเธอจะต่อสู้กับปัญหาต่อไปด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง
.................................................................................................................................................................................
“เรื่องที่คุณเล่าก็แปลกดี แต่มันก็เป็นแค่ความฝัน แล้วเรื่องเข้าทรงอะไรนั่น ที่คุณร้องไห้จนสลบไป ก็เพราะคุณอดนอนมาจากตอนกลางคืน และพิธีกรรมอาจทำให้รู้สึกเครียด ไม่ใช่เจ้าเจิ้วอะไรมาลงหรอก”
จิตแพทย์พูดกับทราย หยิบใบสั่งยาขึ้นมาเขียนด้วยลายมือหวัดๆตามสไตล์หมอทั่วไป
“หนูอยากให้หมอช่วยหนูทำนายฝัน” ทรายพูดเขินๆ เพราะความต้องการของเธอมันดูเปิ่นและไร้สาระมาก เธอกลัวถึงขนาดว่าหมอคงจะเอ็ดเอา แต่ทรายเหมือนจนตรอกจริงๆ
จิตแพทย์คนนั้นหยุดเขียนใบสั่งยากึก เงยหน้าขึ้นมองดูทรายช้า ๆ
“หนูมาผิดที่แล้ว ผมเป็นจิตแพทย์ ไม่ใช่หมอดู”
จิตแพทย์คนนั้นยื่นใบสั่งยาให้พยาบาลแล้วไม่พูดอะไรอีก
ทรายเดินคอตกไปยืนรอที่เคาน์เตอร์จ่ายยา
“อันนี้ยานอนหลับ ให้ทานเฉพาะคืนที่นอนไม่หลับนะคะ..........
อันนี้ยาคลายเครียด กิน 3 เวลาหลังอาหาร.................
อันนี้ยาแก้ซึมเศร้า ทานทีละครึ่งเม็ด..................”
ทรายรับยาแล้วก็เดินเหม่อออกจากโรงพยาบาล สีหน้าครุ่นคิดตลอดทาง กระทั่งมาถึงห้างแห่งหนึ่งจึงเดินเข้ามาเตร็ดเตร่ ดูของตามตู้ชั้นวางโชว์ไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่าจะช่วยให้เธอปลดปล่อยความอัดอั้นออกไป
กระทั่งมาถึงร้านขายหนังสือ
“แล้วจะรู้ว่าคุณบ้าหรือเปล่า”
ทรายออกเสียงอ่านชื่อหนังสือพึมพำในลำคอ ก่อนจะหยิบไปจ่ายเงินที่หน้าร้าน
..................................................................................................................................................................................
เมื่อกลับถึงบ้าน ทรายอ่านหนังสือนั่นรวดเดียวจบ ถือรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที เธอรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้จะให้แนวทางบางอย่างแก่เธอในการแก้ปัญหาของตัวเอง
เย็นวันนั้น เมื่อแม่อรกลับมาถึงบ้าน เธอจึงไปเล่าความคิดของตัวเองให้แม่อรฟัง
“หนูเพิ่งไปพบจิตแพทย์มาคนนึงเมื่อเช้า พรุ่งนี้จะเปลี่ยนอีกแล้วเหรอ แม่ไม่เห็นด้วย แม่เห็นว่าควรรักษากับหมอคนนึงระยะนึงก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นเราค่อยว่ากันใหม่ ไม่ใช่ยังไม่ทันข้ามวันก็เปลี่ยนหมอซะแล้ว”
แม่อรออกความเห็น เมื่อทรายบอกว่าจะไปพบจิตแพทย์อีกคน ที่เป็นเจ้าของหนังสือเล่มที่เธอซื้อมาอ่าน
“แต่แม่ จริงๆนะ หมอคนแรกคงไม่น่าจะช่วยอะไรหนูได้ หนูถึงได้พยายามแสวงหาว่าใครจะเข้าใจหนูได้อีก จากหนังสือเล่มนั้นทำให้หนูรู้ว่าพอจะมีใครอีกที่ช่วยหนูได้บ้าง”
ทรายชี้แจงด้วยสายตาวิงวอน
“อะไรๆก็มีแต่เสียเงิน จะเปลี่ยนหมอกี่คนกี่คนก็มีแต่ผลาญเงินมากขึ้นทุกที”
วินเอ่ยลอยๆแล้วรีบเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรู้วิธีหลบฉาก
แม่อรหันไปค้อนไล่หลังวิน
“รักษากับหมอคนแรกพักนึงก่อน ถ้าไม่ได้ความยังไงค่อยว่ากันใหม่ ตกลงตามนี้นะ”
แม่อรออกคำสั่งพร้อมชูนิ้วชี้เป็นสัญญาณให้ทรายทำตามห้ามบิดพลิ้ว
..................................................................................................................................................................................
“ทำไมไม่ไปเข้าวัดวะ เผื่อพระช่วยได้.............”
แพรวเพื่อนสนิทของทรายที่โรงเรียน เอ่ยขึ้นเมื่อทรายเล่าให้ฟังว่าไปพบจิตแพทย์มา
“เคยแล้ว แม่พาไปถวายสังฆทาน ทำบุญอะไรอย่างนี้อ่ะ ไม่เห็นจะเลิกฝันเลย”
ทรายตอบ
“แต่แกก็ไม่เคยไปเจอพระซึ่งๆหน้า แล้วเล่าให้พระฟังใช่มั้ย คราวนี้ลองไปเล่าแล้วถามตรงๆซีวะ เผื่อท่านจะชี้ทางสว่างให้กับเราได้”
แพรวพูดจบก็เดินนำทรายไปที่แผงขายขนมในโรงอาหารของโรงเรียน
“ไปหาจิตแพทย์นะ เดี๋ยวคนรู้จะหาว่าเราเป็นบ้ารู้เปล่า ฉันลองถามแม่ฉันดูนะ แม่ฉันบอกให้ไปลองเข้าวัดฟังเทศน์ ฝึกนั่งสมาธิอะไรยังงี้อ่ะ เผื่อช่วยได้”
“แล้วไปวัดไหนดีอ่ะ........”
ทรายเอ่ยถามลอยๆ
“ไปวัดซอยข้างบ้านแจ็คสิ น้าแจ็คบวชพระอยู่ แจ็คพาไปนะ”
อ้ายแจ็ค นักเรียนเกเรห้องเดียวกับทรายแอบเดินตามมาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ มันเดินตามฟังการสนทนาของสองสาวน้อยจนปะติดปะต่อเรื่องราวได้ พอสบโอกาสจึงพูดแทรกกลางปล้องขึ้นมาทันที
“อ้ายแจ็ค อย่ามาเสร่อแถวนี้หน่อยได้มั้ย”
พราวตะหวาดแจ็คลั่น จูงมือทรายให้เดินออกห่าง เพราะทั้งโรงเรียนใครๆก็รู้ ว่าแจ็คเป็นเด็กประเภทเหลือขอ ไม่มีใครอยากให้ความสนใจใยดี เพราะมีพฤติกรรมครบถ้วนคุณสมบัติของนักเรียนเกเร ไม่ว่าจะโดดเรียน คุยในชั้น ลอกการบ้าน ไม่เชื่อฟังครู และแกล้งเพื่อนนักเรียนด้วยกัน
“โธ่ เพื่อนช่วยเพื่อนน่ะ จะออกความเห็นบ้างจะเป็นไรไป เรียนห้องเดียวกัน เห็นทรายมาโรงเรียนหน้าตาอดนอนทุกวัน อ้ายเรื่องนอนหลับฝันซ้ำซากของทราย ฉันก็ได้ยินมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว เห็นความดีกันมั่งดิ คนอยากช่วย ได้ยินว่าจะไปเข้าวัดหาพระ น้าฉันบวชพระอยู่ มีอะไรก็จะได้ถามกันได้”
“ไม่ป่วนเล่นนะ” แพรวมองแจ็คด้วยหางตาแล้วถามอย่างแคลงใจ
“โด่ รับรองไม่มีเฮ และไม่สะตอบอรี่อีกตะหาก”
แจ็คชูสามนิ้วทำท่าเป็นลูกเสือ
“ลองดูเนอะ ฉันไปเป็นเพื่อนเธอเอง เดี๋ยวเลิกเรียนเราไปกันเลย”
พราวพูดจบทรายพยักหน้าตกลง แจ็คยิ้มกรุ้มกริ่ม เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
ทั้งสามเรียนหนังสืออยู่ห้องเดียวกัน 2 สาวถึงแม้จะไม่อยากข้องแวะกับแจ็ค แต่ก็ไม่ถึงกับโกรธเกลียดกัน แจ็คไม่ค่อยกล้ายุ่งวุ่นวายหรือทำอะไรให้เพื่อนนักเรียนในห้องไม่ชอบ เลือกที่จะไปแกล้งนักเรียนรุ่นน้องมากกว่า เพราะกลัวคนในห้องเดียวกันไม่ยอมให้ลอกการบ้าน
..................................................................................................................................................................................
หลังเสียงออดเลิกเรียนดัง นักเรียนชาย 1 หญิง 2 เดินตามกันออกมาที่หน้าประตูโรงเรียน
หญิงคนหนึ่งเดินมาที่คนทั้ง 3 แพรวร้องทักขึ้น
“ป้าชื่นมาทำไรอ่ะ”
“คุณหนู วันนี้คุณผู้ชายกลับดึก คุณนายมีธุระด่วนจะรีบออกไป คุณนายเลยให้คุณหนูกลับไปช่วยเฝ้าบ้าน และคุณนายมีเรื่องจะคุยกับคุณหนูด้วย เลยให้ป้าชื่นมาพาคุณหนูให้รีบกลับบ้าน”
ป้าชื่น แม่บ้านของแพรวพูดจบก็กุลีกุจอหยิบกระเป๋าจากมือแพรวไปถือ
แพรวทำท่าทีอิดออด มองแจ็คกับทรายเลิกลั่ก
“แหม ทำไงอ่ะ แพรวมีธุระต้องไปกับเพื่อนด้วยป้า กลับไปบอกคุณแม่วันนี้ขอวันนึงแล้วกัน”
“ไม่ได้เลยคุณหนู คุณหนูก็รู้ ถ้าไม่สำคัญ คุณนายไม่ส่งป้ามารอรับถึงนี่หรอก รีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวช้าคุณนายจะดุป้าเอา”
ป้าชื่นไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้แต่น้อย พูดจบก็ดึงแขนแพรวจะให้ออกเดินตามเธอไปเดี๋ยวนั้น
“ยังงี้วันนี้ก็ไม่ต้องไป เอาไว้วันหลัง”
แพรวหันไปบอกกับแจ็ค
“ไรวะ วัดอยู่ซอยข้างๆแค่นี้ เดินไปสิบนาทีก็ถึง แม่ให้คนมารับ ก็กลับไปก่อนเด่ะ ฉันพาทรายไปคนเดียวก็ได้”
“เอาเหอะ ไม่เป็นไร ฉันไปกับแจ็คสองคนก็ได้ แพรวรีบกลับเหอะ เดี๋ยวแม่รอ”
ทรายพยักเพยิดให้แพรวกลับไป
“ไม่ไว้ใจเลยว่ะ อ้ายแจ็คอย่าทำเสียเรื่องนะโว้ย พรุ่งนี้แม่เอาเรื่อง”
แพรวชี้หน้าพูดกับแจ็ค ก่อนจะหันเดินตามป้าชื่นไป
เมื่อแพรวเดินลับไปแล้วแจ็คกับทรายก็ออกเดินไปด้วยกันเข้าตามตรอกเล็กๆเพื่อลัดเลาะเข้าไปอีกซอยหนึ่ง ซึ่งมีวัดที่น้าของแจ็คบวชเป็นพระอยู่
“หน้าวัดเข้าทางนี้ นายจะไปทางไหน”
ทรายร้องถามเมื่อแจ็คนำไปคนละทางที่จะเข้าทางหน้าประตูวัด
“กุฏิน้าน่ะอยู่หลังวัด หน้าวัดเขามีไว้ตั้งร้านขายของกับศาลาการเปรียญ กุฏิพระเขาอยู่ด้านหลังกัน”
แจ็คสวนตอบกลับทันควัน แล้วเดินจ้ำอ้าวไม่หยุด
ทรายพยักหน้าแล้วเดินตามไปอย่างว่าง่าย
บรรยากาศด้านหลังวัดไม่น่ากลัวนัก ได้ยินเสียงทีวีดังออกมาจากไหนไม่แน่ใจ อาจเป็นบ้านที่อยู่นอกกำแพงวัด หรือกุฏิหลังไหนก็ได้ แมวลายเสือตัวอ้วน นอนหมอบอยู่บนกำแพง ลูกหมาครอกหนึ่งกำลังป้วนเปี้ยนอยู่กับการดูดนมจากราวนมแม่ ก้อนขี้หมาแห้งๆกระจัดกระจายเป็นหย่อมๆอยู่ทั่วไปบนทางคอนกรีตแคบๆ สักพักก็มาถึงบริเวณที่เป็นกุฏิพระ แจ็คพาทรายเดินเลี้ยวลดไปตามทางที่คดเคียว เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนน่าวิงเวียน
“กุฏินี้แหละ รออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูว่าน้าอยู่หรือเปล่า”
แจ็คชี้ให้ทรายนั่งรอที่ม้าหินข้างบันได
ตรงนั้นมีเรือนเล็กๆลักษณะเหมือนกุฏิวัดปลูกเรียงกันเป็นแถวอัดแน่นกันอยู่ในกำแพงอิฐสูง บรรยากาศสงบเงียบจนไม่สามารถรู้ได้เลย ว่ามีผู้คนอยู่กันที่เรือนหลังไหนบ้าง ลักษณะสิ่งปลูกสร้างเหมือนปลูกซ้อนกันแน่นไปหมดจนดูเหมือนทุกซอกซอยสามารถนำพาไปสู่กุฏิหลังใดหลังหนึ่งได้ ใครก็ตามที่ไม่เคยเข้ามาในนี้มาก่อน คงจะหาทางกลับออกไปยากพอสมควร
สักพักแจ็คก็ตะโกนเรียกลงมา
“อู้ว ขึ้นมาเร็ว”
ทรายถอดรองเท้าเดินตามขั้นบันไดไป
ข้างบนนั้นเป็นห้องเล็กๆ มีประตูสองชั้น ประตูชั้นนอกเปิดออกเต็มที่ ประตูชั้นในเป็นบานมุ้งลวด ทรายผลักบานมุ้งลวดเข้าไป มีข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับพระวางอยู่ที่มุมหนึ่ง ในห้องนั้นยังมีประตูข้างซ้ายข้างขวาอีกข้างละบาน ข้างหลังประตูนั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไร
“แล้วน้าแกอยู่ไหนล่ะ”
ทรายถามเมื่อไม่เห็นใครในห้องนั้นนอกจากแจ็ค
“มีสีกาขึ้นกุฏิ พระก็ต้องเข้าไปแต่งตัวให้สำรวมอ่ะดิ รอเดี๋ยว เดี๋ยวน้าก็ออกมา น้าฉันเคร่งมาก ปกติไม่ปล่อยให้สีกาขึ้นมาอยู่ด้วยสองต่อสองหรอกนะ”
แจ็คพูดจบก็เดินกลับออกประตูไป ทรายหันไปจะถาม เหมือนรู้ว่าจะถูกถาม แจ็คหันมากระซิบกระซาบ
“ไปถอดถุงเท้า มันมีกลิ่น เดี๋ยวน้าว่าเอา”
ในกุฎิมีกระดาษ 2-3 แผ่นแปะอยู่ที่ข้างฝา เป็นคติเตือนใจบ้าง บทสวดบ้าง ทรายเหลือบมองไปทั่วๆ ไม่ทันไรประตูบานนอกกุฎิก็ถูกปิดลง แสงด้านนอกถูกปิดกั้นไว้ ในห้องมืดลงทันที
ทรายหันกลับไป ยังไม่ทันจะระวังตัว แจ็คก็โถมเข้ามาใช้แขนทั้งสองกอดรัดเธอจนแน่น
“อ้ายแจ็ค ทำไรอ่ะ”
ทรายร้องเสียงหลง ไม่มีคำตอบ แจ็คออกแรงทุ่มตัวเองให้ลงนอนราบกับพื้น ทำให้ทรายล้มลงโดยมีแจ็คกดร่างอยู่
เธอขัดขืนอย่างสุดฤทธิ์ พยายามใช้มือแล
สาวน้อยพลังจิต ตอนที่ 3 กุญแจปริศนา
ตอนที่ 3 กุญแจปริศนา
คืนนั้นทรายพยายามไม่นอน เพื่อจะได้ไม่ต้องฝัน เธอพยายามครุ่นคิดหาวิธีตีความหมายจากฝัน แต่เมื่อพยายามเรียบเรียงเรื่องราวก็รู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวทุกที ภาพของการต่อสู้ที่ชายคนเดียวใช้ดาบฆ่าฟันคนทั้ง 8 แม้จะใช้เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวแต่เป็นภาพที่สยดสยองมาก เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกรุนแรงแห่งความอาฆาต เคียดแค้น และพยาบาทที่ออกมาจากทุกๆคนที่เสียชีวิตในความฝันนั้นทุกครั้ง
ทรายคิดอยู่แต่เพียงว่าถ้ามีใครสักคนช่วยไขปริศนาความฝันให้แก่เธอได้ ก็คงช่วยทำให้เธอแสวงหาวิธีหยุดความฝันนี้ได้ แล้วใครล่ะ และด้วยวิธีไหน เธอวนเวียนครุ่นคิดกลับไปกลับมา หรือว่าเป็นเรื่องของเทพต้องการมาใช้ร่างเพื่อลงทรงจริงๆ เธอวนเวียนครุ่นคิดจนเผลอหลับไป
“ลูกทราย ลูก.........”
เสียงแม่อรปลุก เธอก้มลงลูบศีรษะทรายอย่างเอ็นดูที่ข้างเตียงนอน
ทรายสะดุ้งตื่นขึ้น แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“เป็นอะไรลูก พอเห็นแม่ก็ถอนหายใจเลยนะ”
“เปล่าค่ะแม่ หนูโล่งใจต่างหาก เมื่อคืนหนูไม่ได้หลับเลย พยายามบังคับไม่ให้หลับ จะได้ไม่ต้องฝัน”
ทรายลุกขึ้นพูด ดวงตาแดงก่ำจากการอดนอน
“ลูกแม่........”
แม่อรโอบทรายไว้กับอก ท่าทีเห็นอกเห็นใจทุกร้อนกับปัญหาของทรายอย่างที่สุด
ทรายชันตัวขึ้นนั่งแล้วพูดต่อ
“แล้วก็ฝันจนได้ กำลังจะถึงตอนที่เขาเตรียมจะฆ่ากันอีกแล้ว แม่ก็มาปลุกพอดี หนูเลยโล่งใจที่วันนี้ไม่ต้องเห็นภาพที่น่ากลัวนั้นอีก”
“ดีแล้วลูก แม่ดีใจที่พอจะช่วยอะไรหนูได้บ้าง แม่ก็กลุ้มใจนะ ไม่รู้จะช่วยหนูยังไงให้อ้ายโรคฝันร้ายนี่หายไปซะที................” พูดถึงตรงนี้ แม่ลูกกอดคอกันร้องไห้
แม่อรใช้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มของทราย แววตาที่อ่อนโยนและวิตกทุกข์ร้อนแทน ทำให้ทรายคลายความเศร้าและเซ็งไปได้มากทีเดียว
“ไปลูก วันนี้ไปโรงพยาบาลคนเดียวนะ แม่อยากไปกับหนู แต่แม่ก็ต้องไปทำงาน แม่เป็นห่วงหนูจริงๆ........” พูดจบทั้งแม่ทั้งลูกก็กอดคอกันร้องไห้อีกครั้งหนึ่ง
“หนูต้องเข้มแข็งนะ อย่าถือสาพ่อเขานะ แม่รักหนูมากนะ...........”
เสียงของแม่อรอู้อี้ เพราะน้ำมูกน้ำตาไหลลงคอลงจมูก
ทรายเงยหน้าขึ้นสบตาแม่อร แววตาส่งสัญญาณให้รู้ว่าเธอจะต่อสู้กับปัญหาต่อไปด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง
.................................................................................................................................................................................
“เรื่องที่คุณเล่าก็แปลกดี แต่มันก็เป็นแค่ความฝัน แล้วเรื่องเข้าทรงอะไรนั่น ที่คุณร้องไห้จนสลบไป ก็เพราะคุณอดนอนมาจากตอนกลางคืน และพิธีกรรมอาจทำให้รู้สึกเครียด ไม่ใช่เจ้าเจิ้วอะไรมาลงหรอก”
จิตแพทย์พูดกับทราย หยิบใบสั่งยาขึ้นมาเขียนด้วยลายมือหวัดๆตามสไตล์หมอทั่วไป
“หนูอยากให้หมอช่วยหนูทำนายฝัน” ทรายพูดเขินๆ เพราะความต้องการของเธอมันดูเปิ่นและไร้สาระมาก เธอกลัวถึงขนาดว่าหมอคงจะเอ็ดเอา แต่ทรายเหมือนจนตรอกจริงๆ
จิตแพทย์คนนั้นหยุดเขียนใบสั่งยากึก เงยหน้าขึ้นมองดูทรายช้า ๆ
“หนูมาผิดที่แล้ว ผมเป็นจิตแพทย์ ไม่ใช่หมอดู”
จิตแพทย์คนนั้นยื่นใบสั่งยาให้พยาบาลแล้วไม่พูดอะไรอีก
ทรายเดินคอตกไปยืนรอที่เคาน์เตอร์จ่ายยา
“อันนี้ยานอนหลับ ให้ทานเฉพาะคืนที่นอนไม่หลับนะคะ..........
อันนี้ยาคลายเครียด กิน 3 เวลาหลังอาหาร.................
อันนี้ยาแก้ซึมเศร้า ทานทีละครึ่งเม็ด..................”
ทรายรับยาแล้วก็เดินเหม่อออกจากโรงพยาบาล สีหน้าครุ่นคิดตลอดทาง กระทั่งมาถึงห้างแห่งหนึ่งจึงเดินเข้ามาเตร็ดเตร่ ดูของตามตู้ชั้นวางโชว์ไปเรื่อยๆ เพราะคิดว่าจะช่วยให้เธอปลดปล่อยความอัดอั้นออกไป
กระทั่งมาถึงร้านขายหนังสือ
“แล้วจะรู้ว่าคุณบ้าหรือเปล่า”
ทรายออกเสียงอ่านชื่อหนังสือพึมพำในลำคอ ก่อนจะหยิบไปจ่ายเงินที่หน้าร้าน
..................................................................................................................................................................................
เมื่อกลับถึงบ้าน ทรายอ่านหนังสือนั่นรวดเดียวจบ ถือรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที เธอรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้จะให้แนวทางบางอย่างแก่เธอในการแก้ปัญหาของตัวเอง
เย็นวันนั้น เมื่อแม่อรกลับมาถึงบ้าน เธอจึงไปเล่าความคิดของตัวเองให้แม่อรฟัง
“หนูเพิ่งไปพบจิตแพทย์มาคนนึงเมื่อเช้า พรุ่งนี้จะเปลี่ยนอีกแล้วเหรอ แม่ไม่เห็นด้วย แม่เห็นว่าควรรักษากับหมอคนนึงระยะนึงก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นเราค่อยว่ากันใหม่ ไม่ใช่ยังไม่ทันข้ามวันก็เปลี่ยนหมอซะแล้ว”
แม่อรออกความเห็น เมื่อทรายบอกว่าจะไปพบจิตแพทย์อีกคน ที่เป็นเจ้าของหนังสือเล่มที่เธอซื้อมาอ่าน
“แต่แม่ จริงๆนะ หมอคนแรกคงไม่น่าจะช่วยอะไรหนูได้ หนูถึงได้พยายามแสวงหาว่าใครจะเข้าใจหนูได้อีก จากหนังสือเล่มนั้นทำให้หนูรู้ว่าพอจะมีใครอีกที่ช่วยหนูได้บ้าง”
ทรายชี้แจงด้วยสายตาวิงวอน
“อะไรๆก็มีแต่เสียเงิน จะเปลี่ยนหมอกี่คนกี่คนก็มีแต่ผลาญเงินมากขึ้นทุกที”
วินเอ่ยลอยๆแล้วรีบเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรู้วิธีหลบฉาก
แม่อรหันไปค้อนไล่หลังวิน
“รักษากับหมอคนแรกพักนึงก่อน ถ้าไม่ได้ความยังไงค่อยว่ากันใหม่ ตกลงตามนี้นะ”
แม่อรออกคำสั่งพร้อมชูนิ้วชี้เป็นสัญญาณให้ทรายทำตามห้ามบิดพลิ้ว
..................................................................................................................................................................................
“ทำไมไม่ไปเข้าวัดวะ เผื่อพระช่วยได้.............”
แพรวเพื่อนสนิทของทรายที่โรงเรียน เอ่ยขึ้นเมื่อทรายเล่าให้ฟังว่าไปพบจิตแพทย์มา
“เคยแล้ว แม่พาไปถวายสังฆทาน ทำบุญอะไรอย่างนี้อ่ะ ไม่เห็นจะเลิกฝันเลย”
ทรายตอบ
“แต่แกก็ไม่เคยไปเจอพระซึ่งๆหน้า แล้วเล่าให้พระฟังใช่มั้ย คราวนี้ลองไปเล่าแล้วถามตรงๆซีวะ เผื่อท่านจะชี้ทางสว่างให้กับเราได้”
แพรวพูดจบก็เดินนำทรายไปที่แผงขายขนมในโรงอาหารของโรงเรียน
“ไปหาจิตแพทย์นะ เดี๋ยวคนรู้จะหาว่าเราเป็นบ้ารู้เปล่า ฉันลองถามแม่ฉันดูนะ แม่ฉันบอกให้ไปลองเข้าวัดฟังเทศน์ ฝึกนั่งสมาธิอะไรยังงี้อ่ะ เผื่อช่วยได้”
“แล้วไปวัดไหนดีอ่ะ........”
ทรายเอ่ยถามลอยๆ
“ไปวัดซอยข้างบ้านแจ็คสิ น้าแจ็คบวชพระอยู่ แจ็คพาไปนะ”
อ้ายแจ็ค นักเรียนเกเรห้องเดียวกับทรายแอบเดินตามมาเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ มันเดินตามฟังการสนทนาของสองสาวน้อยจนปะติดปะต่อเรื่องราวได้ พอสบโอกาสจึงพูดแทรกกลางปล้องขึ้นมาทันที
“อ้ายแจ็ค อย่ามาเสร่อแถวนี้หน่อยได้มั้ย”
พราวตะหวาดแจ็คลั่น จูงมือทรายให้เดินออกห่าง เพราะทั้งโรงเรียนใครๆก็รู้ ว่าแจ็คเป็นเด็กประเภทเหลือขอ ไม่มีใครอยากให้ความสนใจใยดี เพราะมีพฤติกรรมครบถ้วนคุณสมบัติของนักเรียนเกเร ไม่ว่าจะโดดเรียน คุยในชั้น ลอกการบ้าน ไม่เชื่อฟังครู และแกล้งเพื่อนนักเรียนด้วยกัน
“โธ่ เพื่อนช่วยเพื่อนน่ะ จะออกความเห็นบ้างจะเป็นไรไป เรียนห้องเดียวกัน เห็นทรายมาโรงเรียนหน้าตาอดนอนทุกวัน อ้ายเรื่องนอนหลับฝันซ้ำซากของทราย ฉันก็ได้ยินมาตั้งแต่เทอมที่แล้ว เห็นความดีกันมั่งดิ คนอยากช่วย ได้ยินว่าจะไปเข้าวัดหาพระ น้าฉันบวชพระอยู่ มีอะไรก็จะได้ถามกันได้”
“ไม่ป่วนเล่นนะ” แพรวมองแจ็คด้วยหางตาแล้วถามอย่างแคลงใจ
“โด่ รับรองไม่มีเฮ และไม่สะตอบอรี่อีกตะหาก”
แจ็คชูสามนิ้วทำท่าเป็นลูกเสือ
“ลองดูเนอะ ฉันไปเป็นเพื่อนเธอเอง เดี๋ยวเลิกเรียนเราไปกันเลย”
พราวพูดจบทรายพยักหน้าตกลง แจ็คยิ้มกรุ้มกริ่ม เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
ทั้งสามเรียนหนังสืออยู่ห้องเดียวกัน 2 สาวถึงแม้จะไม่อยากข้องแวะกับแจ็ค แต่ก็ไม่ถึงกับโกรธเกลียดกัน แจ็คไม่ค่อยกล้ายุ่งวุ่นวายหรือทำอะไรให้เพื่อนนักเรียนในห้องไม่ชอบ เลือกที่จะไปแกล้งนักเรียนรุ่นน้องมากกว่า เพราะกลัวคนในห้องเดียวกันไม่ยอมให้ลอกการบ้าน
..................................................................................................................................................................................
หลังเสียงออดเลิกเรียนดัง นักเรียนชาย 1 หญิง 2 เดินตามกันออกมาที่หน้าประตูโรงเรียน
หญิงคนหนึ่งเดินมาที่คนทั้ง 3 แพรวร้องทักขึ้น
“ป้าชื่นมาทำไรอ่ะ”
“คุณหนู วันนี้คุณผู้ชายกลับดึก คุณนายมีธุระด่วนจะรีบออกไป คุณนายเลยให้คุณหนูกลับไปช่วยเฝ้าบ้าน และคุณนายมีเรื่องจะคุยกับคุณหนูด้วย เลยให้ป้าชื่นมาพาคุณหนูให้รีบกลับบ้าน”
ป้าชื่น แม่บ้านของแพรวพูดจบก็กุลีกุจอหยิบกระเป๋าจากมือแพรวไปถือ
แพรวทำท่าทีอิดออด มองแจ็คกับทรายเลิกลั่ก
“แหม ทำไงอ่ะ แพรวมีธุระต้องไปกับเพื่อนด้วยป้า กลับไปบอกคุณแม่วันนี้ขอวันนึงแล้วกัน”
“ไม่ได้เลยคุณหนู คุณหนูก็รู้ ถ้าไม่สำคัญ คุณนายไม่ส่งป้ามารอรับถึงนี่หรอก รีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวช้าคุณนายจะดุป้าเอา”
ป้าชื่นไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้แต่น้อย พูดจบก็ดึงแขนแพรวจะให้ออกเดินตามเธอไปเดี๋ยวนั้น
“ยังงี้วันนี้ก็ไม่ต้องไป เอาไว้วันหลัง”
แพรวหันไปบอกกับแจ็ค
“ไรวะ วัดอยู่ซอยข้างๆแค่นี้ เดินไปสิบนาทีก็ถึง แม่ให้คนมารับ ก็กลับไปก่อนเด่ะ ฉันพาทรายไปคนเดียวก็ได้”
“เอาเหอะ ไม่เป็นไร ฉันไปกับแจ็คสองคนก็ได้ แพรวรีบกลับเหอะ เดี๋ยวแม่รอ”
ทรายพยักเพยิดให้แพรวกลับไป
“ไม่ไว้ใจเลยว่ะ อ้ายแจ็คอย่าทำเสียเรื่องนะโว้ย พรุ่งนี้แม่เอาเรื่อง”
แพรวชี้หน้าพูดกับแจ็ค ก่อนจะหันเดินตามป้าชื่นไป
เมื่อแพรวเดินลับไปแล้วแจ็คกับทรายก็ออกเดินไปด้วยกันเข้าตามตรอกเล็กๆเพื่อลัดเลาะเข้าไปอีกซอยหนึ่ง ซึ่งมีวัดที่น้าของแจ็คบวชเป็นพระอยู่
“หน้าวัดเข้าทางนี้ นายจะไปทางไหน”
ทรายร้องถามเมื่อแจ็คนำไปคนละทางที่จะเข้าทางหน้าประตูวัด
“กุฏิน้าน่ะอยู่หลังวัด หน้าวัดเขามีไว้ตั้งร้านขายของกับศาลาการเปรียญ กุฏิพระเขาอยู่ด้านหลังกัน”
แจ็คสวนตอบกลับทันควัน แล้วเดินจ้ำอ้าวไม่หยุด
ทรายพยักหน้าแล้วเดินตามไปอย่างว่าง่าย
บรรยากาศด้านหลังวัดไม่น่ากลัวนัก ได้ยินเสียงทีวีดังออกมาจากไหนไม่แน่ใจ อาจเป็นบ้านที่อยู่นอกกำแพงวัด หรือกุฏิหลังไหนก็ได้ แมวลายเสือตัวอ้วน นอนหมอบอยู่บนกำแพง ลูกหมาครอกหนึ่งกำลังป้วนเปี้ยนอยู่กับการดูดนมจากราวนมแม่ ก้อนขี้หมาแห้งๆกระจัดกระจายเป็นหย่อมๆอยู่ทั่วไปบนทางคอนกรีตแคบๆ สักพักก็มาถึงบริเวณที่เป็นกุฏิพระ แจ็คพาทรายเดินเลี้ยวลดไปตามทางที่คดเคียว เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนน่าวิงเวียน
“กุฏินี้แหละ รออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูว่าน้าอยู่หรือเปล่า”
แจ็คชี้ให้ทรายนั่งรอที่ม้าหินข้างบันได
ตรงนั้นมีเรือนเล็กๆลักษณะเหมือนกุฏิวัดปลูกเรียงกันเป็นแถวอัดแน่นกันอยู่ในกำแพงอิฐสูง บรรยากาศสงบเงียบจนไม่สามารถรู้ได้เลย ว่ามีผู้คนอยู่กันที่เรือนหลังไหนบ้าง ลักษณะสิ่งปลูกสร้างเหมือนปลูกซ้อนกันแน่นไปหมดจนดูเหมือนทุกซอกซอยสามารถนำพาไปสู่กุฏิหลังใดหลังหนึ่งได้ ใครก็ตามที่ไม่เคยเข้ามาในนี้มาก่อน คงจะหาทางกลับออกไปยากพอสมควร
สักพักแจ็คก็ตะโกนเรียกลงมา
“อู้ว ขึ้นมาเร็ว”
ทรายถอดรองเท้าเดินตามขั้นบันไดไป
ข้างบนนั้นเป็นห้องเล็กๆ มีประตูสองชั้น ประตูชั้นนอกเปิดออกเต็มที่ ประตูชั้นในเป็นบานมุ้งลวด ทรายผลักบานมุ้งลวดเข้าไป มีข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับพระวางอยู่ที่มุมหนึ่ง ในห้องนั้นยังมีประตูข้างซ้ายข้างขวาอีกข้างละบาน ข้างหลังประตูนั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไร
“แล้วน้าแกอยู่ไหนล่ะ”
ทรายถามเมื่อไม่เห็นใครในห้องนั้นนอกจากแจ็ค
“มีสีกาขึ้นกุฏิ พระก็ต้องเข้าไปแต่งตัวให้สำรวมอ่ะดิ รอเดี๋ยว เดี๋ยวน้าก็ออกมา น้าฉันเคร่งมาก ปกติไม่ปล่อยให้สีกาขึ้นมาอยู่ด้วยสองต่อสองหรอกนะ”
แจ็คพูดจบก็เดินกลับออกประตูไป ทรายหันไปจะถาม เหมือนรู้ว่าจะถูกถาม แจ็คหันมากระซิบกระซาบ
“ไปถอดถุงเท้า มันมีกลิ่น เดี๋ยวน้าว่าเอา”
ในกุฎิมีกระดาษ 2-3 แผ่นแปะอยู่ที่ข้างฝา เป็นคติเตือนใจบ้าง บทสวดบ้าง ทรายเหลือบมองไปทั่วๆ ไม่ทันไรประตูบานนอกกุฎิก็ถูกปิดลง แสงด้านนอกถูกปิดกั้นไว้ ในห้องมืดลงทันที
ทรายหันกลับไป ยังไม่ทันจะระวังตัว แจ็คก็โถมเข้ามาใช้แขนทั้งสองกอดรัดเธอจนแน่น
“อ้ายแจ็ค ทำไรอ่ะ”
ทรายร้องเสียงหลง ไม่มีคำตอบ แจ็คออกแรงทุ่มตัวเองให้ลงนอนราบกับพื้น ทำให้ทรายล้มลงโดยมีแจ็คกดร่างอยู่
เธอขัดขืนอย่างสุดฤทธิ์ พยายามใช้มือแล