ทริปนี้เป็นการไปเที่ยวต่างประเทศโดยการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกของเราค่ะ
เริ่มจากความไม่รู้แบบ ไม่รู้เรื่อง เช็คอินคืออะไร โหลดกระเป๋าคืออะไร ทำไมห้ามเอาน้ำขึ้นเครื่อง
เกทคืออะไรทำไมต้องดู ไปแบบงงๆ แบบงงมากๆ ยิ่งการเดินทางแบบข้ามประเทศไปๆมาๆ
นี่ เตรียมตัวเตรียมใจกับการหลงทางไว้เลย ไปกับเราไม่มีทริปไหนที่ไม่หลง แต่โชคดีที่เรามีเพื่อนหลงไปไหนก็ไปกัน
นี่กระทู้รีวิวแรกของเรา ผิดพลาดอะไรขออภัยด้วยนะคะ
รูปอาจจะไม่ละเอียดเพราะตอนหลงทางไม่ได้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเลย เอาชีวิตรอดอย่างเดียว
รูปทั้งหมดนี้ถ่ายจาก SONY NEX-5N Lens 18-55mm
สงสัยอะไรสอบถามเราได้เลย
นี่ช่องทางติดต่อเรา
https://www.facebook.com/ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้แหละนิว-233062450155245/
https://www.facebook.com/newwee.za
เราขอเรียกทริปนี้ว่าทริปผ่อนจ่ายละกันค่ะ
เป็นการไปเที่ยวกันแบบงงๆ เริ่มจากเพื่อนมาชวน แล้วเราก็ชวนเพื่อนเราไปอีกคน รวมหัวชะนี 3 คนกับงานเที่ยวเฉพาะกิจ
เราอยากแนะนำเพื่อนๆ ที่อยากไปเที่ยว แต่มีข้อจำกัดว่าไม่มีตัง ทริปล่ม โดนเท
ว่า ให้ช่วยดูแลกันไป ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเที่ยว อย่าปล่อยให้ใครดูแลอยู่คนเดียว ช่วยๆกันหาที่เที่ยวที่อยากไปด้วยกัน
อย่างทริปนี้ เราเริ่มจากการกำหนดจุดหมายปลายทางคือฮ่องกง ส่วนที่เหลือ เราไม่รู้เรืองอะไรเลย
ตกลงวันไปกันได้คือ 4-8 มกราคม 2560
เริ่มด้วยการจองตั๋วเครื่องบิน เราจองได้ในช่วงโปรโมชั่นของทางแอร์เอเชียพอดี
แต่ได้ไปลงเครื่องที่มาเก๊า ซึ่งเราโอเค เพราะคิดว่ายังไงเราก็ต้องมาเที่ยวมาเก๊ากันอยู่แล้ว เราของช่วงกรกฎาคมปี 59
ได้ค่าเครื่องกันอยู่ที่คนละ ประมาณ 4500 บาท รวมโหลดกระเป๋า 1 ที่ ทั้งไปและกลับ
หลังจากหมดเงินไปกับค่าเครื่องแล้ว ก็เก็บเงินกันต่อ รอเวลาทุกคนเก็บเงินได้แล้วเราถึงจองที่พักกัน
เราเลือกที่พักแบบถูกๆ ง่ายๆ โชคดีที่ทุกคนกินง่ายอยู่ง่ายกัน เอาจริงๆที่พักแค่นอนได้ มีที่เก็บของก็เพียงพอสำหรับเราแล้ว
3 คืนในฮ่องกงในราคา 5,261 บาท ก็ตกคนละ 1,753 บาท

Hello Inn ที่ย่าน Tsim Shs Tsui เราจองผ่าน Booking เห็นมีรีวิวเยอะ แถมราคาถูกมาก
ได้ห้องเล็กๆ มีเตียงใหญ่ 5 ฟุต 1 เตียงและมีต่อเตียงข้างบน 3 ฟุต อีก 1 เตียง ห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่น
แต่ห้องเล็กมากขนาดที่เปิดกระเป๋าเดินทางใหญ่ไม่พอ ต้องยัดด้านหนึ่งของกระเป๋าเข้าใต้เตียง
แล้วใช้วิธีกระโดดข้ามเอาเวลาไปเข้าห้องน้ำ 555
ซึ่งเราโอเคมากนะ พูดถึงที่พักกับราคา สมเหตุสมผลกันค่ะ ดูอบอุ่นดี เจ้าของก็น่ารักมากด้วย พูดอังกฤษได้
แนะนำหมดเลย มีตู้เย็นให้ จะกินมาม่าได้นะมีน้ำร้อน ไดรเป่าผม ปลั๊กอแดปเตอร์ คอมฯส่วนกลาง
ครบเลย แนะนำสำหรับขาลุย ขาประหยัดค่ะ
เสร็จจากจองที่พักแล้ว ก็เก็บตังอีก เราถึงจองตั๋วดิสนีย์แลนด์ต่อ ตกคนละประมาณ 2200 บาทค่ะ
เป็นตั๋วแบบ Live Ticket แบบกระดาษแข็ง สามารถเข้าได้เลย ไม่ต้องนำไปแลกข้างหน้าอีก
ตามทันกันไหมคะ ?
ค่อยๆเก็บ ค่อยๆจ่ายกันไปแล้วเกือบหมื่น ไม่เคยเก็บเงินได้เยอะขนาดนี้มาก่อนเลย

ตอนนี้เราสามารถไปฮ่องกงได้แบบที่พกเงินไปไม่กี่บาท แพคมาม่าไปก็อยู่ได้แล้วนะคะ
มีตั๋วไป มีที่ซุกหัวนอนก็สบายใจแล้วค่า เพื่อนจะเท จะเบี้ยวเราไม่ได้แล้วด้วยยยยยยยย (หึหึ)
นอกจากนี้คือค่ากิน ค่าช้อปของเราค่ะ เก็บกันส่วนตัวเลยว่าอยากกินเท่าไหร่ อยากได้อะไรบ้าง
ส่วนตัวเราเอาไป ประมาณ 10,000 บาทค่ะ เหลือกับมาด้วยเกือบพัน
เราไม่ได้ช้อปปิ้งอะไรมากมาย ซื้อของเล็กๆน้อยๆ ไม่เน้นแบรนด์เนม
ขอเพิ่มเติมเงินที่ต้องเก็บจากการเพิ่มแผนการไปกินแกรนด์บุฟเฟ่ต์ของเราอีกคนละประมาณ 1,400 บาท นะ
สำหรับส่วนนี้ถ้าใครไม่ใคร่ไปกิน ข้ามไปเลยค่ะ
เก็บเงินกันยาวๆ จนได้เวลาเดินทางแล้ววววววว
#วันแรก
ตื่นเต้นมากกกกก เราไม่เคยขึ้นเครื่องเลย มารอที่ดอนเมืองตั้งแต่ตี 4 โหลดกระเป๋าที่เกินไป 3 โล เสียไป 2100 บาท( ร้องไห้)
หลังจากเสียไป 2100 บาทก็เดินตัวลอยออกมาจากที่เช็คอิน หาโจ๊คแมคกิน
แล้วก็เขียนใบขาออก ผ่าน ตม.ไทย แล้วเข้าเกท ขึ้นเครื่องตามพิธี
ยอมรับว่าตื่นเต้นมาก วิวบนเครื่องตอนพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก เราก็กำลังบินเข้าหาพระอาทิตย์
แต่สุดท้ายง่วงมากกว่า พอเครื่องขึ้นได้แบบนึงแล้วก็หลับค่ะ
ตื่นอีกทีตอน เจ๊คนจีนข้างหน้าแกะทุเรียนอบแห้งกิน ....
แล้วก็ตอนเข้าเกาะมาเก๊าแล้ว
เราค้นพบว่าสนามบินมาเก๊าเล็กมาก แทบจะไม่มีอะไรเลย ดีหน่อยที่มีเซเว่น (นี่หรือที่นอนในอีก 3 วันข้างหน้า)
ต่อไปที่การเดินไปท่าเรือเฟอร์รี่ ซึ่งมันอยู่ใกล้ๆกับสนามบินเลยค่ะ(เท่าที่หาข้อมูลมา) แต่เราเดินไปไม่ถูก จะถามใครก็ไม่ได้
เข้าไปถามอินฟอร์เมชั่นที่สนามบิน ได้คำตอบมาว่า outside!
โอเค ไปแท็กซี่ก็ได้ แต่แท็กซี่โหดเหลือเกินใครบอกน้องแท็กซี่มาเก๊าถูกคะ ฟันไป 45 ดอลล่าร์ฮ่องกง
อื้อหือออ มารยาทไม่ดีด้วยอ่ะ บ่นอะไรไม่รู้ภาษาจีนทั้งทาง เราก็ฟังไม่รู้เรื่องกัน ฮื่อออ ร้องไห้ เปิดตัวประเทศได้แย่มาก
พอถึงท่าเรือ เราก็รีบไปจองตั๋วกัน ตอนแรกหาข้อมูลไว้ว่าจะจองของ TurboJEt แต่หาที่ซื้อตั๋วไม่เจอ เห็นแต่พนักงานใส่เสื้อฟ้า
ซึ่งเป็นของ CotaiJET เลยเข้าไปถาม แล้วพนักงานก็ตอบเป็นภาษาจีนอีก พูดไม่รู้เรื่อง ต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ เดินดูรอบๆ
จนเห็นเค้าท์เตอร์ซื้อตั๋ว ก็ซื้อ ได้รอบ 11.45 ค่ะ
เรือของ Cotai จะใหญ่กว่าของ Turbo ค่อนข้างหรูทีเดียว ที่นั่งนั่งสบายและใหญ่กว่าที่นั่งบนเครื่องที่เรานั่งมาอีก
และห้องน้ำดีมาก ถ่ายหนักถ่ายใบสบายใจ ใช้เวลาเดินทางอีก 1 ชั่วโมง ไปฮ่องกง แล้วเราก็ต้องกรอกใบเข้าเมืองแล้วผ่าน ตม.อีกรอบค่ะ
ตม.ฮ่องกง
ตม.ฮ่องกง
ใครที่เคยไป หรือคนที่เคยหาข้อมูลดู คงจะทราบกันดีว่าเป็นยังไง เดินเข้าไปด้วยใจเต้นรัวๆ
แล้วสุดท้าย ก็โดนกันทั่วหน้าค่ะ ไม่รอด 555555
ผ่านเข้าไปแล้ว เค้าบอกยู รอเดี๋ยวทั้ง 3 คนเลย เราก็โอเค(เพราะ ตม.หล่อ) ไม่คิดอะไรมาก เตรียมใจไว้แล้วว่าจะโดน
ยิ่งเป็นเด็กๆมาเที่ยวกันเองด้วย แถมหน้าในพาสปอร์ตก็โจรมากค่ะ
บอกกล่าวคนติด ตม. เราว่าเค้าคงทำไปตามหน้าที่ ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็อย่าไปเครียดค่ะ ยิ้มๆเข้าไป ถามอะไรก็ตอบ
ที่เค้าถามเราก็มีดังนี้ (เป็นภาษาอังกฤษนะคะ)
- มากัน 3 คนใช่ไหม ?
ใช่ค่ะ 3 คน
- มากันกี่วัน กลับวันไหน ?
เราอยู่แค่ 3 คืน แล้วกลับวันที่ 7 ค่ะ
- คุณพักอยู่ที่ไหน ?
เราพักที่ Hello Inn ย่าน จิมซาจุ่ย (บอกพร้อมยื่นรายละเอียดบุ๊คกิ้งให้ดู)
- เอาเงินมาเท่าไหร่?
2,000 ดอลล่าร์ฮ่องกงค่ะ
- สองพันจะพอหรอ ?
พอค่ะ เราจองตั๋วดิสนีย์แลนด์ไปแล้ว (เอาตั๋วให้ดู)
- คุณทำอาชีพอะไร ยังเรียนอยู่ใช่ไหม ?
เราเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ค่ะ มหาวิทยาลัยรังสิต ประเทศไทย
- คุณเรียนสาขาอะไร ?
นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ค่ะ
แล้วเขาก็ขอดูบัตร นศ. เราเอาบัตรให้ดู ให้เข้าเอาไปเชคอะไรซักอย่าง ก็ผ่านค่ะ
ตอนคืนบัตร ตม.มองบัตรแล้วยิ้มๆ (คือหน้าในบัตรมันเมื่อ 3 ปีที่แล้วนะเว้ย )
ออกจาก ตม.ที่ท่าเรือแล้ว เราก็มาโผล่ที่ห้างค่ะ ซึ่งไม่ทราบเลยว่าเป็นห้างอะไร แปลกมาก คือทั้งห้างไม่มีที่ติดบอกชื่อห้างตัวเอง
เดินไปเดินมาด้วยความหิว เพราะจะบ่ายโมงแล้ว จะกินอะไรพอมองราคาก็แพง ไม่ไหว เดินวนในห้างจนหาทางออกได้ (ตอนนั้นยังไม่ซื้อซิมเน็ต)
ก็มองหาป้ายบอกทางไปย่านจิมซาจุ่ย เอาจริงๆคือหน้าห้างแทบไม่มีป้าย ใช้สัญชาตญาณล้วนๆ เห็นทางไหนคนเดินเยอะๆ ก็ไปทางนั้น 5555
เราเดินข้ามถนนมาแล้วเดินตามทาง กับย่านแบรนด์เนม ที่โคตรไฮโซ เจอ Apple store ศูนย์ใหญ่ ห้องกระจกลองชั้น 2-3 คูหา
และแบรนด์อื่นๆอีกมากมาย ที่ยังไงก็ไม่มีตังซื้อ
ก็คลำๆ ทางกันไปค่ะ หลงอยู่นาน จนเจอป้ายของ Nathan road จำได้ว่าพอดีที่พักเราอยู่บนถนนนี้
แต่ป้ายที่บอกนี้มีตุ้งแต่เส้นที่ 1-200 เลยนะ โอ้โห้ คือที่พักเราอยู่ที่ประมาณ 54-64 ก็ลองเดินดูค่ะ ถ้าไม่ใช่ก็วงกลับทางเดิม
เดินวนไปค่ะ! จะถามร้านข้างทางเค้าก็บอกไม่รู้ ไม่ก็บอกอะไรไม่รู้เป็นภาษาจีน จนไปเจอห้าง ISQARE ดีที่จดไว้ว่าที่พักอยู่ใกล้ห้าง
ดีใจมาก เพราะถามยามที่หน้าห้างแล้วคุณลุงใจดีบอกทางเรา ลุงคือเทพบุตรลีมินโฮมากตอนนั้น หาที่พักเจอซักที
ที่พักเราอยู่ใน Mirandor Mansion เป็นแมนชั่นย่านแขก ที่มีแต่แขกจริงๆ นึกว่าหลงไปอยู่พาหุรัด มีแต่แขกเดินแจกนามบัตร
แล้วก็ขายสูท แอบน่ากลัวนิดๆ นะ แต่ดูแล้วเค้าไม่ทำอะไรเราหรอก ก็เดินขึ้นไปขึ้นลิฟต์ด้านใน ไปชั้นที่ 6 ค่ะ เราไปถึงก็ บ่ายสองครึ่งค่ะ
เลยเวลานัดเช็คอินไปครึ่งชั่วโมง บอกกับเจ้าของว่าเราหลงทางมา เขาก็ยิ้มๆ แล้วถามว่าหลงข้างนอกหรือหลงในตึก
(ในตึกก็ยังหลงได้นะพูดเลย)
นี่ที่พักเรา Hello Inn
ส่วนด้านหน้าที่ระเบียงเป็นนี่เลย
ขอเรียกว่าแพทเทิร์นตึกHK เพราะตึกที่นี่แทบจะเป็นแบบนี้หมดเลย มีความหว่องเบาๆ
แพลนเที่ยวก็มี แต่มันล่มได้เสมอนะ 5555
กว่าเราจะถึงที่พัก กว่าเราจะหลงออกมา แพลนตอนแรกที่ว่าจะไป The Peak กันเลยล้มเลิก
เพราะจ่ายค่าน้ำหนักกระเป๋าเกินไปกันคนละ 700 แล้ว เลยหมดอาลัยตายอยากกันไม่อยากจะจ่ายเงิน
มาเปิดๆดูหนังสือท่องเที่ยว ก็ตกลงกันไปเดินเล่นที่ Causeway Bay กัน แหล่งย่านคนเมืองอีกที่นึง
และแน่นอน นี่คือการขึ้น MRT ครั้งแรกของเรา ที่หน้าตึก Mirandor Mansion พอออกมาจะเป็นทางเข้า MRT East Tsim Sha Tsui เลย
เราก็เข้าไปโดยที่ไม่ได้ดูป้ายเลยว่าที่เข้ามาสถานีอะไร (มีความึน) สาย east คือสายสีม่วง การจะไปต่อเราต้องเปลี่ยนสาย....
แต่ก่อนจะเปลี่ยนสายอ่ะหาที่ซื้อตั๋วให้ได้ก่อน พื้นที่ใน MRT นี่สามารถทำลู่วิ่งมาราธอนได้เลยนะ(เวอร์มาก) แต่คือเราหลงกับการหาที่ซื้อตั๋ว
เดินวนไปค่ะ! ใน MRT ไปอีก 1 ชั่วโมง สุดท้ายก็มา Casueway Bay ได้
ย่าน Causeway Bay
ที่นี่ให้อารมณ์เหมือนกับย่านสยามสแควร์นะ คนเยอะ มีวัยรุ่น เห็นนักเรียนก็มาเดินกัน
เดี๋ยวมาต่อนะคะ กระทู้ลิมิตตัวหนังสือแล้ว
[CR] HONG KONG - LONG PAI ฮ่องกง มาเก๊า ไปกับเรา เดี๋ยวเราพาหลง
เริ่มจากความไม่รู้แบบ ไม่รู้เรื่อง เช็คอินคืออะไร โหลดกระเป๋าคืออะไร ทำไมห้ามเอาน้ำขึ้นเครื่อง
เกทคืออะไรทำไมต้องดู ไปแบบงงๆ แบบงงมากๆ ยิ่งการเดินทางแบบข้ามประเทศไปๆมาๆ
นี่ เตรียมตัวเตรียมใจกับการหลงทางไว้เลย ไปกับเราไม่มีทริปไหนที่ไม่หลง แต่โชคดีที่เรามีเพื่อนหลงไปไหนก็ไปกัน
นี่กระทู้รีวิวแรกของเรา ผิดพลาดอะไรขออภัยด้วยนะคะ
รูปอาจจะไม่ละเอียดเพราะตอนหลงทางไม่ได้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเลย เอาชีวิตรอดอย่างเดียว
รูปทั้งหมดนี้ถ่ายจาก SONY NEX-5N Lens 18-55mm
สงสัยอะไรสอบถามเราได้เลย
นี่ช่องทางติดต่อเรา
https://www.facebook.com/ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้แหละนิว-233062450155245/
https://www.facebook.com/newwee.za
เราขอเรียกทริปนี้ว่าทริปผ่อนจ่ายละกันค่ะ
เป็นการไปเที่ยวกันแบบงงๆ เริ่มจากเพื่อนมาชวน แล้วเราก็ชวนเพื่อนเราไปอีกคน รวมหัวชะนี 3 คนกับงานเที่ยวเฉพาะกิจ
เราอยากแนะนำเพื่อนๆ ที่อยากไปเที่ยว แต่มีข้อจำกัดว่าไม่มีตัง ทริปล่ม โดนเท
ว่า ให้ช่วยดูแลกันไป ทั้งเรื่องเงิน เรื่องเที่ยว อย่าปล่อยให้ใครดูแลอยู่คนเดียว ช่วยๆกันหาที่เที่ยวที่อยากไปด้วยกัน
อย่างทริปนี้ เราเริ่มจากการกำหนดจุดหมายปลายทางคือฮ่องกง ส่วนที่เหลือ เราไม่รู้เรืองอะไรเลย
ตกลงวันไปกันได้คือ 4-8 มกราคม 2560
เริ่มด้วยการจองตั๋วเครื่องบิน เราจองได้ในช่วงโปรโมชั่นของทางแอร์เอเชียพอดี
แต่ได้ไปลงเครื่องที่มาเก๊า ซึ่งเราโอเค เพราะคิดว่ายังไงเราก็ต้องมาเที่ยวมาเก๊ากันอยู่แล้ว เราของช่วงกรกฎาคมปี 59
ได้ค่าเครื่องกันอยู่ที่คนละ ประมาณ 4500 บาท รวมโหลดกระเป๋า 1 ที่ ทั้งไปและกลับ
หลังจากหมดเงินไปกับค่าเครื่องแล้ว ก็เก็บเงินกันต่อ รอเวลาทุกคนเก็บเงินได้แล้วเราถึงจองที่พักกัน
เราเลือกที่พักแบบถูกๆ ง่ายๆ โชคดีที่ทุกคนกินง่ายอยู่ง่ายกัน เอาจริงๆที่พักแค่นอนได้ มีที่เก็บของก็เพียงพอสำหรับเราแล้ว
3 คืนในฮ่องกงในราคา 5,261 บาท ก็ตกคนละ 1,753 บาท
Hello Inn ที่ย่าน Tsim Shs Tsui เราจองผ่าน Booking เห็นมีรีวิวเยอะ แถมราคาถูกมาก
ได้ห้องเล็กๆ มีเตียงใหญ่ 5 ฟุต 1 เตียงและมีต่อเตียงข้างบน 3 ฟุต อีก 1 เตียง ห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่น
แต่ห้องเล็กมากขนาดที่เปิดกระเป๋าเดินทางใหญ่ไม่พอ ต้องยัดด้านหนึ่งของกระเป๋าเข้าใต้เตียง
แล้วใช้วิธีกระโดดข้ามเอาเวลาไปเข้าห้องน้ำ 555
ซึ่งเราโอเคมากนะ พูดถึงที่พักกับราคา สมเหตุสมผลกันค่ะ ดูอบอุ่นดี เจ้าของก็น่ารักมากด้วย พูดอังกฤษได้
แนะนำหมดเลย มีตู้เย็นให้ จะกินมาม่าได้นะมีน้ำร้อน ไดรเป่าผม ปลั๊กอแดปเตอร์ คอมฯส่วนกลาง
ครบเลย แนะนำสำหรับขาลุย ขาประหยัดค่ะ
เสร็จจากจองที่พักแล้ว ก็เก็บตังอีก เราถึงจองตั๋วดิสนีย์แลนด์ต่อ ตกคนละประมาณ 2200 บาทค่ะ
เป็นตั๋วแบบ Live Ticket แบบกระดาษแข็ง สามารถเข้าได้เลย ไม่ต้องนำไปแลกข้างหน้าอีก
ตามทันกันไหมคะ ?
ค่อยๆเก็บ ค่อยๆจ่ายกันไปแล้วเกือบหมื่น ไม่เคยเก็บเงินได้เยอะขนาดนี้มาก่อนเลย
ตอนนี้เราสามารถไปฮ่องกงได้แบบที่พกเงินไปไม่กี่บาท แพคมาม่าไปก็อยู่ได้แล้วนะคะ
มีตั๋วไป มีที่ซุกหัวนอนก็สบายใจแล้วค่า เพื่อนจะเท จะเบี้ยวเราไม่ได้แล้วด้วยยยยยยยย (หึหึ)
นอกจากนี้คือค่ากิน ค่าช้อปของเราค่ะ เก็บกันส่วนตัวเลยว่าอยากกินเท่าไหร่ อยากได้อะไรบ้าง
ส่วนตัวเราเอาไป ประมาณ 10,000 บาทค่ะ เหลือกับมาด้วยเกือบพัน
เราไม่ได้ช้อปปิ้งอะไรมากมาย ซื้อของเล็กๆน้อยๆ ไม่เน้นแบรนด์เนม
ขอเพิ่มเติมเงินที่ต้องเก็บจากการเพิ่มแผนการไปกินแกรนด์บุฟเฟ่ต์ของเราอีกคนละประมาณ 1,400 บาท นะ
สำหรับส่วนนี้ถ้าใครไม่ใคร่ไปกิน ข้ามไปเลยค่ะ
เก็บเงินกันยาวๆ จนได้เวลาเดินทางแล้ววววววว
#วันแรก
ตื่นเต้นมากกกกก เราไม่เคยขึ้นเครื่องเลย มารอที่ดอนเมืองตั้งแต่ตี 4 โหลดกระเป๋าที่เกินไป 3 โล เสียไป 2100 บาท( ร้องไห้)
หลังจากเสียไป 2100 บาทก็เดินตัวลอยออกมาจากที่เช็คอิน หาโจ๊คแมคกิน
แล้วก็เขียนใบขาออก ผ่าน ตม.ไทย แล้วเข้าเกท ขึ้นเครื่องตามพิธี
ยอมรับว่าตื่นเต้นมาก วิวบนเครื่องตอนพระอาทิตย์ขึ้นสวยมาก เราก็กำลังบินเข้าหาพระอาทิตย์
แต่สุดท้ายง่วงมากกว่า พอเครื่องขึ้นได้แบบนึงแล้วก็หลับค่ะ
ตื่นอีกทีตอน เจ๊คนจีนข้างหน้าแกะทุเรียนอบแห้งกิน ....
แล้วก็ตอนเข้าเกาะมาเก๊าแล้ว
เราค้นพบว่าสนามบินมาเก๊าเล็กมาก แทบจะไม่มีอะไรเลย ดีหน่อยที่มีเซเว่น (นี่หรือที่นอนในอีก 3 วันข้างหน้า)
ต่อไปที่การเดินไปท่าเรือเฟอร์รี่ ซึ่งมันอยู่ใกล้ๆกับสนามบินเลยค่ะ(เท่าที่หาข้อมูลมา) แต่เราเดินไปไม่ถูก จะถามใครก็ไม่ได้
เข้าไปถามอินฟอร์เมชั่นที่สนามบิน ได้คำตอบมาว่า outside!
โอเค ไปแท็กซี่ก็ได้ แต่แท็กซี่โหดเหลือเกินใครบอกน้องแท็กซี่มาเก๊าถูกคะ ฟันไป 45 ดอลล่าร์ฮ่องกง
อื้อหือออ มารยาทไม่ดีด้วยอ่ะ บ่นอะไรไม่รู้ภาษาจีนทั้งทาง เราก็ฟังไม่รู้เรื่องกัน ฮื่อออ ร้องไห้ เปิดตัวประเทศได้แย่มาก
พอถึงท่าเรือ เราก็รีบไปจองตั๋วกัน ตอนแรกหาข้อมูลไว้ว่าจะจองของ TurboJEt แต่หาที่ซื้อตั๋วไม่เจอ เห็นแต่พนักงานใส่เสื้อฟ้า
ซึ่งเป็นของ CotaiJET เลยเข้าไปถาม แล้วพนักงานก็ตอบเป็นภาษาจีนอีก พูดไม่รู้เรื่อง ต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ เดินดูรอบๆ
จนเห็นเค้าท์เตอร์ซื้อตั๋ว ก็ซื้อ ได้รอบ 11.45 ค่ะ
เรือของ Cotai จะใหญ่กว่าของ Turbo ค่อนข้างหรูทีเดียว ที่นั่งนั่งสบายและใหญ่กว่าที่นั่งบนเครื่องที่เรานั่งมาอีก
และห้องน้ำดีมาก ถ่ายหนักถ่ายใบสบายใจ ใช้เวลาเดินทางอีก 1 ชั่วโมง ไปฮ่องกง แล้วเราก็ต้องกรอกใบเข้าเมืองแล้วผ่าน ตม.อีกรอบค่ะ
ตม.ฮ่องกง
ตม.ฮ่องกง
ใครที่เคยไป หรือคนที่เคยหาข้อมูลดู คงจะทราบกันดีว่าเป็นยังไง เดินเข้าไปด้วยใจเต้นรัวๆ
แล้วสุดท้าย ก็โดนกันทั่วหน้าค่ะ ไม่รอด 555555
ผ่านเข้าไปแล้ว เค้าบอกยู รอเดี๋ยวทั้ง 3 คนเลย เราก็โอเค(เพราะ ตม.หล่อ) ไม่คิดอะไรมาก เตรียมใจไว้แล้วว่าจะโดน
ยิ่งเป็นเด็กๆมาเที่ยวกันเองด้วย แถมหน้าในพาสปอร์ตก็โจรมากค่ะ
บอกกล่าวคนติด ตม. เราว่าเค้าคงทำไปตามหน้าที่ ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็อย่าไปเครียดค่ะ ยิ้มๆเข้าไป ถามอะไรก็ตอบ
ที่เค้าถามเราก็มีดังนี้ (เป็นภาษาอังกฤษนะคะ)
- มากัน 3 คนใช่ไหม ?
ใช่ค่ะ 3 คน
- มากันกี่วัน กลับวันไหน ?
เราอยู่แค่ 3 คืน แล้วกลับวันที่ 7 ค่ะ
- คุณพักอยู่ที่ไหน ?
เราพักที่ Hello Inn ย่าน จิมซาจุ่ย (บอกพร้อมยื่นรายละเอียดบุ๊คกิ้งให้ดู)
- เอาเงินมาเท่าไหร่?
2,000 ดอลล่าร์ฮ่องกงค่ะ
- สองพันจะพอหรอ ?
พอค่ะ เราจองตั๋วดิสนีย์แลนด์ไปแล้ว (เอาตั๋วให้ดู)
- คุณทำอาชีพอะไร ยังเรียนอยู่ใช่ไหม ?
เราเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ค่ะ มหาวิทยาลัยรังสิต ประเทศไทย
- คุณเรียนสาขาอะไร ?
นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ค่ะ
แล้วเขาก็ขอดูบัตร นศ. เราเอาบัตรให้ดู ให้เข้าเอาไปเชคอะไรซักอย่าง ก็ผ่านค่ะ
ตอนคืนบัตร ตม.มองบัตรแล้วยิ้มๆ (คือหน้าในบัตรมันเมื่อ 3 ปีที่แล้วนะเว้ย )
ออกจาก ตม.ที่ท่าเรือแล้ว เราก็มาโผล่ที่ห้างค่ะ ซึ่งไม่ทราบเลยว่าเป็นห้างอะไร แปลกมาก คือทั้งห้างไม่มีที่ติดบอกชื่อห้างตัวเอง
เดินไปเดินมาด้วยความหิว เพราะจะบ่ายโมงแล้ว จะกินอะไรพอมองราคาก็แพง ไม่ไหว เดินวนในห้างจนหาทางออกได้ (ตอนนั้นยังไม่ซื้อซิมเน็ต)
ก็มองหาป้ายบอกทางไปย่านจิมซาจุ่ย เอาจริงๆคือหน้าห้างแทบไม่มีป้าย ใช้สัญชาตญาณล้วนๆ เห็นทางไหนคนเดินเยอะๆ ก็ไปทางนั้น 5555
เราเดินข้ามถนนมาแล้วเดินตามทาง กับย่านแบรนด์เนม ที่โคตรไฮโซ เจอ Apple store ศูนย์ใหญ่ ห้องกระจกลองชั้น 2-3 คูหา
และแบรนด์อื่นๆอีกมากมาย ที่ยังไงก็ไม่มีตังซื้อ
ก็คลำๆ ทางกันไปค่ะ หลงอยู่นาน จนเจอป้ายของ Nathan road จำได้ว่าพอดีที่พักเราอยู่บนถนนนี้
แต่ป้ายที่บอกนี้มีตุ้งแต่เส้นที่ 1-200 เลยนะ โอ้โห้ คือที่พักเราอยู่ที่ประมาณ 54-64 ก็ลองเดินดูค่ะ ถ้าไม่ใช่ก็วงกลับทางเดิม
เดินวนไปค่ะ! จะถามร้านข้างทางเค้าก็บอกไม่รู้ ไม่ก็บอกอะไรไม่รู้เป็นภาษาจีน จนไปเจอห้าง ISQARE ดีที่จดไว้ว่าที่พักอยู่ใกล้ห้าง
ดีใจมาก เพราะถามยามที่หน้าห้างแล้วคุณลุงใจดีบอกทางเรา ลุงคือเทพบุตรลีมินโฮมากตอนนั้น หาที่พักเจอซักที
ที่พักเราอยู่ใน Mirandor Mansion เป็นแมนชั่นย่านแขก ที่มีแต่แขกจริงๆ นึกว่าหลงไปอยู่พาหุรัด มีแต่แขกเดินแจกนามบัตร
แล้วก็ขายสูท แอบน่ากลัวนิดๆ นะ แต่ดูแล้วเค้าไม่ทำอะไรเราหรอก ก็เดินขึ้นไปขึ้นลิฟต์ด้านใน ไปชั้นที่ 6 ค่ะ เราไปถึงก็ บ่ายสองครึ่งค่ะ
เลยเวลานัดเช็คอินไปครึ่งชั่วโมง บอกกับเจ้าของว่าเราหลงทางมา เขาก็ยิ้มๆ แล้วถามว่าหลงข้างนอกหรือหลงในตึก
(ในตึกก็ยังหลงได้นะพูดเลย)
แพลนเที่ยวก็มี แต่มันล่มได้เสมอนะ 5555
กว่าเราจะถึงที่พัก กว่าเราจะหลงออกมา แพลนตอนแรกที่ว่าจะไป The Peak กันเลยล้มเลิก
เพราะจ่ายค่าน้ำหนักกระเป๋าเกินไปกันคนละ 700 แล้ว เลยหมดอาลัยตายอยากกันไม่อยากจะจ่ายเงิน
มาเปิดๆดูหนังสือท่องเที่ยว ก็ตกลงกันไปเดินเล่นที่ Causeway Bay กัน แหล่งย่านคนเมืองอีกที่นึง
และแน่นอน นี่คือการขึ้น MRT ครั้งแรกของเรา ที่หน้าตึก Mirandor Mansion พอออกมาจะเป็นทางเข้า MRT East Tsim Sha Tsui เลย
เราก็เข้าไปโดยที่ไม่ได้ดูป้ายเลยว่าที่เข้ามาสถานีอะไร (มีความึน) สาย east คือสายสีม่วง การจะไปต่อเราต้องเปลี่ยนสาย....
แต่ก่อนจะเปลี่ยนสายอ่ะหาที่ซื้อตั๋วให้ได้ก่อน พื้นที่ใน MRT นี่สามารถทำลู่วิ่งมาราธอนได้เลยนะ(เวอร์มาก) แต่คือเราหลงกับการหาที่ซื้อตั๋ว
เดินวนไปค่ะ! ใน MRT ไปอีก 1 ชั่วโมง สุดท้ายก็มา Casueway Bay ได้
เดี๋ยวมาต่อนะคะ กระทู้ลิมิตตัวหนังสือแล้ว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น