คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1

เลนส์ที่ถ่ายเป็นแบบ Anamorphic lens คือ เลนส์ที่ทำให้ภาพยืดขึ้น (ana- คือ up และ morph คือ transform)
หรือใครจะมองว่าบีบด้านข้างเข้ามาก็คงจะพอได้ ใช้กับกล้องถ่ายหนังตัวรับภาพ4:3

โดยสัดส่วนตัวคูณของ anamorphic lens ก็จะมากกว่า 1.0 เช่น 1.3x
ที่ทำให้ภาพยืดสูงขึ้น 1.3 เท่า หรือ 2x ที่ทำให้ภาพยืดสูงขึ้น 2 เท่า
เลนส์ที่มีตัวคูณเท่ากับ 1.0 คือเลนส์ธรรมดาทั่วไป ที่เรียกว่าเลนส์ flat
และเรียกเลนส์ anamorphic ว่า scope ตามเครื่องหมายการค้าของระบบจอกว้าง

CinemaScope® คือระบบภาพยนตร์จอกว้างของ 20th Century-Fox ที่เป็นการถ่ายทำด้วยเลนส์ anamorphic
เพื่อบีบภาพกว้างลงบนเนื้อที่ฟิล์มที่แคบ จากนั้นใช้เลนส์ anamorphic เพื่อฉายกลับมาเป็นภาพบนจอกว้างในโรงภาพยนตร์
โดยสัดส่วนของจอภาพที่ใช้คือ 2.35 – 2.40

4:3 มีที่มาอย่างไร เล่ากันว่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 Thomas Edison และผู้ช่วยของเขา Willium L.K Dickson
(โทมัส อัลวา เอดิสัน คนเดียวกันกับที่คิดค้นหลอดไฟนั่นแหล่ะ และเขายังเป็นผู้คิดค้นเครื่องถ่ายและฉายภาพ
เครื่องตัดต่อแผ่นฟิล์ม จนนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์กำลังง่วนอยู่กับ film 70mm.
ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่โดยร่วมกับ George Eastman (ผู้คิดค้น และเป็นเจ้าของ film KODAK)
เอดิสันบอกว่า ฟิล์ม 70 mm. ใหญ่เกินไป เก็บลำบากมาก และเปลืองพื้นที่ เปลืองเงิน
เลยบอกให้นายดิกสัน และจอร์จ เอาไปตัดออกครึ่งนึง ดิกสันถามว่า จะให้ตัดเท่าไหร่
โทมัสเลยเอานิ้วไปทาบกับฟิล์ม 70mm นั้นแล้วลากเส้น ปรากฏว่าเส้นนั้นคืออัตรส่วน 4:3 นั่นเอง
(ภายหลังนักวิชาการบางคนก็ว่า เอดิสันใช้ “สัดส่วนทองคำ” หรือ “Golden Section” ประมาณ 1.6:1 )
ต่อมาเมื่อเอดิสันมีชื่อทางด้านฟิล์มภาพยนต์ ในปี 1917 ทาง Society of Motion Picture Engineers (SMPE)
จึงได้วางมาตรฐานสากล ให้ฟิล์มภาพยนตร์(สมัยนั้น)ใช้อัตราส่วน 4:3 ยาวนานถึง 35 ปี


ภายหลังรูปจอยาวกว่าเดิมเพื่อให้ผู้ชมในทุกที่นั่งรับชมได้เต็มตา และจอมีขนาดใหญ่ขึ้น โรงจุผู้ชมได้มากขึ้น
การใช้เลนส์บีบภาพ จึงทำให้ประหยัดฟิล์มระหว่างถ่ายทำ
อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เลนส์ที่ถ่ายเป็นแบบ Anamorphic lens คือ เลนส์ที่ทำให้ภาพยืดขึ้น (ana- คือ up และ morph คือ transform)
หรือใครจะมองว่าบีบด้านข้างเข้ามาก็คงจะพอได้ ใช้กับกล้องถ่ายหนังตัวรับภาพ4:3

โดยสัดส่วนตัวคูณของ anamorphic lens ก็จะมากกว่า 1.0 เช่น 1.3x
ที่ทำให้ภาพยืดสูงขึ้น 1.3 เท่า หรือ 2x ที่ทำให้ภาพยืดสูงขึ้น 2 เท่า
เลนส์ที่มีตัวคูณเท่ากับ 1.0 คือเลนส์ธรรมดาทั่วไป ที่เรียกว่าเลนส์ flat
และเรียกเลนส์ anamorphic ว่า scope ตามเครื่องหมายการค้าของระบบจอกว้าง

CinemaScope® คือระบบภาพยนตร์จอกว้างของ 20th Century-Fox ที่เป็นการถ่ายทำด้วยเลนส์ anamorphic
เพื่อบีบภาพกว้างลงบนเนื้อที่ฟิล์มที่แคบ จากนั้นใช้เลนส์ anamorphic เพื่อฉายกลับมาเป็นภาพบนจอกว้างในโรงภาพยนตร์
โดยสัดส่วนของจอภาพที่ใช้คือ 2.35 – 2.40

4:3 มีที่มาอย่างไร เล่ากันว่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 Thomas Edison และผู้ช่วยของเขา Willium L.K Dickson
(โทมัส อัลวา เอดิสัน คนเดียวกันกับที่คิดค้นหลอดไฟนั่นแหล่ะ และเขายังเป็นผู้คิดค้นเครื่องถ่ายและฉายภาพ
เครื่องตัดต่อแผ่นฟิล์ม จนนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์กำลังง่วนอยู่กับ film 70mm.
ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่โดยร่วมกับ George Eastman (ผู้คิดค้น และเป็นเจ้าของ film KODAK)
เอดิสันบอกว่า ฟิล์ม 70 mm. ใหญ่เกินไป เก็บลำบากมาก และเปลืองพื้นที่ เปลืองเงิน
เลยบอกให้นายดิกสัน และจอร์จ เอาไปตัดออกครึ่งนึง ดิกสันถามว่า จะให้ตัดเท่าไหร่
โทมัสเลยเอานิ้วไปทาบกับฟิล์ม 70mm นั้นแล้วลากเส้น ปรากฏว่าเส้นนั้นคืออัตรส่วน 4:3 นั่นเอง
(ภายหลังนักวิชาการบางคนก็ว่า เอดิสันใช้ “สัดส่วนทองคำ” หรือ “Golden Section” ประมาณ 1.6:1 )
ต่อมาเมื่อเอดิสันมีชื่อทางด้านฟิล์มภาพยนต์ ในปี 1917 ทาง Society of Motion Picture Engineers (SMPE)
จึงได้วางมาตรฐานสากล ให้ฟิล์มภาพยนตร์(สมัยนั้น)ใช้อัตราส่วน 4:3 ยาวนานถึง 35 ปี


ภายหลังรูปจอยาวกว่าเดิมเพื่อให้ผู้ชมในทุกที่นั่งรับชมได้เต็มตา และจอมีขนาดใหญ่ขึ้น โรงจุผู้ชมได้มากขึ้น
การใช้เลนส์บีบภาพ จึงทำให้ประหยัดฟิล์มระหว่างถ่ายทำ
อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
ทำไม Bokeh ในหนังถึงเป็น วงรีครับ ?
แบบนี้อ่ะครับ