อ่านเป็นเกล็ดความรู้ครับ ผิดพลาดประการใดขออภัย
.
.
ผลของการสมรสจะสิ้นสุดลงแต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือคำพิพากษาเท่านั้น ไม่ใช่ แค่ Say good bye แล้วแยกทางกันจะทำให้ขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน
ต่อให้แยกกัน ๑๐ ปี ๒๐ ปี บวชเป็นพระ หรือมีครอบครัวใหม่ก็ยังเป็นสามีภรรยากันตามกฏหมาย นั่นหมายถึงสิทธิและหน้าที่ในฐานะคู่สมรสยังมีอยู่
หากชีวิตคู่ไม่ราบรื่นแล้วประสงค์ตัดขาดจากกัน สิ้นสิทธิและหน้าที่ต่อกัน ก็มีได้แต่การหย่า ถ้าทั้งสองฝ่ายยินยอมคงไม่ใช่ปัญหา แค่เดินไปอำเภอแล้วจดทะเบียนหย่า
แต่หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมหรือตกลงกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องแบ่งสินสมรส เรื่องอำนาจปกครองบุตร เรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร หรือค่าทดแทนต่างๆ เหล่านี้จะไปจดทะเบียนที่อำเภอก็ไม่ได้เพราะทางอำเภอไม่มีอำนาจชีขาดปัญหา จึงต้องขอใช้อำนาจศาลบังคับให้หย่าเท่านั้น
ซึ่งในกรณีฟ้องหย่ามิใช่จะฟ้องเมื่อไหร่ก็ได้ตามอารมณ์ แต่จะต้องมีเหตุแห่งการฟ้อง ซึ่งมีด้วยกัน ๑๐ เหตุ ดังนี้
๑.คู่สมรสมีชู้
๒.ประพฤติชั่ว อยู่กันต่อไปก็มีแต่อับอายขายหน้าชาวบ้าน
๓.ตบตี ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ด่าบุพการีอีกฝ่าย
๔.จงใจทิ้งร้างไป๑ปี
๕.เป็นคนสาบสูญ
๖.ไม่ช่วยกันทำมาหากิน แถมทำการเป็นปรปักษ์
๗.วิกลจริตจนยากจะรักษา
๘.ผิดทัณฑ์บนที่ทำต่อกันไว้เป็นหนังสือ
๙.เป็นโรคติดต่อร้ายแรงรักษาหายยาก
๑๐.มีสภาพร่างกายที่ไม่อาจร่วมประเวณีกันได้ตลอดกาล (๕๕๕๕)
เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เกิดสิทธิที่จะฟ้องหย่าขึ้น แต่ที่สำคัญคือสิทธิฟ้องหย่าดังกล่าวหากให้อภัยแก่กันแล้วก็จะสิ้นสิทธิที่จะฟ้องได้ ดังนั้นจะฟ้องเขาแล้วต้องใจแข็ง...อย่าไปยอม
ฟ้องหย่าแล้วนอกจากจะขาดจากการเป็นคู่สมรสแล้วเรียกอะไรได้บ้าง.... สิ่งที่จะเรียกได้มีดังนี้
๑.แบ่งสินสมรส
๒.ถ้ามีบุตร เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ
๓.ถ้ามีบุตรสามารถให้ศาลเพิกถอนอำนาจปกครองบุตรของอีกฝ่ายได้ เพื่อให้ตนมีอำนาจปกครองฝ่ายเดียว
๔.หากผลของการหย่าทำให้ยากจนลง สามารถเรียกค่าเลี้งดูได้
๕.ถ้าเหตุฟ้องหย่าเกิดขึ้นเพราะเขาไปมีชู้ สามารถเรียกค่าทดแทนจากทั้งคู่สมรสและจากชู้ได้
เมื่อศาลได้พิพากษาให้หย่าขาดจากกัน และคดีถึงที่สุดแล้ว ก็นำคำพิพากษาของศาลไปแสดงที่อำเภอเพื่อจดทะเบียนหย่าต่อไป
เรื่องของการหย่า
.
.
ผลของการสมรสจะสิ้นสุดลงแต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือคำพิพากษาเท่านั้น ไม่ใช่ แค่ Say good bye แล้วแยกทางกันจะทำให้ขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน
ต่อให้แยกกัน ๑๐ ปี ๒๐ ปี บวชเป็นพระ หรือมีครอบครัวใหม่ก็ยังเป็นสามีภรรยากันตามกฏหมาย นั่นหมายถึงสิทธิและหน้าที่ในฐานะคู่สมรสยังมีอยู่
หากชีวิตคู่ไม่ราบรื่นแล้วประสงค์ตัดขาดจากกัน สิ้นสิทธิและหน้าที่ต่อกัน ก็มีได้แต่การหย่า ถ้าทั้งสองฝ่ายยินยอมคงไม่ใช่ปัญหา แค่เดินไปอำเภอแล้วจดทะเบียนหย่า
แต่หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมหรือตกลงกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องแบ่งสินสมรส เรื่องอำนาจปกครองบุตร เรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร หรือค่าทดแทนต่างๆ เหล่านี้จะไปจดทะเบียนที่อำเภอก็ไม่ได้เพราะทางอำเภอไม่มีอำนาจชีขาดปัญหา จึงต้องขอใช้อำนาจศาลบังคับให้หย่าเท่านั้น
ซึ่งในกรณีฟ้องหย่ามิใช่จะฟ้องเมื่อไหร่ก็ได้ตามอารมณ์ แต่จะต้องมีเหตุแห่งการฟ้อง ซึ่งมีด้วยกัน ๑๐ เหตุ ดังนี้
๑.คู่สมรสมีชู้
๒.ประพฤติชั่ว อยู่กันต่อไปก็มีแต่อับอายขายหน้าชาวบ้าน
๓.ตบตี ทำร้ายร่างกายหรือจิตใจ ด่าบุพการีอีกฝ่าย
๔.จงใจทิ้งร้างไป๑ปี
๕.เป็นคนสาบสูญ
๖.ไม่ช่วยกันทำมาหากิน แถมทำการเป็นปรปักษ์
๗.วิกลจริตจนยากจะรักษา
๘.ผิดทัณฑ์บนที่ทำต่อกันไว้เป็นหนังสือ
๙.เป็นโรคติดต่อร้ายแรงรักษาหายยาก
๑๐.มีสภาพร่างกายที่ไม่อาจร่วมประเวณีกันได้ตลอดกาล (๕๕๕๕)
เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เกิดสิทธิที่จะฟ้องหย่าขึ้น แต่ที่สำคัญคือสิทธิฟ้องหย่าดังกล่าวหากให้อภัยแก่กันแล้วก็จะสิ้นสิทธิที่จะฟ้องได้ ดังนั้นจะฟ้องเขาแล้วต้องใจแข็ง...อย่าไปยอม
ฟ้องหย่าแล้วนอกจากจะขาดจากการเป็นคู่สมรสแล้วเรียกอะไรได้บ้าง.... สิ่งที่จะเรียกได้มีดังนี้
๑.แบ่งสินสมรส
๒.ถ้ามีบุตร เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ
๓.ถ้ามีบุตรสามารถให้ศาลเพิกถอนอำนาจปกครองบุตรของอีกฝ่ายได้ เพื่อให้ตนมีอำนาจปกครองฝ่ายเดียว
๔.หากผลของการหย่าทำให้ยากจนลง สามารถเรียกค่าเลี้งดูได้
๕.ถ้าเหตุฟ้องหย่าเกิดขึ้นเพราะเขาไปมีชู้ สามารถเรียกค่าทดแทนจากทั้งคู่สมรสและจากชู้ได้
เมื่อศาลได้พิพากษาให้หย่าขาดจากกัน และคดีถึงที่สุดแล้ว ก็นำคำพิพากษาของศาลไปแสดงที่อำเภอเพื่อจดทะเบียนหย่าต่อไป