La La Land
หน้าหนังและ Trailer ชวนให้คิดว่าเป็นหนังเพลงโรแมนติคฟีลกูด แต่เอาจริงๆแล้วไม่ใช่ซะทีเดียว ถึงจะมีซีนจีบกันหวานๆฟินๆอยู่บ้าง แต่ประเด็นหลักจะอยู่ที่การเล่าถึงดราม่าชีวิตนางเอกที่เหมือนจะเป็นตัวแทนศิลปินและนักแสดงทั้งหลายในนครดารา เหล่าผู้คนที่วิ่งตามความฝัน ... องค์ประกอบอื่นในหนังก็ดูชัดเจนว่าตัวผู้กำกับเองตั้งใจสร้างเพื่อคารวะหนัง musical ในอดีตที่น่าจะมีอิทธิพลต่อเจ้าตัวมาก รวมทั้งเพลงแจ๊ซแบบคลาสสิค โรงหนังสแตนอะโลน ... การถ่ายภาพสวยๆและโปรดักชั่นถูกนำเสนอแบบสวยงามจัดจ้าน ดูฟุ้งๆฝันๆ เข้ากับอารมณ์หนังแต่ไม่ได้ดูเชยหรือดูแปลก เพลงก็เพราะมาก ซีนเพลงเป็นลองเทคถ่ายยาวๆทุกซีน ดูสนุกและเก๋แบบไม่เยอะเกินไป หลักๆก็ต้องยกให้สองดารานำที่ร้องเล่นได้แบบเป็นธรรมชาติมากๆ (โดยเฉพาะเอมม่าที่ดูเหมือนจะไม่ได้แสดงอะไรเลยแต่กวาดรางวัลไปเพียบซะแล้ว) ...
ไคลแมกซ์ช่วงท้ายเรื่องคือความพิเศษของหนังจริงๆ คือจะให้จบแแบบธรรมดาให้คนดูฟินกันไปก็ได้ แต่ แต่ แต่เพื่อตอกย้ำว่าความฝันก็คือความฝัน ความจริงก็คือความจริง เราอาจรักษาบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ได้ แต่อาจมีบางอย่างที่ต้องปล่อยให้มันมีค่ามีความหมายอยู่ในความทรงจำ เป็นอดีตที่สดใสสวยงามทุกครั้งที่นึกถึง พอจบแบบนี้ทำให้หนังที่ดูจะเป็นโรแมนซ์ทั่วไปดูจริงจังและจับต้องได้มากขึ้น ... จากตอนแรกที่แปลกใจว่าหนังเพลงโรแมนติคทำไมคนชมและได้รางวัลเยอะมาก แต่ดูในแง่มุมนี้มันคือดราม่าเชิดชูชีวิตศิลปินที่ต่างคนก็ล้มลุกคลุกคลานกับการไล่ตามความฝันและการ balance ความฝันกับชีวิตจริง ซึ่งคนในวงการน่าจะดูแล้วอินมากกว่ามั้งนะ (ชวนให้นึกถึง Birdman ที่ก็พูดถึงคนในวงการบันเทิงเหมือนกันแต่อันนั้นออกแนว-ดันแบบขีดสุด)
ส่วนตัวที่ชอบมากๆๆ คืองานโปรดักชั่นที่ทำให้งานภาพยนตร์ดูเป็น "Magic" จริงๆ เป็นงานศิลปะที่เติมเต็มความฝันและจินตนาการแบบที่หนังในยุคนี้ไม่ค่อยจะทำกันแล้ว การสร้างฉาก แสงสี เสื้อผ้า ดนตรี พอดูจบแล้วในแง่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้พีคมากขนาดนั้น (เพราะเอาจริงๆมันก็ซ้ำๆ) แต่ตัวหนังมันสวยงามมากด้วยตัวของมันเอง ...

ปล. เป็นหนังฮอลลีวูดเรื่องแรกที่ดูแล้วรู้สึกอยากตามรอยโลเคชั่นถ่ายทำ โดยเฉพาะ Planetarium ในรูป ...
[CR] รีวิวเล็กๆ : La La Land ... "Movie is Magic !"
หน้าหนังและ Trailer ชวนให้คิดว่าเป็นหนังเพลงโรแมนติคฟีลกูด แต่เอาจริงๆแล้วไม่ใช่ซะทีเดียว ถึงจะมีซีนจีบกันหวานๆฟินๆอยู่บ้าง แต่ประเด็นหลักจะอยู่ที่การเล่าถึงดราม่าชีวิตนางเอกที่เหมือนจะเป็นตัวแทนศิลปินและนักแสดงทั้งหลายในนครดารา เหล่าผู้คนที่วิ่งตามความฝัน ... องค์ประกอบอื่นในหนังก็ดูชัดเจนว่าตัวผู้กำกับเองตั้งใจสร้างเพื่อคารวะหนัง musical ในอดีตที่น่าจะมีอิทธิพลต่อเจ้าตัวมาก รวมทั้งเพลงแจ๊ซแบบคลาสสิค โรงหนังสแตนอะโลน ... การถ่ายภาพสวยๆและโปรดักชั่นถูกนำเสนอแบบสวยงามจัดจ้าน ดูฟุ้งๆฝันๆ เข้ากับอารมณ์หนังแต่ไม่ได้ดูเชยหรือดูแปลก เพลงก็เพราะมาก ซีนเพลงเป็นลองเทคถ่ายยาวๆทุกซีน ดูสนุกและเก๋แบบไม่เยอะเกินไป หลักๆก็ต้องยกให้สองดารานำที่ร้องเล่นได้แบบเป็นธรรมชาติมากๆ (โดยเฉพาะเอมม่าที่ดูเหมือนจะไม่ได้แสดงอะไรเลยแต่กวาดรางวัลไปเพียบซะแล้ว) ...
ไคลแมกซ์ช่วงท้ายเรื่องคือความพิเศษของหนังจริงๆ คือจะให้จบแแบบธรรมดาให้คนดูฟินกันไปก็ได้ แต่ แต่ แต่เพื่อตอกย้ำว่าความฝันก็คือความฝัน ความจริงก็คือความจริง เราอาจรักษาบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ได้ แต่อาจมีบางอย่างที่ต้องปล่อยให้มันมีค่ามีความหมายอยู่ในความทรงจำ เป็นอดีตที่สดใสสวยงามทุกครั้งที่นึกถึง พอจบแบบนี้ทำให้หนังที่ดูจะเป็นโรแมนซ์ทั่วไปดูจริงจังและจับต้องได้มากขึ้น ... จากตอนแรกที่แปลกใจว่าหนังเพลงโรแมนติคทำไมคนชมและได้รางวัลเยอะมาก แต่ดูในแง่มุมนี้มันคือดราม่าเชิดชูชีวิตศิลปินที่ต่างคนก็ล้มลุกคลุกคลานกับการไล่ตามความฝันและการ balance ความฝันกับชีวิตจริง ซึ่งคนในวงการน่าจะดูแล้วอินมากกว่ามั้งนะ (ชวนให้นึกถึง Birdman ที่ก็พูดถึงคนในวงการบันเทิงเหมือนกันแต่อันนั้นออกแนว-ดันแบบขีดสุด)
ส่วนตัวที่ชอบมากๆๆ คืองานโปรดักชั่นที่ทำให้งานภาพยนตร์ดูเป็น "Magic" จริงๆ เป็นงานศิลปะที่เติมเต็มความฝันและจินตนาการแบบที่หนังในยุคนี้ไม่ค่อยจะทำกันแล้ว การสร้างฉาก แสงสี เสื้อผ้า ดนตรี พอดูจบแล้วในแง่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้พีคมากขนาดนั้น (เพราะเอาจริงๆมันก็ซ้ำๆ) แต่ตัวหนังมันสวยงามมากด้วยตัวของมันเอง ...
ปล. เป็นหนังฮอลลีวูดเรื่องแรกที่ดูแล้วรู้สึกอยากตามรอยโลเคชั่นถ่ายทำ โดยเฉพาะ Planetarium ในรูป ...