สมัยโบราณก่อนนั้นเราคิดว่าโลกของเรานี้แสนพิเสษและสำคัญ โลกเป็นดังศูนย์กลางของเอกภพ ทุกอย่างต้องโคจรตามเรา ดวงอาทิตย์ยังต้องมาโคจรรอบโลก มนุษย์คือสิ่งที่พิเศษสุดยอด ปลาในน้ำแสนอร่อยก็ถูกสร้างมาให้เราจับกิน
แต่เมื่อกาลิเลโอประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ มันดันสอดคล้องกับสมมติฐานของโคเปอนิคัส แบบจำลองที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และดาวเคราะห์ดวงอื่นๆรวมทั้งโลก โคจรรอบดวงอาทิตย์

โลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพ
ความรู้ในปัจจุบันบอกว่า มีกาแลคซีเป็นแสนล้านกาแลคซี แต่ละกาแลคซีมีดาวนับแสนล้านดวง โลกก็เป็นแค่ดาวเคราะห์ทั่วๆไปที่โคจรรอบดาวฤกษ์ทั่วๆไปที่อยู่ใน main-sequence
----------------------------------------------------
ดาวฤกษ์ใน main-sequence คืออะไร?
นักดาราศาสตร์ชาวเดนมาร์กชื่อ Ejnar Hertzsprung และนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกาชื่อ Henry N. Russell ได้ค้นพบ Hertzsprung – Russell Diagram (H-R diagram) ในเวลาไล่เลี่ยกัน H-R diagram คือกราฟที่พล็อตระหว่างค่าอุณหภูมิและค่าความสุกสว่าง (Luminosity) Hertzsprung & Russell (H & R) พบว่าเมื่อพล็อตค่าอุณหภูมิและค่าความสุกสว่างของดาวจำนวนมาก ดาวประมาณ 90% จะวางตัวเป็นแนวทแยงบน diagram ซึ่งต่อมาแนวนี้เรียกว่าแถบกระบวนหลัก (Main sequence)
เราจะเห็นแนวเส้นแถบกระบวนหลัก (Main sequence) ชัดยิ่งขึ้นเมื่อเพิ่มจำนวนดาวบน HR diagram อุณหภูมิของดาวบนแถบกระบวนหลัก (Main sequence) อยู่ในช่วงตั้งแต่ 3,000 เคลวินจนถึง 30,000 เคลวิน และมีช่วงความสุกสว่าง (Luminosity) ตั้งแต่ 10-4 ถึง 104 เท่าของความสุกสว่างของดวงอาทิตย์ ที่ด้านล่างของแถบกระบวนหลัก (Main sequence) จะมีกลุ่มดาวขนาดเล็กสีแดงชื่อกลุ่มดาวแคระแดง (red dwarf) ซึ่งนักดาราศาสตร์เชื่อว่าเป็นดาวฤกษ์ที่พบเห็นได้มากที่สุด คือ 80% ของดาวฤกษ์ในเอกภพ ที่ปลายด้านบนซ้ายของเส้นแถบกระบวนหลัก (Main sequence) จะพบว่ามีดาวกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ร้อนมาก และสว่างสดใส ต่อมาจึงได้แยกออกเป็นอีกกลุ่ม เรียกว่ากลุ่มดาวยักษ์น้ำเงิน (blue giant)

ดาวยักษ์น้ำเงิน (blue giant)
H & R ยังพบว่ามีดาวอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่อยู่บนแถบกระบวนหลัก (Main sequence) เช่นดาว Sirius B มีอุณหภูมิผิวประมาณ 24,000 เคลวิน (ประมาณ 4 เท่าของดวงอาทิตย์) แต่มีค่าความสุขสว่างเป็น 0.04 เท่าของความสุกสว่างของดวงอาทิตย์ ทำให้ HR แปลกใจมาก จากนั้นจึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าต่อไปจึงพบว่ามีดาวที่มีอุณหภูมิผิว type A อยู่อีกจำนวนหนึ่งที่มีคุณสมบัติคล้าย Sirius B เมื่อพล็อตดาวเหล่านั้นบน HR diagram บนว่าจะอยู่บริเวณด้านล่างซ้ายมือ เรียกว่าบริเวณนี้ว่าบริเวณดาวแคระขาว (white dwarf region ) และเรียกดาวที่อยู่บริเวณนี้ว่าดาวแคระขาว (white dwarf) เนื่องจากดาวกลุ่มนี้มีอุณหภูมิผิวสูงแต่มีความสว่างน้อยแสดงว่ามีขนาดเล็กมากจึงเรียกว่า ดาวแคระ

ดาวแคระขาว (white dwarf)
ยังมีดาวฤกษ์อีกกลุ่มหนึ่งที่มีอุณหภูมิผิวต่ำประมาณ 3,000 เคลวิน แต่มีค่าความสุกสว่างเป็น 400 เท่าของความสุกสว่างของดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์กลุ่มนี้อยู่บริเวณขวาบนของ HR diagram และเราเรียกดาวฤกษ์กลุ่มนี้ว่าดาวยักษ์แดง (red giant) ปัจจุบันนักดาราศาสตร์พบว่าดาวฤกษ์บนท้องฟ้า 90% เป็นดาวบนแถบกระบวนหลัก (Main sequence), 9% เป็นดาวแคระขาว (white dwarf) และ 1% เป็นดาวยักษ์แดง (red giant)

ดาวยักษ์แดง (red giant)
HR diagram ยังแสดงให้เห็นว่า มวลของดาวฤกษ์มีความสำคัญต่อการวิวัฒนาการของดาวดวงนั้น H & R พบว่า หากดาวดวงนั้นถือกำเนิดมามีมวลมาก ตำแหน่งของดาวดวงนั้นจะอยู่ด้านบนซ้าย ดังนั้นดาวเหล่านี้ก็จะอายุไม่ยืน เพราะต้องใช้พลังงานมาก
ขนาดของดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับแรงดันแก๊สร้อนซึ่งดันออกจากแก่นกลางสู่พื้นผิว และมวลของดาวซึ่งทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง หากอัตราการเกิดฟิวชันสูงเกินไป แก๊สที่แก่นกลางจะดันดาวให้ขยายตัวออก เมื่อแก๊สขยายตัวอุณหภูมิจะลดต่ำลงตามกฎของแก๊ส ทำให้อัตราการเกิดฟิวชันลดลงด้วย ในทางกลับกันหากอัตราการเกิดฟิวชันต่ำเกินไป แก๊สที่แก่นกลางจะเย็นตัวลง แรงดันแก๊สลดลง เนื้อสารของดาวยุบตัวลงมา ทำให้เกิดความดันและอุณหภูมิสูงขึ้น เพิ่มอัตราการเกิดฟิวชันให้สูงขึ้น ระบบกลไกนี้ช่วยรักษาสมดุลของดาวฤกษ์ ให้มีอัตราการเกิดปฏิกิริยาฟิวชันคงที่สม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งชีวิตของดาว อายุขัยของดาวในช่วงเวลานี้อยู่ใน main-sequence
http://astro.phys.sc.chula.ac.th/IHY/Stars/Main_sequence.htm
http://www.lesa.biz/astronomy/star/main-sequence
---------------------------------------
กลับมาต่อ อย่างที่บอกไปความรู้ในปัจจุบันบอกว่า มีกาแลคซีเป็นแสนล้านกาแลคซี แต่ละกาแลคซีมีดาวนับแสนล้านดวง โลกก็เป็นแค่ดาวเคราะห์ทั่วๆไปที่โคจรรอบดาวฤกษ์ทั่วๆไปที่อยู่ใน main-sequence ซึ่งโคจรอยู่ในกาแลคซีทั่วๆไปที่มีดาวนับแสนล้านดวง ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนของ local group ใน คลัสเตอร์กาแลคซีทั่วๆไป...
เจอศัพท์วิชาการอีกแล้ว นั้นมาทำความเข้าใจกันก่อนนะ
----------------------------------------
มาอธิบายกันก่อน local group และ คลัสเตอร์กาแลคซี คืออะไร ?
กาแล็กซีไม่ได้กระจายทั่วไปเท่าๆ กันในจักรวาล หากแต่อยู่รวมกันเป็น "กระจุกกาแล็กซี" (Galactic cluster) กระจุกกาแล็กซีที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ กระจุกเวอร์โก (Virgo Cluster) อยู่ห่างจากกาแล็กซีทางช้างเผือกประมาณ 50 ล้านปีแสง มีจำนวนกาแล็กซีมากกว่า 2,000 กาแล็กซี กาแล็กซีส่วนใหญ่เป็นกาแล็กซีรีขนาดใหญ่ โดยเพียงกาแล็กซีเดียวอาจมีขนาดใหญ่เท่ากับกลุ่มท้องถิ่น (Local Group) ของเราทั้งกลุ่ม ภาพกระจุกเวอร์โกข้างล่าง แสดงให้เห็นว่า กระจุกเวอร์โกมีประชากรกาแล็กซีหลายประเภทอยู่อย่างหนาแน่น มีทั้งกาแลกซีรี กาแล็กซีกังหัน กาแล็กซีไม่มีรูปแบบ รวมทั้งแอ็คทีฟกาแล็กซี กระจุกกาแล็กซีอื่นๆ ที่อยู่ถัดออกไปได้แก่ กระจุกโคมา (Coma Cluster) มีประชากรกาแล็กซีประมาณ 10,000 กาแล็กซี อยู่ห่างออกไป 300 ล้านปีแสง และกระจุกเฮอร์คิวลิส (Hercules Cluster) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 500 ล้านปีแสง

กระจุกเวอร์โก
กระจุกกาแล็กซีมิได้อยู่อย่างอิสระ หากแต่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ซึ่งเรียกว่า “ซูเปอร์คลัสเตอร์” (Supercluster) ซูเปอร์คลัสเตอร์หนึ่งๆ อาจมีขนาดใหญ่ครอบคลุม 100 ล้านปีแสง ตัวอย่างเช่น กระจุกโคมาเป็นสมาชิกของซูเปอร์คลัสเตอร์ ที่ชื่อ Coma Wall ซึ่งมีขนาดประมาณ 250 x 750 ล้านปีแสง

ซูเปอร์คลัสเตอร์
http://www.lesa.biz/astronomy/galaxy/galactic-cluster
------------------------------------------
กลับมาต่อ อย่างที่บอกไปความรู้ในปัจจุบันบอกว่า มีกาแลคซีเป็นแสนล้านกาแลคซี แต่ละกาแลคซีมีดาวนับแสนล้านดวง โลกก็เป็นแค่ดาวเคราะห์ทั่วๆไปที่โคจรรอบดาวฤกษ์ทั่วๆไปที่อยู่ใน main-sequence ซึ่งโคจรอยู่ในกาแลคซีทั่วๆไปที่มีดาวนับแสนล้านดวง ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนของ local group ใน คลัสเตอร์กาแลคซีทั่วๆไป ซึ่งก็อยู่ในซูเปอร์คลัสเตอร์กาแลคซีทั่วๆไปอีกต่อหนึ่งแล้ว รวมเป็นเอกภพที่สังเกตได้
แล้วนี่จะบอกว่าโลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพหรือ?
แต่เดี๋ยวก่อนแม้เราจะเล็กจิ๋ว อยู่ในสถานที่เล็กๆแห่งหนึ่งในเอกภพที่ช่างเล็กจิ๋วและไม่สลักสำคัญอะไรเลยเทียบกับขนาดและอายุของเอกภพ แต่โลกเราก็แสนพิเศษสุดยอดเพราะมีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญามี consciousness ตระหนักรู้มีสมองอันชาญฉลาดทราบเรื่องราวการทำงานของธรรมชาติมากมายและสำรวจตรวจสอบตั้งแต่ใต้ท้องทะเลจนไปถึงดวงดาวต่างๆบนท้องฟ้านั่น จะมาบอกว่าเราไม่พิเศษได้ไง เรานี่แหละแสนพิเศษ เวลาไปสั่งข้าวยังต้องมีพิเศษบวกไข่ดาวเลย
แต่ก็มีชายผู้หนึ่งชื่อว่าท่าน Drake
ไม่ใช่สิ

คนนี้ต่างหาก ท่าน Dr. Frank Drake
ท่าน Drake ใช้สมการมาคำนวณถึงจำนวนอารยธรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวนอกโลกนั่น !
และผลลัพธ์ก็แสนน่าแปลกใจ และผลลัพธ์นั้นเป็นอย่างไรกันแน่ โลกเราเป็นสถานที่พิเศษหรือไม่ มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่า มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน มารู้จักกับ Drake equation กันเถอะ
เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ
"ถ้าถูกใจช่วยกดบวกกดถูกใจด้วยนะคะ เจ้าแม่ก็ชอบอ่านเรื่องวิทยาศาสตร์แบบนี้เหมือนกันค่ะ"
-เจ้าแม่นาคี
==โลกเราเป็นสถานที่พิเศษหรือไม่ มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่า มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน มารู้จักกับ Drake equation กันเถอะ==
แต่เมื่อกาลิเลโอประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ มันดันสอดคล้องกับสมมติฐานของโคเปอนิคัส แบบจำลองที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และดาวเคราะห์ดวงอื่นๆรวมทั้งโลก โคจรรอบดวงอาทิตย์
โลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพ
ความรู้ในปัจจุบันบอกว่า มีกาแลคซีเป็นแสนล้านกาแลคซี แต่ละกาแลคซีมีดาวนับแสนล้านดวง โลกก็เป็นแค่ดาวเคราะห์ทั่วๆไปที่โคจรรอบดาวฤกษ์ทั่วๆไปที่อยู่ใน main-sequence
----------------------------------------------------
ดาวฤกษ์ใน main-sequence คืออะไร?
นักดาราศาสตร์ชาวเดนมาร์กชื่อ Ejnar Hertzsprung และนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกาชื่อ Henry N. Russell ได้ค้นพบ Hertzsprung – Russell Diagram (H-R diagram) ในเวลาไล่เลี่ยกัน H-R diagram คือกราฟที่พล็อตระหว่างค่าอุณหภูมิและค่าความสุกสว่าง (Luminosity) Hertzsprung & Russell (H & R) พบว่าเมื่อพล็อตค่าอุณหภูมิและค่าความสุกสว่างของดาวจำนวนมาก ดาวประมาณ 90% จะวางตัวเป็นแนวทแยงบน diagram ซึ่งต่อมาแนวนี้เรียกว่าแถบกระบวนหลัก (Main sequence)
เราจะเห็นแนวเส้นแถบกระบวนหลัก (Main sequence) ชัดยิ่งขึ้นเมื่อเพิ่มจำนวนดาวบน HR diagram อุณหภูมิของดาวบนแถบกระบวนหลัก (Main sequence) อยู่ในช่วงตั้งแต่ 3,000 เคลวินจนถึง 30,000 เคลวิน และมีช่วงความสุกสว่าง (Luminosity) ตั้งแต่ 10-4 ถึง 104 เท่าของความสุกสว่างของดวงอาทิตย์ ที่ด้านล่างของแถบกระบวนหลัก (Main sequence) จะมีกลุ่มดาวขนาดเล็กสีแดงชื่อกลุ่มดาวแคระแดง (red dwarf) ซึ่งนักดาราศาสตร์เชื่อว่าเป็นดาวฤกษ์ที่พบเห็นได้มากที่สุด คือ 80% ของดาวฤกษ์ในเอกภพ ที่ปลายด้านบนซ้ายของเส้นแถบกระบวนหลัก (Main sequence) จะพบว่ามีดาวกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ร้อนมาก และสว่างสดใส ต่อมาจึงได้แยกออกเป็นอีกกลุ่ม เรียกว่ากลุ่มดาวยักษ์น้ำเงิน (blue giant)
ดาวยักษ์น้ำเงิน (blue giant)
H & R ยังพบว่ามีดาวอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่อยู่บนแถบกระบวนหลัก (Main sequence) เช่นดาว Sirius B มีอุณหภูมิผิวประมาณ 24,000 เคลวิน (ประมาณ 4 เท่าของดวงอาทิตย์) แต่มีค่าความสุขสว่างเป็น 0.04 เท่าของความสุกสว่างของดวงอาทิตย์ ทำให้ HR แปลกใจมาก จากนั้นจึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าต่อไปจึงพบว่ามีดาวที่มีอุณหภูมิผิว type A อยู่อีกจำนวนหนึ่งที่มีคุณสมบัติคล้าย Sirius B เมื่อพล็อตดาวเหล่านั้นบน HR diagram บนว่าจะอยู่บริเวณด้านล่างซ้ายมือ เรียกว่าบริเวณนี้ว่าบริเวณดาวแคระขาว (white dwarf region ) และเรียกดาวที่อยู่บริเวณนี้ว่าดาวแคระขาว (white dwarf) เนื่องจากดาวกลุ่มนี้มีอุณหภูมิผิวสูงแต่มีความสว่างน้อยแสดงว่ามีขนาดเล็กมากจึงเรียกว่า ดาวแคระ
ดาวแคระขาว (white dwarf)
ยังมีดาวฤกษ์อีกกลุ่มหนึ่งที่มีอุณหภูมิผิวต่ำประมาณ 3,000 เคลวิน แต่มีค่าความสุกสว่างเป็น 400 เท่าของความสุกสว่างของดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์กลุ่มนี้อยู่บริเวณขวาบนของ HR diagram และเราเรียกดาวฤกษ์กลุ่มนี้ว่าดาวยักษ์แดง (red giant) ปัจจุบันนักดาราศาสตร์พบว่าดาวฤกษ์บนท้องฟ้า 90% เป็นดาวบนแถบกระบวนหลัก (Main sequence), 9% เป็นดาวแคระขาว (white dwarf) และ 1% เป็นดาวยักษ์แดง (red giant)
ดาวยักษ์แดง (red giant)
HR diagram ยังแสดงให้เห็นว่า มวลของดาวฤกษ์มีความสำคัญต่อการวิวัฒนาการของดาวดวงนั้น H & R พบว่า หากดาวดวงนั้นถือกำเนิดมามีมวลมาก ตำแหน่งของดาวดวงนั้นจะอยู่ด้านบนซ้าย ดังนั้นดาวเหล่านี้ก็จะอายุไม่ยืน เพราะต้องใช้พลังงานมาก
ขนาดของดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับแรงดันแก๊สร้อนซึ่งดันออกจากแก่นกลางสู่พื้นผิว และมวลของดาวซึ่งทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง หากอัตราการเกิดฟิวชันสูงเกินไป แก๊สที่แก่นกลางจะดันดาวให้ขยายตัวออก เมื่อแก๊สขยายตัวอุณหภูมิจะลดต่ำลงตามกฎของแก๊ส ทำให้อัตราการเกิดฟิวชันลดลงด้วย ในทางกลับกันหากอัตราการเกิดฟิวชันต่ำเกินไป แก๊สที่แก่นกลางจะเย็นตัวลง แรงดันแก๊สลดลง เนื้อสารของดาวยุบตัวลงมา ทำให้เกิดความดันและอุณหภูมิสูงขึ้น เพิ่มอัตราการเกิดฟิวชันให้สูงขึ้น ระบบกลไกนี้ช่วยรักษาสมดุลของดาวฤกษ์ ให้มีอัตราการเกิดปฏิกิริยาฟิวชันคงที่สม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งชีวิตของดาว อายุขัยของดาวในช่วงเวลานี้อยู่ใน main-sequence
http://astro.phys.sc.chula.ac.th/IHY/Stars/Main_sequence.htm
http://www.lesa.biz/astronomy/star/main-sequence
---------------------------------------
กลับมาต่อ อย่างที่บอกไปความรู้ในปัจจุบันบอกว่า มีกาแลคซีเป็นแสนล้านกาแลคซี แต่ละกาแลคซีมีดาวนับแสนล้านดวง โลกก็เป็นแค่ดาวเคราะห์ทั่วๆไปที่โคจรรอบดาวฤกษ์ทั่วๆไปที่อยู่ใน main-sequence ซึ่งโคจรอยู่ในกาแลคซีทั่วๆไปที่มีดาวนับแสนล้านดวง ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนของ local group ใน คลัสเตอร์กาแลคซีทั่วๆไป...
เจอศัพท์วิชาการอีกแล้ว นั้นมาทำความเข้าใจกันก่อนนะ
----------------------------------------
มาอธิบายกันก่อน local group และ คลัสเตอร์กาแลคซี คืออะไร ?
กาแล็กซีไม่ได้กระจายทั่วไปเท่าๆ กันในจักรวาล หากแต่อยู่รวมกันเป็น "กระจุกกาแล็กซี" (Galactic cluster) กระจุกกาแล็กซีที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ กระจุกเวอร์โก (Virgo Cluster) อยู่ห่างจากกาแล็กซีทางช้างเผือกประมาณ 50 ล้านปีแสง มีจำนวนกาแล็กซีมากกว่า 2,000 กาแล็กซี กาแล็กซีส่วนใหญ่เป็นกาแล็กซีรีขนาดใหญ่ โดยเพียงกาแล็กซีเดียวอาจมีขนาดใหญ่เท่ากับกลุ่มท้องถิ่น (Local Group) ของเราทั้งกลุ่ม ภาพกระจุกเวอร์โกข้างล่าง แสดงให้เห็นว่า กระจุกเวอร์โกมีประชากรกาแล็กซีหลายประเภทอยู่อย่างหนาแน่น มีทั้งกาแลกซีรี กาแล็กซีกังหัน กาแล็กซีไม่มีรูปแบบ รวมทั้งแอ็คทีฟกาแล็กซี กระจุกกาแล็กซีอื่นๆ ที่อยู่ถัดออกไปได้แก่ กระจุกโคมา (Coma Cluster) มีประชากรกาแล็กซีประมาณ 10,000 กาแล็กซี อยู่ห่างออกไป 300 ล้านปีแสง และกระจุกเฮอร์คิวลิส (Hercules Cluster) ซึ่งอยู่ห่างออกไป 500 ล้านปีแสง
กระจุกเวอร์โก
กระจุกกาแล็กซีมิได้อยู่อย่างอิสระ หากแต่อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ซึ่งเรียกว่า “ซูเปอร์คลัสเตอร์” (Supercluster) ซูเปอร์คลัสเตอร์หนึ่งๆ อาจมีขนาดใหญ่ครอบคลุม 100 ล้านปีแสง ตัวอย่างเช่น กระจุกโคมาเป็นสมาชิกของซูเปอร์คลัสเตอร์ ที่ชื่อ Coma Wall ซึ่งมีขนาดประมาณ 250 x 750 ล้านปีแสง
ซูเปอร์คลัสเตอร์
http://www.lesa.biz/astronomy/galaxy/galactic-cluster
------------------------------------------
กลับมาต่อ อย่างที่บอกไปความรู้ในปัจจุบันบอกว่า มีกาแลคซีเป็นแสนล้านกาแลคซี แต่ละกาแลคซีมีดาวนับแสนล้านดวง โลกก็เป็นแค่ดาวเคราะห์ทั่วๆไปที่โคจรรอบดาวฤกษ์ทั่วๆไปที่อยู่ใน main-sequence ซึ่งโคจรอยู่ในกาแลคซีทั่วๆไปที่มีดาวนับแสนล้านดวง ซึ่งนั่นก็เป็นส่วนของ local group ใน คลัสเตอร์กาแลคซีทั่วๆไป ซึ่งก็อยู่ในซูเปอร์คลัสเตอร์กาแลคซีทั่วๆไปอีกต่อหนึ่งแล้ว รวมเป็นเอกภพที่สังเกตได้
แล้วนี่จะบอกว่าโลกเป็นศูนย์กลางของเอกภพหรือ?
แต่เดี๋ยวก่อนแม้เราจะเล็กจิ๋ว อยู่ในสถานที่เล็กๆแห่งหนึ่งในเอกภพที่ช่างเล็กจิ๋วและไม่สลักสำคัญอะไรเลยเทียบกับขนาดและอายุของเอกภพ แต่โลกเราก็แสนพิเศษสุดยอดเพราะมีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญามี consciousness ตระหนักรู้มีสมองอันชาญฉลาดทราบเรื่องราวการทำงานของธรรมชาติมากมายและสำรวจตรวจสอบตั้งแต่ใต้ท้องทะเลจนไปถึงดวงดาวต่างๆบนท้องฟ้านั่น จะมาบอกว่าเราไม่พิเศษได้ไง เรานี่แหละแสนพิเศษ เวลาไปสั่งข้าวยังต้องมีพิเศษบวกไข่ดาวเลย
แต่ก็มีชายผู้หนึ่งชื่อว่าท่าน Drake
ไม่ใช่สิ
คนนี้ต่างหาก ท่าน Dr. Frank Drake
ท่าน Drake ใช้สมการมาคำนวณถึงจำนวนอารยธรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวนอกโลกนั่น !
และผลลัพธ์ก็แสนน่าแปลกใจ และผลลัพธ์นั้นเป็นอย่างไรกันแน่ โลกเราเป็นสถานที่พิเศษหรือไม่ มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือเปล่า มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน มารู้จักกับ Drake equation กันเถอะ
เดี๋ยวมาเขียนต่อครับ
"ถ้าถูกใจช่วยกดบวกกดถูกใจด้วยนะคะ เจ้าแม่ก็ชอบอ่านเรื่องวิทยาศาสตร์แบบนี้เหมือนกันค่ะ"
-เจ้าแม่นาคี