ประชากรไทยประมาณ 65 ล้านคน ก็ยังไม่สูงเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ทำไมอุบัติเหตุทางรถยนต์ของไทย จึงติดอันดับต้นๆของโลกครับ

ประชากรไทยประมาณ 65 ล้านคน ก็ยังไม่สูงเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ทำไมอุบัติเหตุทางรถยนต์ของไทย จึงติดอันดับต้นๆของโลกครับ

เห็นหลายๆข่าว หลายๆกระทู้ ไทยติดอันดับโลก แง่ลบ เรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์นี้ ทั้งๆที่ประชากรเราน้อยกว่า จีน อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ

https://pantip.com/topic/35235766

https://pantip.com/topic/35227583

เป็นเพราะอะไร เราถึงติดอันดับโลกเรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทั้งๆที่ประชากรเราน้อยกว่าบางประเทศครับ ขอบคุณครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ขาดวินัย ขาดจิตสำนึก และทึ่สำคัญคือขาดความรับผิดชอบต่อผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน
ความคิดเห็นที่ 17
จะให้แก้ปัญหาเป็นนามธรรมตลอด ปลูกจิตสำนึกอะไรมันไม่ไหวครับ
ทำให้มันเป็นรูปธรรมหน่อยก็ดีนะครับ

จะแก้ปัญหาก็แก้ให้เบ็ดเสร็จไปเลยดีกว่าไหมครับ

ถ้าพวกเราบอกว่าคนไทยไม่เคารพกฏคนไทยทำตามใจมันก็เป็นเรื่องนามธรรมมากไป
มันแก้อะไรแทบไม่ได้ ทำได้แค่บ่นและสุดท้ายก็สองสามวันลืม ไม่นำไปสู่การปฏิบัตินะครับ

ขอให้ช่วยกันคิดแก้ไขแบบมีความเป็นรูปธรรมจะดีกว่านะครับ
----------------------------------------
อย่าหวังพึ่งพาสำนึกคน หรือให้ลำบากตำรวจมากมายเลยครับ
รัฐบาลกล้าลงทุนหน่อยแล้วจะดีเองครับ

1. สั่งติด GPS รถโดยสารใหม่จากโรงงาน
และรถเก่า  ทยอยบังคับไปตามประเภทรถ
ต้องติดให้หมดภายใน 5 ปี ถึงปีสุดท้ายถ้าไม่ติดก็ไม่ต้องวิ่งกันเลย

2. และมีระบบแผนที่ความเร็วเป็นมาตรฐาน ทั้งประเทศ
ว่าเส้นทางไหนช่วงไหนทำความเร็วสูงสุดได้เท่าไร แม้ไม่เกิดปัญหาก็ยังดูพิกัดกันง่ายๆเลย
แต่ไม่ต้องนั่งเฝ้าหรอก ระบบมันคำนวนช่วงเส้นทางที่กำลังวิ่ง ความเร็วรถ เทียบกับกับความเร็วที่ ขนส่ง กำหนดใว้ก่อนได้เอง
ถ้าเร็วเกิน เป็นระยะเวลาหนึ่ง หรือเร็วไม่นาน แต่ก็มีความถี่ๆจำนวนกี่ครั้งต่อช่วงเวลา
ระบบก็ควรแจ้งเตือนไปยังคนขับได้แล้ว
ค่าใช้จ่ายในการแจ้งเตือนไม่ว่าจะวิธีไหนหรือค่าปรับก็ลงที่คนขับเลยครับ

ซึ่งเมื่อระบบรันไปสักพัก ทำให้สามารถใช้สถิติอุบัติเหตุรถโดยสารในแต่ละช่วงเส้นทาง
ประกอบการคำนวนจำกัดความเร็วเสียใหม่ หรือใช้แก้ไขถนนได้ด้วย เอาแบบให้ละเอียดถึง ทุกระยะ 20 เมตร ก็ยังทำได้เลยครับ
ทุกวันนี้เรามีสถิติ ตามช่วงเส้นทางหรือไม่ผมไม่ทราบ รู้แต่ถ้าไปโรงพยาบาลตามตัวเมืองก็นับหัวได้เลย
โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตนี่คืนไหนไม่มีเจ็บตายสักรายถือว่าดีสุดๆแล้ว

ทั้งตัวระบบ Hardware ทั้งโปรแกรมควบคุมต่างๆและเทคโนโลยีฐานข้อมูล/Storage ยุคใหม่ๆ
น่าจะลงทุนเบื้องต้นเพียงไม่ถึงร้อยล้านนะครับ
เพราะข้อมูลพวกนี้แม้เข้ารหัสแล้วมันก็กินโหลดเพียงน้อยนิด เด็กเล่นเกมยังใช้ทรัพยากรเยอะกว่าชนิดเทียบกันไม่ติด
ส่วนเรื่องจุดบอดอับสัญญาณมีไม่เยอะ ก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก ขับรถบนทางหลวงสัญญาณโทรศัพท์มันถึงแทบทุกที่แล้วนะ

ฝั่ง Server มีภาระประมวลผลต่อรถ 1 คันเพียงน้อยนิดนะครับ
เป็นเพียงสุ่มดึงข้อมูล GPS มา Match เข้ากับข้อมูลพื้นฐาน ความเร็วและเส้นทางเป็นช่วงๆ
สมมุติมีรถวิ่งอยู่ 10 ล้านคัน  คือจำนวนรถถึง 2 ใน 3 ที่จดทะเบียน ออกมาวิ่งทั้งวัน
ก็ยังสามารถออกแบบระบบ ให้รองรับได้อยู่ดี เพราะอาศัยสุ่ม แค่คันละ 1-5 นาที 5-10 ครั้งต่อวันอะไรงี้ก็ได้แล้ว
Concurrent ไม่ถึงแสนคันกระจายโหลดได้สบายๆครับ
แถมเก็บสถิติคันไหนขับดีตลอด ให้อัตราสุ่มน้อยลง ห่างมากขึ้นก็ลดโหลดได้
คันไหนขับเร็วตลอดก็เพิ่มอัตตราการสุ่มให้ถี่ขึ้น นานขึ้นได้อีก
คือมีเรื่องของ Ranking เข้ามาด้วยทั้งด้านแง่บวกและแง่ลบ ให้ระบบมันทำได้อัตโนมัติไปเลย

ถ้าขับเร็วเกิน ให้ระบบเตือนคนขับตรงๆเลยก็ทำได้ครับ
ถ้าทำเป็นการสื่อสารสองทางแบบคนขับมีส่วนร่วม กรณีจำเป็นคนท้องคนเจ็บหนัก
ใช้ขอทางฉุกเฉิน วิ่งเร็วหน่อยแจ้งเตือนรถข้างหน้าก็ยังได้เลยครับแม้มองว่าล้ำมากไป
แต่ตัวระบบมันสามารถออกแบบให้ทำได้นะครับ ถ้ามีประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัว หรือสิทธิส่วนบุคคลก็ว่ากันไป

ถ้ามีกรณีรถเสียขวางทางอะไรต่างๆ ระบบก็สามารถคำนวนถึงความผิดปกติของการใช้เส้นทางเทียบแต่ละช่วงได้ด้วยครับ
ของมันทำได้นะครับ

และเมื่ออนาคต 5 G มาถึงเต็มๆ
ก็ยังสามารถอาศัยระบบนี้ เชื่อมต่อภาพจากกล้องหน้าของรถที่เร็วเกิน หรือไกล้จะเร็วเกินกำหนดได้ด้วยนะครับ เป็นการจัดการเชิงรุก
และภาพพวกนี้ไม่ต้องเก็บนานอยู่แล้ว ถ้าไม่เกิดปัญหาไม่มีแจ้งอุบัติเหตุก็ลบไปได้เลยภายในชั่วโมงเดียว ดังนั้น
ไม่เป็นภาระมากมายหรอกครับ

รัฐจะเอาทรัพยากรในมือของ CAT TOT มาทำเรื่องนี้ก็พอได้นี่ครับ
อัฐยายซื้อขนมยาย หายใจต่อได้อีกหลายเฮือกนะครับขอบอก

3. และมีระบบส่งข้อมูลออนไลน์เข้า Server ของขนส่งเป็นช่วงๆ ค่าซิมค่าออนไลน์ต่อเดือนไม่กี่บาทให้จัดการกันไป

อุปกรณ์ปลายทางก็เป็นเรื่องของเจ้าของรถรับภาระไป
นั่นหมายถึงรถโดยสารทุกคัน โดยจับลงทะเบียนรถลงทะเบียนซิม ลงทะเบียนคนขับกันหมดครับ
แต่ส่วนของคนขับให้ยืดหยุ่นได้ เพราะยังมีกรณีฉุกเฉินและอื่นๆต้องคำนึงถึงด้วย
อาจจะสุ่มช่วงละ 5 นาที วันละ 5 ครั้ง และ Pattern การสุ่มข้อมูล ต้องสั่งแบบสุ่มไปจาก Server ของ ขนส่งเท่านั้น
แม้รถจอดก็ต้องมีข้อมูลเข้าทุกคันและทุกวัน

ถ้าจะขยายไปใช้เรื่องอื่นๆ ใช้ระบุตำแหน่งรถ แก้ปัญหาการโจรกรรม ก็ทำเพิ่มได้
อันนี้ต้องมีระเบียบในส่วนของการเข้าถึงข้อมูลให้ชัดเจน  
เพราะอาจเป็นการใช้สืบตำแหน่งผัวน้อยเมียหลวง ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางราชการ ต้องกลั่นกรองก่อน

หรือเรื่องเส้นทางอารักขาบุคคลสำคัญ ต้องจัดการขั้นข้อมูลต่างหากไม่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงได้จากระบบนี้
ถ้าเอาแบบปลอดภัยกว่าก็ใช้รูปแบบเดียวกัน แต่แยกคนละระบบเป็นเฉพาะส่วนของหน่วยงานความปลอดภัยไปเลย

4. ประชาชนทั่วไป ใครอยากใช้ระบบ ก็จ่ายตังค์ช่วยรัฐหน่อยครับ ขอเช่าใช้ระบบกะเขาด้วยในราคาต่ำๆ ปีละ 200 บาทต่อคันรถ
ก็ว่ากันไปถือว่าอุดหนุนให้รัฐสามารถบริการได้ดีและนานๆ

5. และรัฐเมื่อได้เงินมาอุดหนุนระบบแล้ว ออกฏหมายอุดหนุนจูงใจเพิ่มไปอีกให้ชัดเจนครับ
ใครขับรถโดยสารได้เยอะสุดขับบ่อยสุด ขับดีสุด
ไม่มีปัญหาเลย เอาแชมป์ รายปี รายสองปี สามปี ตลอด 5 ปี 10 ปี ติดท๊อป 10
เอาเงินรางวัลไปสัก ล้าน และ ลดหลั่นลงมาถึง แสน จะเป็นไงครับ

แบ่งตามประเภทรถเลยครับ
รถส่วนบุคคลก็เอาไป รถโดยสารสาธารณะก็เอาไป รถขนส่งก็เอาไป

ทำไมเราไม่มีกฏหมายเชิงบวก เชิงสร้างสรรค์พวกนี้เยอะๆบ้างครับ
ทำไมมักได้ยินแต่กฏหมาย จับปรับเท่านั้นเท่านี้หละครับ
เมื่อเรามีเครืองมือที่ดีๆใช้แล้ว กฏหมายเราก็ต้องเปลี่ยนแนวบ้างนะครับ

-----------------------------

ในเบื้องต้น เริ่มที่เงินร้อยล้านเพื่อดูแลประชาชนให้ดีขึ้น มันคุ้มเกินคุ้มครับ
ปล่อยให้ประชาชนเสี่ยงอยู่อย่างทุกวันนี้ ค่ารักษาพยาบาลและความสูญเสียด้านอื่นๆจากอุบัติเหตุรถยนต์
มันเยอะมหาศาลกว่าหลายเท่าตัวนะครับ
เทคโนโลยีมันไปถึงตั้งนานเป็นสิบปีแล้วนะ แต่ทำไมประเทศไทยยังไม่มีระบบนี้เสียทีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่