ทราบหรือไม่ว่า 90% ของเพลงที่เราฟังอยู่ทุกวันนี้ คือเพลงที่เราเคยฟังมาก่อนแล้ว เราจะแทบจะไม่ฟังเพลงใหม่ๆ เลย
ในแต่ละปีมีเพลงที่แต่งขึ้นใหม่หลายหมื่นเพลง แต่ทำไมนะ เรากลับเลือกฟังเพลงเดิมๆ ซ้ำไปซ่ำมาอยู่นั่นแหละ มีคำตอบที่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์ เอลิซาเบธ มาร์กูลิส ระบุว่า “การฟังเพลงซ้ำทำให้สมองของคนเราซึมซับเพลงนั้น และจินตนาการโดยคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป”
เมื่อเราเปิดเพลงซ้ำ เราจะรู้สึกอยากร้องเพลงตามไปด้วย เป็นเรื่องของการเข้าไปมีส่วนร่วมที่เกิดขึ้นจากการฟัง การมีส่วนร่วมแบบเสมือน ทำให้เรารู้สึกเสมือนว่าเราได้แต่งเพลงด้วยสมองของเราเอง จนเป็นส่วนหนึ่งของเรา”
ทฤษฎีที่ช่วยสนับสนุนความคิดนี้คือปรากฎที่นักวิทยาศาสตร์และนักการตลาดรู้จักกันดี คือ ‘mere exposure effect’ หลักการก็คือ เราชอบบางสิ่งบางอย่างเพียงเพราะเราได้ยินสิ่งนั้นซ้ำๆ เรื่อยๆ
ทฤษฎีนี้ถูกใช้ในเบื้องหลังอุตสาหกรรมเพลง เมื่อค่ายเพลงซื้อเวลาจากคลื่นวิทยุเพื่อให้เปิดเพลงซ้ำไปซ้ำมา เมื่อผู้ฟังได้ยินบ่อยๆ ก็จะเริ่มรู้สึกชอบเพลงนั้นๆ ขึ้นมา
เพลงป๊อปสมัยใหม่ก็ใช้หลักทฤษฎีนี้เช่นกัน
โดยเพลงสมัยใหม่มักจะมีเนื้อร้องที่ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้ติดหูผู้ฟัง ราวกับถูกสะกดจิตเลยทีเดียว
ผลลัพธ์ที่ได้คือทำให้เรารู้สึกเป้นส่วนหนึ่งกับเพลง เพราะเรารู้ล่วงหน้าว่าท่อนต่อไป เพลงนี้จะมีทำนองอย่างไร ร้องว่าอะไร ทำให้เรารู้สึกดีกับเพลงนั้นและชื่นชอบในที่สุด
ตัวอย่างเพลงที่ถูกยกมานำเสนอถึงเนื้อร้องที่ซ้ำไปซ้ำมาจนติดหูผู้ฟัง และเคยขึ้นแท่นเพลงอันดับ 1 “All About That Bass” ที่มียอดการรับชมใน YouTube ถึง 1,692,234,936 ครั้ง (13/01/2017)
เมื่อฟังเพลงนี้แล้ว จะมีประโยคในเพลงติดอยู่ในหัวเรา “All about that bass / Bout that bass / No treble”
ลองคิดถึงเพลงที่คุณชื่นชอบสิ
แน่นอนว่าคุณสามารถคิดถึงเนื้อร้องและทำน้อง ร้องเพลงนั้นอยู่ในสมองได้ไม่ยากเลย
บางเพลงคุณอาจจะไม่ได้ชอบด้วยซ้ำ แต่เมื่อฟัง ได้ยินบ่อยๆ เข้า ทุกวันๆ ก็อาจจะจำได้จนเปลี่ยนเป็นชอบก็ได้
เช่นเพลง “เราจะทำตามสัญญา…” ยังไงล่ะจ๊ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่มา: mic.com,http://www.meekhao.com/news/repetition-music
เราจะทำตามสัญญา…นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสาเหตุที่เราชอบฟังเพลงโปรดซ้ำไปซ้ำมา
ในแต่ละปีมีเพลงที่แต่งขึ้นใหม่หลายหมื่นเพลง แต่ทำไมนะ เรากลับเลือกฟังเพลงเดิมๆ ซ้ำไปซ่ำมาอยู่นั่นแหละ มีคำตอบที่สามารถอธิบายได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์ เอลิซาเบธ มาร์กูลิส ระบุว่า “การฟังเพลงซ้ำทำให้สมองของคนเราซึมซับเพลงนั้น และจินตนาการโดยคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป”
เมื่อเราเปิดเพลงซ้ำ เราจะรู้สึกอยากร้องเพลงตามไปด้วย เป็นเรื่องของการเข้าไปมีส่วนร่วมที่เกิดขึ้นจากการฟัง การมีส่วนร่วมแบบเสมือน ทำให้เรารู้สึกเสมือนว่าเราได้แต่งเพลงด้วยสมองของเราเอง จนเป็นส่วนหนึ่งของเรา”
ทฤษฎีที่ช่วยสนับสนุนความคิดนี้คือปรากฎที่นักวิทยาศาสตร์และนักการตลาดรู้จักกันดี คือ ‘mere exposure effect’ หลักการก็คือ เราชอบบางสิ่งบางอย่างเพียงเพราะเราได้ยินสิ่งนั้นซ้ำๆ เรื่อยๆ
ทฤษฎีนี้ถูกใช้ในเบื้องหลังอุตสาหกรรมเพลง เมื่อค่ายเพลงซื้อเวลาจากคลื่นวิทยุเพื่อให้เปิดเพลงซ้ำไปซ้ำมา เมื่อผู้ฟังได้ยินบ่อยๆ ก็จะเริ่มรู้สึกชอบเพลงนั้นๆ ขึ้นมา
เพลงป๊อปสมัยใหม่ก็ใช้หลักทฤษฎีนี้เช่นกัน
โดยเพลงสมัยใหม่มักจะมีเนื้อร้องที่ซ้ำไปซ้ำมา เพื่อให้ติดหูผู้ฟัง ราวกับถูกสะกดจิตเลยทีเดียว
ผลลัพธ์ที่ได้คือทำให้เรารู้สึกเป้นส่วนหนึ่งกับเพลง เพราะเรารู้ล่วงหน้าว่าท่อนต่อไป เพลงนี้จะมีทำนองอย่างไร ร้องว่าอะไร ทำให้เรารู้สึกดีกับเพลงนั้นและชื่นชอบในที่สุด
ตัวอย่างเพลงที่ถูกยกมานำเสนอถึงเนื้อร้องที่ซ้ำไปซ้ำมาจนติดหูผู้ฟัง และเคยขึ้นแท่นเพลงอันดับ 1 “All About That Bass” ที่มียอดการรับชมใน YouTube ถึง 1,692,234,936 ครั้ง (13/01/2017)
เมื่อฟังเพลงนี้แล้ว จะมีประโยคในเพลงติดอยู่ในหัวเรา “All about that bass / Bout that bass / No treble”
ลองคิดถึงเพลงที่คุณชื่นชอบสิ
แน่นอนว่าคุณสามารถคิดถึงเนื้อร้องและทำน้อง ร้องเพลงนั้นอยู่ในสมองได้ไม่ยากเลย
บางเพลงคุณอาจจะไม่ได้ชอบด้วยซ้ำ แต่เมื่อฟัง ได้ยินบ่อยๆ เข้า ทุกวันๆ ก็อาจจะจำได้จนเปลี่ยนเป็นชอบก็ได้
เช่นเพลง “เราจะทำตามสัญญา…” ยังไงล่ะจ๊ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้