งง ๆ กับเรื่อง "หนีทหาร-รับราชการมิชอบ-นายร้อยเก๊" ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ทัศนคติของผู้ที่บอกว่าประเทศไทยต้องปฏิรูป

กระทู้คำถาม
(เรื่องนี้  อภิสิทธิ์  ร้องต่อศาลว่า คำสั่งปลดออกจากราชการของกลาโหมมิชอบด้วยกฎหมาย
  ปี 2558  ศาลชั้นต้นยกฟ้อง    ปี 2559  ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าเป็นคำสั่งมิชอบจริง  
  ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้าย  หากกระทรวงกลาโหมไม่ฎีกา หรือทำเรื่องขอขยายเวลาฎีกา  เรื่องก็จบสนิท  ลอยนวล

  เชื่อไหมครับ  ตอนแรกอภิสิทธิ์ยื่นคำร้องไปยังศาลปกครอง (ปี 2555)
  ศาลปกครองก็รับเรื่องไว้  ทั้งที่กฎหมายระบุชัดว่า เรื่องวินัยทหารไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง
  ผ่านไปเกือบสามปี   ต้นปี 2558  ศาลปกครองถึงรู้ตัวว่าไม่มีอำนาจ  จึงส่งเรื่องต่อไปยังศาลยุติธรรม)





เรื่องนี้  มีต้นกำเนิดเมื่อปี 2542
นายกมล  บันไดเพชร  ฝ่ายกฎหมายของพรรคความหวังใหม่  ได้ทำเรื่องร้องเรียนให้มีการสอบสวนหาความจริงในเรื่องนี้
(คุณกมล  บันไดเพชร  เป็นอดีตนิติกรกรมที่ดิน  แต่โดนการเมืองเล่นงาน  จนต้องลาออกจากราชการมาเล่นการเมือง
  จากกรณี สปก.4-01  ที่คุณกมลใบฐานะข้าราชการ ให้ความเห็นไม่เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจเมื่อปี 2538
)

คุณกมล  บันไดเพชร  
ทำเรื่องร้องเรียนต่อนายชวน  หลีกภัย  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในขณะนั้น
ทำเรื่องร้องเรียนต่อกองทัพบก  ซึ่งมีพลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์  เป็น ผบ.ทบ. ในขณะนั้น

แล้วก็มีการดำเนินการสอบสวน
ก็พบว่า  อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ   หนีทหาร  เข้ารับราชการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  จริง

มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และลงโทษเจ้าหน้าที่
แต่ไม่มีการดำเนินการใด ๆ กับคนหนีทหาร และเข้ารับราชการโดยมิชอบที่ชื่ออภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ

แล้วเรื่องก็เงียบหายไป

อย่างว่าครับ  ตอนนั้นนายกฯ และ รมว.กลาโหม  ชื่อชวน  หลีกภัย
ผบ.ทบ. ชื่อสุรยุทธ์  จุลานนท์
และอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

เรื่องจึงจบแค่ระดับเจ้าหน้าที่   ไม่มีการดำเนินการใด ๆ กับอภิสิทธิ์



มาถึงปี 2552
อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

จึงเป็นธรรมดาที่ต้องโดนตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง
ซึ่งช่วงนี้   รวม.กลาโหมชื่อพลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ  และ ผบ.ทบ.ชื่อพลเอกอนุพงษ์  เผ่าจินดา

ตรวจสอบกันจนถึงขนาดว่า  ผบ.ทบ.ที่ชื่ออนุพงษ์  เผ่าจินดา  ออกมาพูดต่อสาธารณะว่า
"หากหนีทหารจริง  ก็หมดอายุความแล้ว"

พูดแล้วก็แล้วไป  ไม่มีการดำเนินการใด ๆ จากกองทัพบก

แล้วอภิสิทธิ์  ก็อาศัยลูกแถ  ตีลูกมึน   โดยมีศิริโชค  โสภา  ออกมาช่วยชี้แจงแถลงไขต่อสื่อ

คุณกมล  บันไดเพชร  ผู้เปิดประเด็นเรื่องนี้เป็นคนแรก  รำคาญมากว์
ถึงขนาดออกมาประกาศท้าว่า   หลักฐานที่นายศิริโชคเอามาแสดงต่อสื่อนั้น

หากมีที่มาที่ไป  เป็นหลักฐานแท้จริง   พร้อมกราบบบบบบบบบบบบบบ....ขอโทษ

ผลก็คือ   มีแต่ความมิดอิ่มสิ่มจากฝ่ายประชาธิปัตย์
ไม่รับคำท้า

ขณะเดียวกัน  ก็มีผู้ทำเรื่องร้องไปยังสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินให้ตรวจสอบเรื่องนี้
แต่เรื่องก็ยังรักษาความ "เงียบ" ไว้เหมือนเดิม


มาถึงปี 2555
ผู้ร้องไปยังสำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน  ทำเรื่องสอบถามผู้ตรวจการแผ่นดินถึงเรื่องนี้ว่าไปถึงไหนแล้ว

ผู้ตรวจการแผ่นดิน  จึงได้ทำเรื่องประสานไปยังกระทรวงกลาโหม  
ว่าเรื่องราวที่สำนักผู้ตรวจการแผ่นดินให้กลาโหมตรวจสอบเรื่องนี้ได้ความว่าอย่างไร

ก็เป็นเรื่องสิครับ
เพราะปี 2555   รมว.กลาโหม  ดันเป็นคนชื่อพลอากาศเอกสุกำพล  สุวรรณทัต   ไม่ใช่ "พวกเดียวกัน"

กลาโหมก็ตรวจสอบ  และได้ข้อเท็จจริง  พบหลักฐานทางราชการ  อันเป็นข้อสรุปว่า

อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  นั้น
- หนีทหารเมื่อปี 2530  จริง
- เข้ารับราชการเมื่อปี 2530  โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
- ใช้เอกสารเท็จขึ้นทะเบียนเป็นนายทหารสัญญาบัตรในปี 2531

3 ฐานความผิด   มีหลักฐานครบถ้วน

ถึงตอนนี้   อภิสิทธิ์ ไม่แย้งแล้วว่าไม่ได้หนีทหาร  ไม่แย้งว่าเข้ารับราชการโดยชอบ  ไม่แย้งเรื่องนายร้อยเก๊
นายศิริโชค  หายหน้าไปจากเรื่องนี้ตั้งแต่วันนั้น  ไม่ออกมาแสดงเอกสารและหลักฐานใด ๆ แย้งอีกเลย


ปลายปี 2555
รมว.กลาโหม  จึงได้มีคำสั่งปลดอภิสิทธิ์ออกจากราชการฐานผิดวินัยร้ายแรง ทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ  

ซึ่งต้องมีการถอดยศ  เรียกเบี้ยหวัดเงินเดือน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ คืน
แต่ถึงวันนี้  ผ่านมากว่าสี่ปี   ทุกอย่างยังนิ่งสนิท  ไม่มีการดำเนินการใด ๆ  

จากปี 2542  ถึงปี 2560     18 ปี ที่ไม่มีการดำเนินการใด ๆ จากกองทัพบก




ประเด็นคือ  

เมื่อปรากฎหลักฐานชัด  ว่ามีบุคคลหนีทหาร   เข้ารับราชการโดยมิชอบ   เป็นนายร้อยเก๊
ซึ่งไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร   ควรต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย  ไม่มีละเว้น

แต่ดูเหมือนมีการละเว้น  มีการปกป้อง  มีการพยายามช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากความผิด
แม้ความผิดจะไม่มีผลทางอาญาแล้ว  เพราะหมดอายุความ  แต่ความผิดทางสถานะและสิทธิประโยชน์
ควรต้องมีการดำเนินการ   ถอดยศ  ยกเลิกคำสั่งบรรจุเป็นข้าราชการ  ยกเลิกคำสั่งเป็นนายร้อย  เรียกคืนเบี้ยหวัดเงินเดือน

ซึ่งกลับไม่มีการดำเนินการใด ๆ  สักเรื่อง



จึงทำให้เกิดความงง สงสัยในทัศนคติ  ของผู้ที่อ้างการปฏิรูป
จะปฏิรูปประเทศได้อย่างไร  ในเมื่อมีทัศนคติในทางที่ผิดต่อเรื่องกฎหมาย ต่อเรื่องบรรทัดฐานขององค์กรอยู่อย่างนี้


มีสลิ่มจำนวนมาก  อ้างหน้าตาเฉยว่า   เอาเรื่องเก่าที่หมดอายุความไปแล้วมาเล่นงานอภิสิทธิ์

ซึ่งสลิ่มคงไม่รู้ว่า  ตอนประชาธิปัตย์อภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องสถานที่เกิดและสัญชาติคุณบรรหาร  ศิลปอาชา ในปี 2539 นั้น
คุณบรรหารเกิดมาปี 64 ปีแล้ว   นานกว่าเรื่องหนีทหารของอภิสิทธิ์ไม่รู้กี่เท่า





ทำให้นึกถึงอมตะวาจาของคน ๆ หนึ่ง  ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนพูด
คำนั้นก็คือคำว่า  "กวาดบ้านตัวเองก่อนดีไหม"

จำได้แต่ว่า  คนพูดเกือบเอาตัวไม่รอด

ว่าแล้ว  ไม่รู้ว่ากระทู้นี้จะรอดไหม
จบดีกั่ว
อมยิ้ม01
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
แม้ศาลอุทธรณ์  จะตัดสินว่าอย่างไรก็ตาม...

แต่ประชาชนทั้งประเทศ  เขารู้ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร...

อภิสิทธิ์จะมีสิทธิสมัครผู้แทนได้อีกหรือไม่...เป็นเรื่องที่พอจะรู้กันอยู่..

ในฐานะที่ผมเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกเลือกตั้ง     มองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับประชาชน

และมั่นใจว่าอภิสิทธิ์จะพาพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้เช่นเดิม...

เพราะประชาธิปัตย์ไม่ชนะเลือกตั้งมาร่วม  25  ปีแล้ว   แพ้อีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร...

การมีอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  

จะเป็นการการันตีว่า...ไม่มีทางชนะพรรคเพื่อไทยแน่อน





แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่