คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
นี่ใช่ไหมที่รถยนต์ไฟฟ้าไทย ไม่เกิดสักที

ค่ายรถประสานเสียง รถไฟฟ้ายังต้องพัฒนาอีกนาน “นิสสัน”หนุนชูเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่ 3 แต่ต้องค่อยๆเปลี่ยน และให้สิทธิพิเศษจูงใจคนซื้อ ส่วนเบนซ์ชี้รถไฟฟ้ายังอีกไกล ปลั๊ก-อิน ไฮบริดเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน ด้าน”โตโยต้า”ฟันธง สถานีชาร์จยังน้อย ไฮบริดดีสุด
ก่อนหน้านี้นายเคียวอิจิ ทานาดะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า รถไฟฟ้าจะได้ความรับนิยมแค่ไหน ต้องพิจารณาจากระยะเวลาการชาร์จ ระยะทางที่วิ่งได้แต่ละครั้ง และสถานีชาร์จไฟฟ้าแพร่หลายแค่ไหน สำหรับโตโยต้ามองว่า การพัฒนาต้องค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากรถพลังงานไฮบริด ตามด้วยรถแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด แล้วจึงค่อยเป็นรถพลังไฟฟ้า ซึ่งในสหรัฐอเมริกา รถไฟฟ้ามียอดขายน้อยกว่ารถไฮบริด เนื่องจากสถานีชาร์จไฟฟ้ามีไม่เพียงพอ แม้แต่ในญี่ปุ่น รถพลังไฟฟ้าก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
สอดคล้องกับที่นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า แม้ว่ารถพลังไฟฟ้า จะไม่มีการปล่อยไอเสียเลยหรือมลพิษ 0 % แต่การผลิตไฟฟ้าก็เป็นการสร้างมลพิษให้กับอากาศ เท่ากับเป็นการย้ายมลพิษจากรถยนต์ไปอยู่ที่โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแทน รถไฟฟ้าจะได้รับความนิยมมากแค่ไหน ขึ้นกับระยะเวลาการชาร์จไฟฟ้า ระยะทางที่วิ่งได้แต่ละครั้ง สถานีสำหรับชาร์จไฟฟ้ามีมากน้อยแค่ไหน สำหรับโตโยต้าก็มีการเปิดตัวรถพลังไฟฟ้า แต่ก็ไม่ได้รับนิยมมากนักเมื่อเทียบกับรถไฮบริด เนื่องจากสถานีชาร์จมีไม่เพียงพอ แต่รถปลั้ก-อินไฮบริดวิ่งด้วยพลังไฟฟ้า เมื่อไฟหมดก็เปลี่ยนมาใช้นํ้ามันได้
เช่นเดียวกับที่ นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนผลิตรถไฟฟ้าเป็นโครงการระยะยาว ต่อจากโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์ 2 ซึ่งปัจจุบัน มีค่ายรถยนต์เริ่มต้นผลิตแล้วเพียงรายเดียว คือมาสด้า ดังนั้น เงื่อนไขการสนับสนุนผู้ผลิตรถไฟฟ้า จะต้องไม่ให้ข้อเสนอที่ดีกว่า จูงใจกว่า เพราะอาจทำให้ผู้ที่ประกาศร่วมโครงการอีโคคาร์ 2 อาจขอยกเลิกการผลิตไปได้ และจะกระทบต่อเนื่องถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำนวนมากด้วย
http://www.thansettakij.com/2016/08/10/79960

ค่ายรถประสานเสียง รถไฟฟ้ายังต้องพัฒนาอีกนาน “นิสสัน”หนุนชูเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนตัวที่ 3 แต่ต้องค่อยๆเปลี่ยน และให้สิทธิพิเศษจูงใจคนซื้อ ส่วนเบนซ์ชี้รถไฟฟ้ายังอีกไกล ปลั๊ก-อิน ไฮบริดเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน ด้าน”โตโยต้า”ฟันธง สถานีชาร์จยังน้อย ไฮบริดดีสุด
ก่อนหน้านี้นายเคียวอิจิ ทานาดะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า รถไฟฟ้าจะได้ความรับนิยมแค่ไหน ต้องพิจารณาจากระยะเวลาการชาร์จ ระยะทางที่วิ่งได้แต่ละครั้ง และสถานีชาร์จไฟฟ้าแพร่หลายแค่ไหน สำหรับโตโยต้ามองว่า การพัฒนาต้องค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากรถพลังงานไฮบริด ตามด้วยรถแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด แล้วจึงค่อยเป็นรถพลังไฟฟ้า ซึ่งในสหรัฐอเมริกา รถไฟฟ้ามียอดขายน้อยกว่ารถไฮบริด เนื่องจากสถานีชาร์จไฟฟ้ามีไม่เพียงพอ แม้แต่ในญี่ปุ่น รถพลังไฟฟ้าก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
สอดคล้องกับที่นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ รองประธานกรรมการ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า แม้ว่ารถพลังไฟฟ้า จะไม่มีการปล่อยไอเสียเลยหรือมลพิษ 0 % แต่การผลิตไฟฟ้าก็เป็นการสร้างมลพิษให้กับอากาศ เท่ากับเป็นการย้ายมลพิษจากรถยนต์ไปอยู่ที่โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแทน รถไฟฟ้าจะได้รับความนิยมมากแค่ไหน ขึ้นกับระยะเวลาการชาร์จไฟฟ้า ระยะทางที่วิ่งได้แต่ละครั้ง สถานีสำหรับชาร์จไฟฟ้ามีมากน้อยแค่ไหน สำหรับโตโยต้าก็มีการเปิดตัวรถพลังไฟฟ้า แต่ก็ไม่ได้รับนิยมมากนักเมื่อเทียบกับรถไฮบริด เนื่องจากสถานีชาร์จมีไม่เพียงพอ แต่รถปลั้ก-อินไฮบริดวิ่งด้วยพลังไฟฟ้า เมื่อไฟหมดก็เปลี่ยนมาใช้นํ้ามันได้
เช่นเดียวกับที่ นายฮิเดสึเกะ ทาเกสึเอะ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนผลิตรถไฟฟ้าเป็นโครงการระยะยาว ต่อจากโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์ 2 ซึ่งปัจจุบัน มีค่ายรถยนต์เริ่มต้นผลิตแล้วเพียงรายเดียว คือมาสด้า ดังนั้น เงื่อนไขการสนับสนุนผู้ผลิตรถไฟฟ้า จะต้องไม่ให้ข้อเสนอที่ดีกว่า จูงใจกว่า เพราะอาจทำให้ผู้ที่ประกาศร่วมโครงการอีโคคาร์ 2 อาจขอยกเลิกการผลิตไปได้ และจะกระทบต่อเนื่องถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จำนวนมากด้วย
http://www.thansettakij.com/2016/08/10/79960
แสดงความคิดเห็น
รถยนต์ไฟฟ้าจีนไปได้สวย เทียนจิน เมืองนำร่องรถยนต์ไฟฟ้า แต่ไทยเรายังหยุดอยู่กับรถยนต์ใช้น้ำมันที่กำลังจะตกยุค
เสาชาร์จไฟ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่โรงแรมตงเจียว ในเซี่ยงไฮ้ (ภาพจากแฟ้ม ซั่งไห่เดลี่)
ซินหวา รายงาน (11 ม.ค.) ว่ารัฐบาลเทียนจินเตรียมติดตั้งเสาชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 90,000 ต้น ภายในปี พ.ศ. 2563 เพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้าราว 160,000 คัน
แผนการฯ ระบุว่า ในเบื้องต้นเสาชาร์จไฟจะติดตั้งตามที่จอดรถสาธารณะ และที่ทำการสำนักงานของรัฐต่างๆ ซึ่งเทียนจินเป็นหนึ่งในเมืองนำร่องโครงการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของจีน โดยข้อมูลของรัฐบาลท้องถิ่น ในปี 2558 พบว่าในเทียนจินมีประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้า 13,872 คัน และมีเสาชาร์จไฟ 2,000 ต้น
ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปี ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2559 - 2563) จีนจะสร้างเครือข่ายพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 5 ล้านคันภายในปี 2563 โดยเมื่อสิ้นเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ได้ติดตั้งเสาชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วจำนวน 107,000 ต้น เพิ่มขึ้น 118% จากปีก่อนหน้า และยังต้องติดตั้งเพิ่มอีกมากกว่า 170,000 ต้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนอย่างมากมายต่อภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ จีนถือว่าเป็นประเทศที่ยืนอยู่แถวหน้าของยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานรูปแบบใหม่ โดยบริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ ในประเทศต่างตั้งวิสัยทัศน์ในการพัฒนารถยนต์สีเขียว เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในประเทศที่มีตลาดรถยนต์ใหญ่โตที่สุดในโลกด้วยกันทั้งสิ้น
ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม ปลายปีที่แล้ว บีวายดี ค่ายผลิตรถยนต์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่เซินเจิ้น เป็นค่ายผู้ผลิตรถยนต์ระดับแนวหน้าของจีน มีอัตราการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ร้อยละ 130 ในครึ่งแรกของปี 2016 และในสามไตรมาสของปีที่แล้ว ยังเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงเป็นอันดับที่สองรองจากค่ายรถยนต์เทสลา (Tesla) ของสหรัฐอเมริกา
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9600000003260
จีนเขามองการไกลจริงๆ รู้ที่จะพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของประเทศตัวเองสู้กับรถยนต์ต่างชาติ เขาไม่จำเป็นต้องเอาใจค่ายรถต่างชาติ
แล้วทำให้ประเทศตัวเองล้าหลังใช้รถยนต์ใช้น้ำมันที่กำลังจะตกยุค แต่ในประเทศของค่ายรถต่างชาติพวกนั้นยังใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันเยอะ
แต่ให้ประเทศด้อยพัฒนาที่เป็นฐานผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน สูดหายใจเอาก๊าซพิษ ไอเสีย ควันดำ ฝุ่น ละอองของรถยนต์ เหมือนเดิม
ต้องยอมรับว่าจีนเขามีผู้นำที่มองการไกล และคนในประเทศเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศสำคัญที่สุด
ไม่เห็นกับเศษเงินที่ต่างชาติให้อันน้อยนิด แล้วทำให้ประเทศแผนดินเกิดของตัวเองเสียประโยชน์อย่างมหาศาล